


ในโลกธุรกิจที่หมุนเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว การเข้าใจข้อกำหนดด้านภาษีไม่ใช่แค่เรื่องหน้าที่ แต่เป็นกุญแจสำคัญสู่ความอยู่รอดและการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ระบบภาษีมีความซับซ้อนและครอบคลุมหลากหลายมิติ หนึ่งในภาษีที่มักถูกมองข้ามหรือเข้าใจผิด คือ ภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น ภาคการเงิน บริการทางการเงิน และอสังหาริมทรัพย์ การไม่เข้าใจภาษีนี้อาจนำไปสู่ความผิดพลาดทางกฎหมาย ค่าปรับ หรือแม้แต่การเสียชื่อเสียงขององค์กร
เพื่อช่วยลดช่องว่างด้านความรู้ บทความนี้จึงถูกจัดทำขึ้นเป็นคู่มือเชิงลึกสำหรับผู้ประกอบการไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ที่ต้องการเข้าใจ ภาษีธุรกิจเฉพาะ อย่างครบวงจร ตั้งแต่พื้นฐาน ผู้มีหน้าที่เสีย อัตราภาษี วิธีคำนวณ ไปจนถึงการเปรียบเทียบกับภาษีมูลค่าเพิ่ม และกลยุทธ์การวางแผนภาษีที่ชาญฉลาด โดยเฉพาะในบริบทของการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และการดำเนินธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งมักเผชิญความท้าทายด้านการบริหารจัดการภาษีมากที่สุด
ภาษีธุรกิจเฉพาะคืออะไร? คำจำกัดความและขอบเขตตามกฎหมาย
ภาษีธุรกิจเฉพาะ หรือที่รู้จักในชื่อ Specific Business Tax (SBT) เป็นภาษีทางอ้อมที่รัฐจัดเก็บจาก “รายรับ” ที่เกิดจากการประกอบกิจการบางประเภท ซึ่งโดยธรรมชาติของธุรกิจนั้นไม่เหมาะสมกับการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรืออาจได้รับการยกเว้นไม่ต้องขึ้นทะเบียน VAT เช่น ธุรกิจการเงิน การให้กู้ยืมเงิน หรือการขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะเชิงพาณิชย์
การจัดเก็บภาษีนี้อยู่ภายใต้ประมวลรัษฎากร มาตรา 91/1 ถึง 91/21 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้รัฐสามารถเก็บภาษีจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อาจหลุดรอดจากระบบ VAT เนื่องจากลักษณะเฉพาะของกิจการ เช่น การคำนวณต้นทุนหรือมูลค่าเพิ่มที่ซับซ้อน หรือกิจการที่ให้บริการทางการเงินที่ไม่สามารถแยกภาษีซื้อ-ภาษีขายได้เหมือนสินค้าทั่วไป
ธุรกิจที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
ตามกฎหมาย ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในกลุ่มต่อไปนี้ จำเป็นต้องจดทะเบียนและยื่นแบบภาษีธุรกิจเฉพาะ:
- การธนาคาร และกิจการที่คล้ายคลึง เช่น การรับฝากเงิน การให้กู้ยืมเงิน การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หรือการออกตั๋วเงิน
- ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
- การรับประกันชีวิต
- การรับจำนำ
- การประกอบกิจการในลักษณะเดียวกับธนาคารพาณิชย์ แม้ไม่ใช่สถาบันการเงิน เช่น บุคคลธรรมดาที่ให้กู้ยืมเงินเป็นอาชีพหรือมีการโฆษณาอย่างเป็นระบบ
- การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งแปลงที่ดิน การจัดสรร หรือการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย
- การขายคืนหลักทรัพย์ตามกฎหมายกองทุนรวม
- กิจการอื่นตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา (ในปัจจุบันยังไม่มีการเพิ่มเติม)
การเข้าใจว่ากิจการของคุณเข้าข่ายหรือไม่ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ เพราะหากเข้าข่าย แม้จะเป็นบุคคลธรรมดาที่ทำรายได้เพียงครั้งคราว แต่มีลักษณะเชิงพาณิชย์ ก็อาจต้องมีหน้าที่เสียภาษี
ใครคือผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ?
