แนวรับและแนวต้าน: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับนักเทรดมือใหม่ ทำกำไรได้จริงในทุกตลาด

นักลงทุนวิเคราะห์กราฟราคาโดยใช้แนวรับและแนวต้านในตลาดหุ้นไทย

การเข้าใจแนวรับและแนวต้านถือเป็นพื้นฐานสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่างประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น (SET) ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี หรือแม้แต่ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การระบุแนวรับแนวต้านได้อย่างแม่นยำ จะช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีเหตุมีผล ลดความเสี่ยงจากการลงทุน และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกแนวคิดพื้นฐาน วิธีการระบุ กลยุทธ์การใช้งานจริงในตลาดไทย และข้อควรระวังที่นักเทรดมือใหม่มักมองข้าม

ภาพแสดงนักลงทุนมือใหม่เรียนรู้แนวรับแนวต้านผ่านกราฟราคาที่เรียบง่าย

สำหรับผู้เริ่มต้น การศึกษาแนวรับและแนวต้านอาจดูซับซ้อนในช่วงแรก แต่เมื่อเข้าใจหลักการพื้นฐานและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ คุณจะสามารถนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์จริงได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าคุณจะสนใจลงทุนในหุ้นไทย คริปโต หรือทองคำ แนวรับแนวต้านก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณมองเห็น “จุดที่ราคาอาจเปลี่ยนทิศทาง” ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

กราฟราคาแสดงแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจน สะท้อนพฤติกรรมของราคาในตลาดการเงิน

แนวรับและแนวต้านคืออะไร? คำอธิบายแบบละเอียด

แนวรับและแนวต้านเป็นสองแนวคิดหลักในการวิเคราะห์พฤติกรรมราคา ซึ่งช่วยให้เราคาดการณ์จุดที่ราคาอาจหยุดการเคลื่อนที่และกลับตัวได้ ไม่ว่าจะในกราฟหุ้น คริปโต หรือค่าเงิน แนวคิดนี้เกิดจากแรงซื้อและแรงขายที่สะสมอยู่ในระดับราคาหนึ่ง จนกลายเป็นพื้นที่ที่ตลาด “จดจำ” ได้

แนวรับ (Support Level) คืออะไร?

แนวรับคือระดับราคาที่แรงซื้อเริ่มเข้มแข็งขึ้น จนสามารถหยุดการลดลงของราคาและทำให้ราคาเด้งกลับขึ้นได้ มองในเชิงจิตวิทยา ราคาที่ตกลงมาใกล้แนวรับ มักถูกมองว่า “ถูก” จนนักลงทุนจำนวนมากเริ่มซื้อเข้ามา ทำให้เกิดแรงดีดกลับ เปรียบเสมือนพื้นที่ที่รองรับราคาไม่ให้ร่วงต่อไปง่าย ๆ

แนวรับมักเกิดจากจุดต่ำสุดเดิมในอดีต หรือบริเวณที่เคยมีการซื้อขายอย่างหนาแน่น ซึ่งสะท้อนถึงราคาที่นักลงทุนจำนวนมากเห็นว่าคุ้มค่า การกลับมาทดสอบระดับเดิมซ้ำหลายครั้งโดยไม่หลุด ยิ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งของแนวรับนั้น

แนวต้าน (Resistance Level) คืออะไร?

แนวต้านคือระดับราคาที่แรงขายเริ่มเข้มแข็ง ทำให้ราคาไม่สามารถขึ้นต่อไปได้ และอาจเริ่มกลับตัวลง มองในเชิงจิตวิทยา ราคาที่ขึ้นมาใกล้แนวต้าน มักถูกมองว่า “แพง” หรือเป็นจุดที่ควรขายทำกำไร ทำให้เกิดแรงกดดันให้ราคาลดลง เปรียบเสมือนเพดานที่จำกัดการพุ่งขึ้นของราคา

แนวต้านมักเกิดจากจุดสูงสุดเดิมในอดีต หรือบริเวณที่เคยมีการเทขายอย่างรุนแรง ซึ่งบ่งบอกว่านักลงทุนจำนวนมากพร้อมจะขายที่ระดับราคาเหล่านี้