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ คือ “ผู้ประกอบกิจการ” ที่ดำเนินธุรกิจตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา นิติบุคคล หรือคณะบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลก็ตาม
ผู้ประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษี
- นิติบุคคล: บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือองค์กรอื่นที่จดทะเบียนตามกฎหมาย ซึ่งประกอบกิจการในกลุ่มที่ระบุ เช่น ธนาคาร บริษัทเงินทุน หรือบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
- บุคคลธรรมดา: บุคคลทั่วไปที่มีกิจกรรมเชิงพาณิชย์ เช่น ให้กู้ยืมเงินเป็นอาชีพ หรือขายอสังหาริมทรัพย์หลายแปลงในระยะเวลาสั้นๆ โดยมีการโฆษณาหรือพัฒนาโครงการ
คำว่า “เป็นอาชีพ” หรือ “เป็นทางค้าหรือหากำไร” จะถูกพิจารณาจากพฤติกรรมการดำเนินงาน เช่น ความถี่ในการทำธุรกรรม การลงทุนในการตลาด หรือการพัฒนาทรัพย์สินเพื่อขาย
กรณีพิเศษ: การขายอสังหาริมทรัพย์
การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในประเด็นที่สร้างความสับสนมากที่สุด เนื่องจากบุคคลธรรมดาอาจไม่ทราบว่าการขายบ้านหรือที่ดินของตนเอง อาจเข้าข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
โดยทั่วไป การขายอสังหาริมทรัพย์จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในกรณีดังนี้:
- ผู้ขายเป็นนิติบุคคล ไม่ว่าจะถือครองมากี่ปี
- ผู้ขายเป็นบุคคลธรรมดาที่ขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาภายในระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่ได้มา
- ผู้ขายเป็นบุคคลธรรมดาที่ขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาเพื่อ “การค้าหรือหากำไร” แม้จะถือครองเกิน 5 ปีแล้วก็ตาม เช่น การแบ่งแปลงที่ดินเพื่อขายหลายแปลง หรือการสร้างบ้านเพื่อขาย
อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นที่ช่วยลดภาระภาษี ได้แก่:
- การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็น บ้านพร้อมที่ดินหลังหลัก และผู้ขายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 1 ปี
- การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดย มรดก หรือ การให้
- การโอนให้แก่ หน่วยงานของรัฐ หรือ องค์กรการกุศล
เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น สามารถใช้ตารางแนวคิดด้านล่างเป็นแนวทาง:
เงื่อนไขการขายอสังหาริมทรัพย์ | ผู้ขายเป็นบุคคลธรรมดา | ผู้ขายเป็นนิติบุคคล |
---|---|---|
1. ถือครองเกิน 5 ปี | ไม่ต้องเสีย (เว้นแต่เป็นทางค้าหรือหากำไร) | เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ |
2. ถือครองไม่เกิน 5 ปี | เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ (เว้นแต่เข้าข้อยกเว้น เช่น เป็นบ้านหลังหลัก/มรดก) | เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ |
3. เข้าข้อยกเว้นตามกฎหมาย (เช่น บ้านหลังหลักที่อยู่อาศัยเกิน 1 ปี, มรดก) | ไม่ต้องเสีย | ไม่เกี่ยวข้อง (ข้อยกเว้นนี้สำหรับบุคคลธรรมดา) |
การเข้าใจเงื่อนไขเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ดำเนินธุรกิจ ซื้อขายที่ดินและบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจนำไปสู่การถูกตรวจสอบหรือถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง
อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะและวิธีการคำนวณที่ถูกต้อง
อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะขึ้นอยู่กับประเภทของกิจการ โดยฐานภาษีคือ “รายรับทั้งหมด” ก่อนหักรายจ่ายใดๆ ที่เกิดจากการประกอบกิจการที่เข้าข่าย
อัตราภาษีสำหรับแต่ละประเภทธุรกิจ
ประเภทกิจการ | อัตราภาษี (จากรายรับ) | อัตราภาษีท้องถิ่น (จากภาษีธุรกิจเฉพาะ) | รวมอัตราภาษีที่แท้จริง |
---|---|---|---|
การธนาคารและกิจการที่คล้ายกัน | ร้อยละ 2.5 | ร้อยละ 10 | ร้อยละ 2.75 |
ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ | ร้อยละ 2.5 | ร้อยละ 10 | ร้อยละ 2.75 |
การรับประกันชีวิต | ร้อยละ 2.5 | ร้อยละ 10 | ร้อยละ 2.75 |
การรับจำนำ | ร้อยละ 2.5 | ร้อยละ 10 | ร้อยละ 2.75 |
การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร | ร้อยละ 3.0 | ร้อยละ 10 | ร้อยละ 3.3 |
ควรสังเกตว่า ภาษีท้องถิ่นร้อยละ 10 จะคำนวณจากยอดภาษีธุรกิจเฉพาะที่คำนวณได้ ไม่ใช่จากรายรับโดยตรง ดังนั้นอัตราจริงที่ต้องจ่ายจึงเป็นผลรวมของภาษีหลักและภาษีท้องถิ่นที่คำนวณจากภาษีหลัก อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ จึงต้องคำนวณอย่างระมัดระวัง
ตัวอย่างการคำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะ
เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน ต่อไปนี้คือตัวอย่างการคำนวณในสถานการณ์จริง:
ตัวอย่างที่ 1: การขายอสังหาริมทรัพย์ (ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง)
นายสมศักดิ์ บุคคลธรรมดา ซื้อบ้านพร้อมที่ดินในราคา 3,000,000 บาท เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2567 และขายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ด้วยราคา 3,500,000 บาท โดยไม่เข้าข้อยกเว้นใดๆ
- รายรับจากการขาย: 3,500,000 บาท
- อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ: 3.0%
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ: 3,500,000 × 3.0% = 105,000 บาท
- ภาษีท้องถิ่น: 105,000 × 10% = 10,500 บาท
- รวมภาษีที่ต้องชำระ: 105,000 + 10,500 = 115,500 บาท
ตัวอย่างที่ 2: รายได้ดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน
ธนาคาร A มีรายรับดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืมในเดือนมีนาคม 2567 เป็นจำนวน 10,000,000 บาท
- รายรับที่เข้าฐานภาษี: 10,000,000 บาท
- อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ: 2.5%
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ: 10,000,000 × 2.5% = 250,000 บาท
- ภาษีท้องถิ่น: 250,000 × 10% = 25,000 บาท
- รวมภาษีที่ต้องชำระ: 250,000 + 25,000 = 275,000 บาท
ตัวอย่างที่ 3: ธุรกิจรับจำนำ
โรงรับจำนำมีรายรับจากการรับจำนำในรอบเดือน 500,000 บาท
- รายรับที่เข้าฐานภาษี: 500,000 บาท
- อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ: 2.5%
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ: 500,000 × 2.5% = 12,500 บาท
- ภาษีท้องถิ่น: 12,500 × 10% = 1,250 บาท
- รวมภาษีที่ต้องชำระ: 12,500 + 1,250 = 13,750 บาท
การคำนวณไม่ซับซ้อน แต่ต้องแน่ใจว่าได้ระบุประเภทกิจการและลักษณะของรายรับได้อย่างถูกต้อง
ภาษีธุรกิจเฉพาะ vs. ภาษีมูลค่าเพิ่ม: ความแตกต่างที่ต้องรู้
ทั้งภาษีธุรกิจเฉพาะและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ล้วนเป็นภาษีทางอ้อม แต่มีโครงสร้างและวัตถุประสงค์ที่ต่างกันอย่างชัดเจน การเข้าใจความแตกต่างนี้ช่วยป้องกันความสับสนและข้อผิดพลาดในการปฏิบัติหน้าที่
คุณสมบัติ | ภาษีธุรกิจเฉพาะ (SBT) | ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) |
---|---|---|
วัตถุประสงค์ | เก็บจากกิจการที่ไม่อยู่ในระบบ VAT หรือได้รับการยกเว้น | เก็บจากการบริโภคทั่วไปผ่านผู้ประกอบการจด VAT |
ประเภทกิจการ | เฉพาะกลุ่ม เช่น การเงิน อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ | ครอบคลุมกิจการส่วนใหญ่ที่ขายสินค้าหรือบริการ |
ฐานภาษี | รายรับก่อนหักรายจ่าย | มูลค่าการขาย (ราคาขาย) |
อัตราภาษี | 2.5% หรือ 3.0% บวกภาษีท้องถิ่น 10% ของภาษีหลัก | 7% (รวมภาษีท้องถิ่น) |
การคำนวณ | จากรายรับทั้งหมด | ภาษีขายลบด้วยภาษีซื้อ |
การผลักภาระ | ผู้ประกอบการรับภาระ แต่สามารถรวมในราคา | ผู้ประกอบการจด VAT เรียกเก็บจากลูกค้า |
แบบที่ใช้ยื่น | ภ.ธ.40 | ภ.พ.30 |
สรุปง่ายๆ คือ ภาษีธุรกิจเฉพาะจะถูกใช้กับกิจการที่ “ไม่เหมาะสม” กับระบบ VAT โดยเฉพาะธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ที่มีความซับซ้อนในการคำนวณมูลค่าเพิ่ม
ขั้นตอนการยื่นแบบและชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ
การปฏิบัติตามขั้นตอนการยื่นภาษีอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษ
แบบแสดงรายการและกำหนดเวลา
- แบบที่ใช้: ภ.ธ.40
- กำหนดเวลา: ต้องยื่นและชำระภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป นับจากเดือนที่ได้รับรายรับ
- สถานที่ยื่น:
- ผ่าน ระบบออนไลน์ของกรมสรรพากร (แนะนำสำหรับความสะดวกและรวดเร็ว)
- ยื่นที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาตามที่ตั้งสถานประกอบการ
- กรณีมีหลายสาขา สามารถยื่นรวมกันตามที่กฎหมายกำหนด
เอกสารที่ต้องเตรียม
เมื่อยื่นแบบ ภ.ธ.40 ควรมีเอกสารดังนี้:
- รายละเอียดรายรับที่ต้องเสียภาษีแยกตามประเภทกิจการ
- การคำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะและภาษีท้องถิ่น
- สัญญาซื้อขาย ใบแจ้งหนี้ หรือเอกสารยืนยันรายรับ
บทลงโทษ
การละเลยหรือยื่นแบบผิดพลาดอาจนำไปสู่บทลงโทษรุนแรง:
- เงินเพิ่ม: ร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของภาษีที่ค้างชำระ
- เบี้ยปรับ: สูงสุดถึง 2 เท่าของภาษีที่ต้องชำระ
- โทษอาญา: จำคุกหรือปรับหากมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี
ดังนั้น การจัดการภาษีธุรกิจเฉพาะอย่างมีระบบจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
กลยุทธ์วางแผนภาษีธุรกิจเฉพาะ: เพิ่มประสิทธิภาพและเลี่ยงความเสี่ยง
การวางแผนภาษีไม่ใช่การเลี่ยงภาษี แต่คือการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาดภายใต้กรอบกฎหมาย
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย
- เข้าใจผิดเกี่ยวกับขอบเขตของกิจการ: เช่น คิดว่าการให้กู้ยืมเงินส่วนตัวไม่ต้องเสียภาษี
- คำนวณผิดพลาด: ลืมรวมภาษีท้องถิ่น หรือใช้อัตราผิด
- ไม่รู้ข้อยกเว้น: โดยเฉพาะการขายบ้านหลังหลักที่อยู่อาศัยเกิน 1 ปี
- ยื่นล่าช้า: ขาดการติดตามกำหนดเวลา
- ไม่เก็บเอกสาร: ทำให้พิสูจน์รายรับหรือข้อยกเว้นไม่ได้เมื่อถูกตรวจสอบ
เคล็ดลับการวางแผนภาษีอย่างชาญฉลาด