ความสัมพันธ์ระหว่างแนวรับและแนวต้าน: การสลับบทบาท

หนึ่งในกลไกสำคัญที่ต้องเข้าใจคือการ “สลับบทบาท” ของแนวรับและแนวต้าน เมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไปได้สำเร็จ ระดับนั้นจะกลายเป็นแนวรับใหม่ในอนาคต ในทางกลับกัน หากแนวรับถูกทำลายลง ราคาที่เคยรองรับก็จะกลายเป็นแนวต้านใหม่

กลไกนี้เกิดจากพฤติกรรมของนักลงทุน ตัวอย่างเช่น ผู้ที่ซื้อไว้ที่แนวรับเดิม แต่ยังไม่ได้ขายออก เมื่อราคากลับขึ้นไปที่จุดเดิม พวกเขามักจะรีบขายออกเพื่อตัดขาดทุน ทำให้เกิดแรงขายสะสมที่จุดนั้น กลายเป็นแนวต้านใหม่ ในทางกลับกัน ผู้ที่พลาดโอกาสซื้อตอนราคาต่ำ ก็จะรีบเข้าซื้อเมื่อราคากลับมาที่ระดับเดิม ซึ่งกลายเป็นแนวรับ

คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไกนี้ได้จากบทความโดย Investopedia ซึ่งอธิบายกลไกจิตวิทยาของตลาดอย่างละเอียด

วิธีหาแนวรับแนวต้านบนกราฟราคาอย่างมืออาชีพ

การระบุแนวรับแนวต้านให้แม่นยำ ต้องอาศัยการสังเกตและใช้หลายเครื่องมือร่วมกัน ไม่ควรพึ่งพาเพียงวิธีเดียว เพราะแต่ละวิธีมีจุดแข็งและข้อจำกัดที่ต่างกัน

การใช้จุดสูงสุดและต่ำสุดในอดีต

วิธีที่ง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดคือการลากเส้นแนวนอนผ่านจุดต่ำสุดซ้ำ ๆ สำหรับแนวรับ หรือจุดสูงสุดซ้ำ ๆ สำหรับแนวต้าน ยิ่งราคาตอบสนองต่อระดับเหล่านี้หลายครั้งโดยไม่ทะลุ ยิ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งของแนวรับหรือแนวต้านนั้น

การใช้เส้นแนวโน้ม (Trendlines)

เส้นแนวโน้มช่วยระบุแนวรับแนวต้านที่ “เคลื่อนที่” ไปตามแนวโน้มของราคา โดยในเทรนด์ขาขึ้น ให้ลากเส้นจากจุดต่ำสุดที่ยกตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ เส้นนี้จะทำหน้าที่เป็นแนวรับที่ช่วยดันราคาขึ้นต่อ ในทางกลับกัน สำหรับเทรนด์ขาลง ให้ลากเส้นจากจุดสูงสุดที่ลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นแนวต้านที่กดราคาลง

การใช้ระดับราคาจิตวิทยา (Psychological Price Levels)

ระดับราคาจิตวิทยา คือราคาที่เป็นตัวเลขกลม เช่น 10, 50, 100 หรือ 1,000 บาท ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมการซื้อขายอย่างมาก เพราะนักลงทุนจำนวนมากมักตั้งคำสั่งไว้ที่ระดับเหล่านี้ ทำให้เกิดแรงซื้อหรือแรงขายสะสม เช่น หุ้นที่กำลังจะแตะ 100 บาท มักเจอแรงขายจากผู้ที่ต้องการทำกำไรที่ระดับ “เลขกลม” นี้

การใช้เครื่องมือทางเทคนิคยอดนิยม

นอกจากการวาดด้วยมือ ยังมีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น:

  • Fibonacci Retracement: ใช้หาจุดที่ราคาอาจย่อตัวแล้วกลับตัว โดยระดับ 38.2%, 50% และ 61.8% มักเป็นแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่ง
  • Pivot Points: คำนวณจากราคา High, Low, และ Close ของช่วงก่อนหน้า เพื่อหาแนวรับแนวต้านสำหรับช่วงปัจจุบัน นิยมใช้ใน Day Trading

แพลตฟอร์มอย่าง TradingView หรือโปรแกรมวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ไทยส่วนใหญ่ รองรับการใช้งานเครื่องมือเหล่านี้ ทำให้การวิเคราะห์เป็นเรื่องง่ายแม้สำหรับมือใหม่

กลยุทธ์การเทรดด้วยแนวรับแนวต้าน: ทำกำไรในทุกตลาด

เมื่อคุณสามารถระบุแนวรับแนวต้านได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำไปใช้สร้างกลยุทธ์การซื้อขาย

กลยุทธ์การซื้อที่แนวรับและขายที่แนวต้าน

กลยุทธ์พื้นฐานที่นิยมมาก คือการ “ซื้อที่แนวรับ” และ “ขายที่แนวต้าน” ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้:

  1. ระบุแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่ง: ใช้การยืนยันจากหลายวิธี เช่น จุดต่ำสุดซ้ำกัน หรือมีปริมาณการซื้อขายหนาแน่น
  2. รอสัญญาณกลับตัว: เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ ให้สังเกตแท่งเทียนที่บ่งบอกการกลับตัว เช่น รูปแบบ Hammer, Bullish Engulfing หรือปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
  3. เข้าซื้อ: เมื่อมีสัญญาณยืนยัน ให้เข้าซื้อทันที
  4. ตั้งจุดทำกำไร: ตั้งเป้าหมายที่แนวต้านถัดไป
  5. ตั้งจุดตัดขาดทุน: วางไว้ต่ำกว่าแนวรับเล็กน้อย เพื่อป้องกันกรณีที่แนวรับถูกทำลาย

ในทางกลับกัน สำหรับการขายที่แนวต้าน ให้รอสัญญาณกลับตัวลง เช่น รูปแบบ Shooting Star หรือ Bearish Engulfing แล้วตั้งจุดทำกำไรที่แนวรับถัดไป

กลยุทธ์การเทรดแบบ Breakout (Breakout Trading Strategy)

กลยุทธ์นี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการจับการเคลื่อนไหวใหญ่ของราคา โดยการเข้าซื้อเมื่อราคาทะลุแนวต้าน หรือเข้าขายเมื่อราคาทะลุแนวรับลงมา ซึ่งมักเกิดหลังจากราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบมานาน

  1. ระบุแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่ง: มักเป็นจุดที่ราคาทดสอบหลายครั้งแต่ไม่ผ่าน
  2. รอการ Breakout ที่มีน้ำหนัก: ต้องมีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณยืนยันว่าการทะลุนั้นแท้จริง
  3. เข้าเทรดทันที: ซื้อเมื่อทะลุแนวต้าน หรือขายเมื่อทะลุแนวรับ
  4. ตั้งจุดทำกำไร: ใช้ระยะทางจากจุด Breakout ไปยังแนวรับแนวต้านถัดไป
  5. ตั้งจุดตัดขาดทุน: วางไว้ที่จุด Breakout หรือภายในกรอบเดิม เพื่อป้องกันการ Breakout หลอก

การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) อย่างมีประสิทธิภาพ

การบริหารความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญของการเทรด

  • Stop Loss: ควรตั้งไว้ “นอก” แนวรับแนวต้านเล็กน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดขาดทุนจากความผันผวนชั่วคราว โดยพิจารณาจากความผันผวนของสินทรัพย์นั้น เช่น ใช้ ATR เพื่อกำหนดระยะห่าง
  • Take Profit: ตั้งเป้าหมายที่แนวรับแนวต้านถัดไป หรือใช้สัดส่วนความเสี่ยงต่อกำไร (Risk-Reward Ratio) อย่างน้อย 1:2 หรือ 1:3 เพื่อให้กำไรเมื่อรวมทุกครั้งมีมากกว่าขาดทุน

การวางแผนทั้ง Stop Loss และ Take Profit ก่อนเข้าเทรด จะช่วยให้คุณควบคุมอารมณ์และรักษาวินัยได้ดีขึ้น

การประยุกต์ใช้แนวรับแนวต้านในตลาดต่างๆ

แนวรับแนวต้านสามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกตลาด การปรับวิธีให้เหมาะสมกับลักษณะของแต่ละตลาดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ

ตลาดหุ้นไทย (Thai Stock Market – SET)

ในตลาดหุ้นไทย แนวรับแนวต้านมีบทบาทสำคัญทั้งในระดับดัชนี SET Index และหุ้นรายตัว นักลงทุนมักใช้เพื่อหาจุดซื้อหุ้นพื้นฐานดีเมื่อย่อตัวลงมา หรือขายทำกำไรเมื่อขึ้นไปชนแนวต้านแข็งแกร่ง การพิจารณาปริมาณการซื้อขายร่วมกับการ Breakout มีความสำคัญมาก เพราะเป็นสัญญาณยืนยันว่ามีแรงซื้อจริง

ตลาด Forex (Foreign Exchange Market)

ตลาด Forex ซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้แนวรับแนวต้านแบบไดนามิก เช่น เส้นแนวโน้ม หรือ moving average มีความสำคัญ นอกจากนี้ ระดับราคาจิตวิทยาอย่าง 1.1000 สำหรับ EUR/USD หรือ 150.00 สำหรับ GBP/JPY มักจะเป็นจุดที่มีแรงซื้อขายหนาแน่น

ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency Market)

ตลาดคริปโตมีความผันผวนสูง ทำให้แนวรับแนวต้านมีบทบาทสำคัญในการบริหารความเสี่ยง การ Breakout มักจะรุนแรงและรวดเร็ว ดังนั้นการตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมจึงจำเป็น ควรใช้กรอบเวลาใหญ่ เช่น รายวันหรือรายสัปดาห์ เพื่อหาแนวรับแนวต้านที่มีน้ำหนัก

แพลตฟอร์มอย่าง Bitkub มีเครื่องมือวิเคราะห์กราฟที่ใช้วัดแนวรับแนวต้านได้สะดวก

ตลาดทองคำ (Gold Market)

ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ได้รับอิทธิพลจากข่าวเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ แนวรับแนวต้านในตลาดทองคำมักสะท้อนความรู้สึกของนักลงทุนทั่วโลก ระดับอย่าง 1,800 หรือ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มักเป็นจุดที่มีแรงซื้อขายมาก และการ Breakout มักเกิดร่วมกับข่าวสำคัญ

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้แนวรับแนวต้านและวิธีหลีกเลี่ยง

แม้แนวรับแนวต้านจะมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อผิดพลาดที่นักเทรดมือใหม่มักทำ

มองข้ามปัจจัยอื่น

การพึ่งพาแนวรับแนวต้านเพียงอย่างเดียว โดยไม่พิจารณาปริมาณการซื้อขาย รูปแบบแท่งเทียน หรือข่าวสารสำคัญ เป็นข้อผิดพลาดร้ายแรง ตัวอย่างเช่น หุ้นไทยอาจทะลุแนวต้านได้เพราะมีข่าวดีจากบริษัท หรือนโยบายรัฐบาล ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้จากกราฟเพียงอย่างเดียว

ตั้ง Stop Loss ผิดพลาด

การตั้ง Stop Loss ใกล้เกินไป อาจทำให้ถูกตัดขาดทุนก่อนราคาจะกลับตัวจริง ส่วนการตั้งไกลเกินไป อาจทำให้ขาดทุนมากเกินควร ควรใช้บริบทของตลาดและระดับความผันผวนในการตัดสินใจ

ไม่ปรับเปลี่ยนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน

แนวรับแนวต้านไม่ใช่ตัวเลขตายตัว แต่เป็น “โซน” ที่ต้องปรับตามสภาวะตลาด ควรทบทวนและอัปเดตอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวสำคัญ หรือเมื่อราคาเคลื่อนไหวผิดปกติ

บทสรุป: ใช้แนวรับแนวต้านอย่างชาญฉลาดเพื่อการลงทุนที่ยั่งยืน

แนวรับและแนวต้านเป็นรากฐานสำคัญของเทคนิคการวิเคราะห์ราคา ไม่ว่าคุณจะลงทุนใน SET, Forex, คริปโต หรือทองคำ การเข้าใจแนวคิดนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องจุดเข้า จุดออก และการบริหารความเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น เช่น ปริมาณการซื้อขาย รูปแบบแท่งเทียน และข่าวเศรษฐกิจ เพื่อยืนยันสัญญาณ อย่าพึ่งพาเพียงเครื่องมือเดียว และที่สำคัญที่สุด คือการมีวินัยในการบริหารความเสี่ยง

การลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจ และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแนวรับแนวต้าน

แนวรับคืออะไร และต่างจากแนวต้านอย่างไร?

แนวรับคือระดับราคาที่คาดว่าแรงซื้อจะเข้ามาหยุดการลดลงของราคา ทำให้ราคาดีดกลับขึ้นไปได้ ส่วนแนวต้านคือระดับราคาที่คาดว่าแรงขายจะเข้ามาหยุดการเพิ่มขึ้นของราคา ทำให้ราคาถูกกดดันให้ลดลง ทั้งสองแนวคิดเป็นพื้นที่ที่ราคาอาจกลับตัว แต่ในทิศทางที่ตรงกันข้าม

วิธีหาแนวรับแนวต้านที่แม่นยำที่สุดบนกราฟราคาควรทำอย่างไร?

ไม่มีวิธีใดวิธีหนึ่งที่แม่นยำที่สุด แต่การใช้หลายวิธีร่วมกันจะเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ดีที่สุด เริ่มจากการใช้จุดสูงสุด-ต่ำสุดในอดีต, เส้นแนวโน้ม, ระดับราคาจิตวิทยา และอาจเสริมด้วย Fibonacci Retracement หรือ Pivot Points ควรพิจารณาจาก Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น เช่น รายวันหรือรายสัปดาห์ เพื่อหาแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่ง

แนวรับแนวต้านใช้กับตลาดคริปโต (เช่น Bitkub) และทองคำได้ผลดีแค่ไหน?

แนวรับแนวต้านใช้ได้ผลดีกับทั้งตลาดคริปโตและทองคำ แต่ต้องปรับวิธีการใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะตลาด ตลาดคริปโตมีความผันผวนสูง การ Breakout มักรุนแรง ดังนั้น Stop Loss จึงสำคัญมาก ส่วนตลาดทองคำมักได้รับผลกระทบจากข่าวสารเศรษฐกิจโลก จึงควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานควบคู่ไปด้วย แพลตฟอร์มอย่าง Bitkub ก็มีเครื่องมือวิเคราะห์กราฟที่รองรับการใช้งานแนวรับแนวต้าน

ควรตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) เมื่อเทรดด้วยแนวรับแนวต้านอย่างไร?

  • Stop Loss: ตั้งไว้นอกแนวรับ (หากซื้อ) หรือแนวต้าน (หากขาย) เล็กน้อย เพื่อให้มีช่องว่างสำหรับความผันผวนชั่วคราว
  • Take Profit: ตั้งไว้ที่แนวต้านถัดไป (หากซื้อ) หรือแนวรับถัดไป (หากขาย) โดยยึดหลัก Risk-Reward Ratio ที่เหมาะสม เช่น คาดหวังกำไร 2-3 เท่าของความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ถ้าแนวรับถูกทำลาย ควรทำอย่างไรต่อไป?

หากแนวรับถูกทำลาย ควรพิจารณาปิดสถานะซื้อเพื่อจำกัดการขาดทุนตามแผน Stop Loss ที่วางไว้ เพราะแนวรับที่ถูกทำลายมักจะกลายเป็นแนวต้านใหม่ และราคาอาจเคลื่อนที่ลงไปหาแนวรับถัดไปที่อยู่ต่ำกว่า คุณอาจพิจารณาเปิดสถานะขาย (Short Sell) หากสัญญาณการ Breakdown ชัดเจนและมีปริมาณการซื้อขายยืนยัน

มีเครื่องมือหรืออินดิเคเตอร์ใดบ้างที่ช่วยยืนยันแนวรับแนวต้านได้?

มีหลายอินดิเคเตอร์ที่สามารถใช้ร่วมกับแนวรับแนวต้านเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เช่น:

  • ปริมาณการซื้อขาย (Volume): Volume สูงที่แนวรับ/แนวต้าน หรือเมื่อ Breakout/Breakdown เป็นสัญญาณยืนยันที่สำคัญ
  • ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages): MA สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับแนวต้านแบบไดนามิกได้
  • RSI หรือ Stochastic Oscillator: ใช้เพื่อหาภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) เมื่อราคาอยู่ที่แนวต้านหรือแนวรับ
  • รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns): รูปแบบเช่น Hammer, Engulfing, Doji ที่แนวรับ/แนวต้าน บ่งบอกถึงการกลับตัว

แนวรับแนวต้านวันนี้ดูได้จากที่ไหนสำหรับตลาดหุ้นไทย?

คุณสามารถดูแนวรับแนวต้านสำหรับตลาดหุ้นไทยได้จากแหล่งข้อมูลหลายแห่ง:

  • โปรแกรมวิเคราะห์หุ้นของโบรกเกอร์: โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีฟีเจอร์นี้
  • เว็บไซต์ข่าวสารการลงทุน: เว็บไซต์ข่าวหุ้นไทยหลายแห่งมักจะให้บทวิเคราะห์แนวรับแนวต้านรายวัน
  • แพลตฟอร์ม TradingView: คุณสามารถวาดและระบุแนวรับแนวต้านได้ด้วยตนเองบนกราฟหุ้นไทย
  • เว็บไซต์ SET: อาจมีข้อมูลหรือบทความวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้อง

นักเทรดมือใหม่มักจะทำผิดพลาดอะไรบ้างเมื่อใช้แนวรับแนวต้าน?

นักเทรดมือใหม่มักทำผิดพลาดดังนี้:

  • ยึดติดกับแนวรับแนวต้านเดิมๆ: ไม่ปรับเปลี่ยนเมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยน
  • ใช้เพียงเครื่องมือเดียว: ไม่ยืนยันด้วยปัจจัยอื่น เช่น Volume หรืออินดิเคเตอร์อื่นๆ
  • ตั้ง Stop Loss ผิดพลาด: ใกล้หรือไกลเกินไป
  • มองข้าม Timeframe: ใช้แนวรับแนวต้านจาก Timeframe สั้นๆ ในการเทรดระยะยาว
  • เทรดสวนแนวโน้ม: พยายามซื้อที่แนวรับในตลาดขาลงที่แข็งแกร่ง

แนวรับแนวต้านแบบจิตวิทยาคืออะไร และมีผลกับการเทรดจริงไหม?

แนวรับแนวต้านแบบจิตวิทยาคือระดับราคาที่เป็นเลขกลมๆ เช่น 10, 100, 1,000 หรือ 10,000 ซึ่งมีผลกับการเทรดจริงอย่างมาก เพราะนักลงทุนจำนวนมากมีแนวโน้มที่จะตั้งคำสั่งซื้อขายที่ราคาเหล่านี้ ทำให้เกิดแรงซื้อหรือแรงขายสะสม ณ จุดนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลทางเทคนิคอื่นรองรับ เป็นผลมาจากพฤติกรรมและความเชื่อของมนุษย์ในตลาด

แนวรับแนวต้านสามารถใช้กับการเทรดระยะสั้น (Day Trade) หรือระยะยาว (Long-term) ได้เหมือนกันหรือไม่?

แนวรับแนวต้านสามารถใช้ได้ทั้งกับการเทรดระยะสั้นและระยะยาว แต่ต้องปรับ Timeframe ที่ใช้ในการวิเคราะห์ให้เหมาะสม สำหรับ Day Trade ควรใช้ Timeframe ที่สั้นลง เช่น 15 นาที, 1 ชั่วโมง ส่วนการลงทุนระยะยาว ควรใช้ Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น เช่น รายวัน, รายสัปดาห์ หรือรายเดือน เพื่อให้ได้แนวรับแนวต้านที่มีนัยสำคัญและน่าเชื่อถือมากกว่า