- อัปเดตความรู้อยู่เสมอ: ติดตามข้อมูลจาก เว็บไซต์กรมสรรพากร โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับ ภาษีธุรกิจเฉพาะที่ดิน 2567
- วางแผนการขายอสังหาริมทรัพย์:
- พิจารณา “ระยะเวลาถือครอง” หากเป็นไปได้ ถือครองเกิน 5 ปี เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี (สำหรับบุคคลธรรมดา)
- ตรวจสอบสิทธิ์ข้อยกเว้น เช่น การขายบ้านหลังหลักหรือทรัพย์มรดก
- จัดโครงสร้างการชำระเงินอย่างรอบคอบ แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมาย
- จัดทำบัญชีอย่างเป็นระบบ: บันทึกรายรับ-รายจ่ายและเก็บเอกสารให้ครบถ้วน
- สำหรับ SME และผู้เริ่มต้น: แม้ธุรกิจเล็ก แต่หากเกี่ยวข้องกับการเงินหรืออสังหาริมทรัพย์ ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่เริ่มต้น
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ใช้บริการ นักบัญชีหรือที่ปรึกษาภาษีมืออาชีพ เพื่อรับคำแนะนำเฉพาะเจาะจง
การวางแผนภาษีที่ดีไม่เพียงช่วยลดภาระ แต่ยังสร้างความมั่นคงและชื่อเสียงให้กับธุรกิจ
สรุป: กุญแจสู่ความสำเร็จทางธุรกิจที่ยั่งยืน
ภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นส่วนสำคัญของระบบทหารายได้ของรัฐ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ การเข้าใจอย่างถ่องแท้ทั้งในด้านนิยาม ผู้มีหน้าที่เสีย อัตรา วิธีคำนวณ และความแตกต่างจาก VAT จึงเป็นพื้นฐานสำคัญของผู้ประกอบการยุคใหม่
บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลครบถ้วน ตั้งแต่แนวคิดไปจนถึงกลยุทธ์การวางแผนภาษี เพื่อช่วยให้คุณบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยง การปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดไม่เพียงป้องกันบทลงโทษ แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือและรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตในระยะยาว
ขอแนะนำให้ผู้ประกอบการทุกท่านติดตามประกาศจากกรมสรรพากรอย่างสม่ำเสมอ และอย่าลังเลที่จะขอคำปรึกษาเมื่อมีข้อสงสัย เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจของคุณจะเติบโตไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและถูกต้องตามกฎหมาย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาษีธุรกิจเฉพาะ
ภาษีธุรกิจเฉพาะต้องเสียเมื่อไหร่ และยื่นแบบอะไร?
ภาษีธุรกิจเฉพาะต้องเสียภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป นับแต่เดือนที่ได้รับรายรับที่ต้องเสียภาษี โดยใช้แบบแสดงรายการ ภ.ธ.40
ถ้าขายที่ดินภายใน 5 ปี ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือไม่ และคำนวณอย่างไร?
โดยทั่วไปแล้ว หากบุคคลธรรมดาขายที่ดินที่ได้มาภายใน 5 ปีนับแต่วันที่ได้มา จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามกฎหมาย การคำนวณคือ นำรายรับจากการขาย คูณด้วยอัตราภาษี 3.0% และบวกภาษีท้องถิ่น 10% ของภาษีธุรกิจเฉพาะนั้น
บุคคลธรรมดาที่ให้กู้ยืมเงินต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะด้วยหรือไม่?
หากบุคคลธรรมดาให้กู้ยืมเงินเป็นอาชีพ หรือมีลักษณะที่ถือเป็นการประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ ก็จะมีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะเช่นกัน
ภาษีธุรกิจเฉพาะต่างจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างไรบ้าง?
ภาษีธุรกิจเฉพาะเก็บจากกิจการบางประเภทที่กฎหมายกำหนดว่าไม่อยู่ภายใต้ VAT หรือได้รับการยกเว้น VAT มีอัตราและฐานภาษีที่แตกต่างกัน (เช่น 2.5%, 3.0% จากรายรับ) ส่วน VAT เก็บจากการบริโภคทั่วไป มีอัตรามาตรฐาน 7% และคำนวณจากภาษีขายหักภาษีซื้อ
ธุรกิจบริการทั่วไปที่ไม่ใช่การเงินหรืออสังหาฯ ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจบริการทั่วไปที่ไม่ใช่การเงินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่เข้าข่ายการค้าหรือหากำไร จะไม่อยู่ภายใต้ภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่จะอยู่ภายใต้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือภาษีเงินได้นิติบุคคล/บุคคลธรรมดา ตามประเภทของธุรกิจนั้นๆ
หากไม่ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะตามกำหนด จะมีบทลงโทษอย่างไร?
หากไม่ชำระตามกำหนด จะมีบทลงโทษเป็นเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ และอาจมีเบี้ยปรับสูงสุด 2 เท่าของเงินภาษี รวมถึงค่าปรับอาญาหากมีเจตนาหลีกเลี่ยง
มีข้อยกเว้นหรือเงื่อนไขพิเศษสำหรับภาษีธุรกิจเฉพาะในกรณีใดบ้าง?
- การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่อยู่อาศัยหลักที่ผู้ขายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 1 ปี
- การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมรดก หรือโดยเสน่หา
- การโอนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ส่วนราชการ หรือองค์การสาธารณกุศล
- การขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
การขายบ้านพร้อมที่ดิน ต้องคำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะอย่างไร?
การขายบ้านพร้อมที่ดินจะถือเป็นรายรับรวมกัน และคำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะจากรายรับทั้งหมด หากเข้าเงื่อนไขที่ต้องเสียภาษี เช่น เป็นการขายภายใน 5 ปี หรือเป็นการขายเพื่อการค้าหรือหากำไร โดยใช้อัตรา 3.0% บวกภาษีท้องถิ่น 10%
ภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับธุรกิจประกันภัยคิดอย่างไร?
ธุรกิจประกันชีวิตเป็นหนึ่งในกิจการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ โดยมีอัตราภาษี 2.5% จากรายรับก่อนหักรายจ่าย บวกภาษีท้องถิ่น 10% ของภาษีธุรกิจเฉพาะนั้น
สามารถขอคืนภาษีธุรกิจเฉพาะได้หรือไม่ และมีเงื่อนไขอะไรบ้าง?
โดยทั่วไปแล้ว ภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นภาษีที่เก็บจากรายรับ ไม่ได้มีระบบภาษีซื้อ-ภาษีขายเหมือน VAT จึงไม่มีการขอคืนภาษีในลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หากมีการชำระภาษีเกินไปโดยความผิดพลาด สามารถยื่นคำร้องขอคืนได้ภายใน 3 ปีนับแต่วันที่ชำระภาษี
ภาษีธุรกิจเฉพาะที่ดิน 2567 มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์อะไรบ้าง?
ณ ปัจจุบัน (ปี 2567) กฎเกณฑ์พื้นฐานของภาษีธุรกิจเฉพาะที่ดินยังคงเป็นไปตามประมวลรัษฎากรเดิม โดยเน้นที่ระยะเวลาการถือครอง 5 ปี และลักษณะการขายเพื่อการค้าหรือหากำไร อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการควรติดตามประกาศหรือกฎหมายที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงจากกรมสรรพากรอย่างใกล้ชิด
การวางแผนภาษีธุรกิจเฉพาะเพื่อประหยัดภาษีอย่างถูกกฎหมายทำได้อย่างไร?
- ศึกษาและใช้สิทธิประโยชน์หรือข้อยกเว้นตามกฎหมายให้เป็นประโยชน์
- พิจารณาระยะเวลาการถือครองอสังหาริมทรัพย์ให้เหมาะสม
- จัดโครงสร้างการทำธุรกรรมให้สอดคล้องกับกฎหมายและวัตถุประสงค์
- เก็บบันทึกและเอกสารประกอบอย่างละเอียด
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะกรณี