หุ้น Defensive คืออะไร? คู่มือนักลงทุนไทย: สร้างพอร์ตมั่นคง ลดเสี่ยงตลาดผันผวน

บทนำ: ทำความเข้าใจ “หุ้น Defensive” ในบริบทตลาดหุ้นไทย

ภาพประกอบการป้องกันพอร์ตการลงทุนด้วยหุ้น Defensive จากความผันผวนของตลาดในประเทศไทย

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การลงทุนในตลาดหุ้นจึงเป็นเหมือนการเดินทางผ่านคลื่นลมแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือเกิดวิกฤตการเงิน นักลงทุนหลายคนเริ่มมองหาสินทรัพย์ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงและรักษามูลค่าเงินลงทุนไว้ได้ หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในตลาดหุ้นไทยคือ “หุ้น Defensive” หรือหุ้นเชิงรับ ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันให้พอร์ตการลงทุนไม่ถูกกระทบหนักจากความผันผวนของตลาด บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงแนวคิดเบื้องหลังหุ้นประเภทนี้ รวมถึงลักษณะเฉพาะ เหตุผลที่ทำให้มันมีความมั่นคง และแนวทางในการเลือกลงทุนอย่างชาญฉลาด เพื่อสร้างฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว

หุ้น Defensive คืออะไร? คำจำกัดความและหลักการสำคัญ

ภาพประกอบสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร น้ำ และไฟฟ้า พร้อมกราฟรายได้ที่มั่นคง แสดงถึงลักษณะของหุ้น Defensive

หุ้น Defensive หรือที่เรียกอีกอย่างว่าหุ้นเชิงรับ คือ หุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในภาคส่วนที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของผู้คน แม้ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยหรือภาวะวิกฤต ความต้องการสินค้าและบริการเหล่านี้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทเหล่านี้สามารถรักษารายได้และกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ตกฮวบแบบหุ้นในกลุ่มอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือแย่ ผู้บริโภคก็ยังต้องใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า กินข้าว ซื้อของใช้ส่วนตัว และเข้ารับบริการทางการแพทย์ จุดเด่นของหุ้นประเภทนี้จึงอยู่ที่ความสามารถในการ “รับมือ” กับความผันผวนของตลาดได้ดีกว่าโดยธรรมชาติ ทำให้มันกลายเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงมากกว่าผลตอบแทนที่พุ่งสูงในระยะสั้น

ลักษณะเด่นของหุ้น Defensive ที่นักลงทุนควรรู้

การระบุหุ้น Defensive ที่แท้จริงไม่ใช่แค่ดูจากชื่ออุตสาหกรรม แต่ต้องเข้าใจลักษณะเฉพาะที่ทำให้บริษัทเหล่านี้แตกต่างจากบริษัททั่วไปอย่างชัดเจน ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นสี่ประการหลักดังนี้

  • ความผันผวนต่ำ (Low Volatility): ราคาหุ้นของบริษัทกลุ่มนี้มักเคลื่อนไหวอย่างนิ่งเงียบเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดโดยรวม สะท้อนให้เห็นจากค่า Beta ที่ต่ำกว่า 1 หมายความว่า เมื่อดัชนี SET พุ่งหรือร่วงแรง หุ้นเหล่านี้มักจะตามขึ้นหรือลงช้ากว่า ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการนั่งเครียดกับความผันผวนของราคาทุกวัน
  • รายได้และกำไรสม่ำเสมอ (Consistent Earnings & Profit): ธุรกิจของหุ้น Defensive มักไม่ขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจ หรือหากขึ้นก็เพียงเล็กน้อย ทำให้คาดการณ์ผลประกอบการได้ง่ายกว่าหุ้นประเภทอื่น นักวิเคราะห์จึงชอบนำหุ้นกลุ่มนี้มาใช้ในโมเดลการประเมินมูลค่า เพราะข้อมูลมีความต่อเนื่องและเชื่อถือได้มากกว่า
  • จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ (Regular Dividends): เนื่องจากกระแสเงินสดมั่นคงและไม่มีความจำเป็นต้องขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว บริษัทจึงมักนำกำไรบางส่วนมาจ่ายให้ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้หุ้น Defensive เป็นแหล่งสร้างรายได้แบบ Passive Income ที่ดี โดยเฉพาะสำหรับผู้เกษียณหรือผู้ที่ต้องการรายได้เสริมจากพอร์ตการลงทุน
  • สินค้าและบริการจำเป็น (Essential Goods & Services): นี่คือหัวใจของหุ้น Defensive ทุกตัว ธุรกิจเหล่านี้ผลิตหรือให้บริการสิ่งที่ผู้คน “จำเป็นต้องใช้” ไม่ใช่สิ่งที่ “อยากได้” เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ อาหารสำหรับครัวเรือน ยาสามัญ และบริการสาธารณสุข ความต้องการเหล่านี้จึงแทบไม่หายไป แม้ในช่วงที่คนขาดเงิน

กลุ่มอุตสาหกรรมและตัวอย่างหุ้น Defensive ในตลาดหุ้นไทย

ภาพประกอบกราฟหุ้นที่นิ่ง พร้อมสัญลักษณ์ Beta ต่ำ เงินไหลสม่ำเสมอ และการจ่ายเงินปันผล

ในตลาดหุ้นไทย หรือ SET มีหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมของหุ้น Defensive ที่นักลงทุนสามารถพิจารณาเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดไม่แน่นอน

1. กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities): กลุ่มนี้ครอบคลุมบริการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต เช่น การผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ประปา หรือระบบขนส่งมวลชนที่มีความจำเป็นสูง ผู้ใช้บริการยังคงต้องจ่ายค่าบริการต่อเนื่อง ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร

  • ตัวอย่างในไทย: บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและทางพิเศษศรีรัช หรือ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าให้กับภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ภายใต้เครือ CP

2. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น (Consumer Staples): ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น อาหารแห้ง เครื่องดื่ม ของใช้ในบ้าน หรือสินค้าสุขอนามัย ความต้องการสินค้าเหล่านี้มีความยืดหยุ่นต่ำ หมายความว่า แม้คนจะประหยัดมากขึ้น ก็ยังต้องซื้อของจำเป็นเหล่านี้อยู่ดี

  • ตัวอย่างในไทย: บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่มีสาขากว่าหมื่นแห่งทั่วประเทศ หรือ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกและกระจายสินค้าอุปโภคบริโภคในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกทั่วไป

3. กลุ่มโรงพยาบาลและสุขภาพ (Healthcare): การดูแลสุขภาพเป็นความต้องการที่คงที่ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเฟื่องฟูหรือซบเซา ผู้คนก็ยังต้องพบหมอ ตรวจสุขภาพ หรือซื้อยา ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนและผู้ผลิตยาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของหุ้น Defensive

  • ตัวอย่างในไทย: บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ผู้บริหารเครือข่ายโรงพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศ หรือ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ที่มีชื่อเสียงด้านการรักษาผู้ป่วยชาวต่างชาติและบริการทางการแพทย์ระดับสูง

4. กลุ่มโทรคมนาคม (Telecommunications): ในยุคดิจิทัล การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและการใช้มือถือเป็นปัจจัยพื้นฐานของชีวิต ผู้บริโภคจึงต้องชำระค่าบริการรายเดือนอย่างสม่ำเสมอ แม้ในยามยาก

  • ตัวอย่างในไทย: บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ผู้ให้บริการเครือข่าย AIS หรือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ที่ให้บริการ TrueMove H และ TrueOnline ซึ่งมีฐานลูกค้ารายเดือนจำนวนมากและมั่นคง

การแยกแยะว่าหุ้นไหนเป็น Defensive จริง ๆ ควรพิจารณาจากรายละเอียดของงบการเงิน ไม่ว่าจะเป็นกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง หรืออัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับที่จัดการได้ ข้อมูลเหล่านี้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ผ่าน เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

หุ้น Defensive แตกต่างจากหุ้นประเภทอื่นอย่างไร?

เพื่อให้เข้าใจบทบาทของหุ้น Defensive อย่างชัดเจน การเปรียบเทียบกับหุ้นประเภทอื่นในตลาดจะช่วยให้มองเห็นภาพรวมของการจัดสรรพอร์ตได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับหุ้น Cyclical และหุ้น Growth

ลักษณะ หุ้น Defensive (หุ้นเชิงรับ) หุ้น Cyclical (หุ้นวัฏจักร) หุ้น Growth (หุ้นเติบโต)
นิยาม ธุรกิจมั่นคง รายได้สม่ำเสมอ ไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจ ธุรกิจที่ผลประกอบการผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ ธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูง คาดว่าจะขยายตัวรวดเร็ว
ความผันผวนราคา ต่ำ (Beta < 1) สูง (Beta > 1) ปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับแนวโน้มการเติบโต
ประเภทสินค้า/บริการ ปัจจัยสี่ สินค้าจำเป็น บริการพื้นฐาน สินค้า/บริการฟุ่มเฟือย วัสดุก่อสร้าง พลังงาน นวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ ๆ บริการ disrupt
การจ่ายเงินปันผล สม่ำเสมอและค่อนข้างสูง ไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ มักจะต่ำหรือไม่จ่าย เพื่อนำกำไรไปลงทุนต่อ
ความเหมาะสม ช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว หรือตลาดผันผวน ช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวและเติบโต ช่วงที่ตลาดเชื่อมั่นในอนาคตของธุรกิจ

จากตารางจะเห็นว่า หุ้น Defensive ถูกออกแบบมาเพื่อให้ “อยู่รอด” และ “สร้างรายได้” ได้แม้ในยามวิกฤต ต่างจากหุ้น Cyclical ที่ต้องรอจังหวะเศรษฐกิจขาขึ้น และหุ้น Growth ที่เน้นการเติบโตอย่างรวดเร็วแต่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งหมายความว่า ไม่มีหุ้นประเภทใดดีกว่ากันโดยสิ้นเชิง แต่ขึ้นอยู่กับ “สถานการณ์” และ “เป้าหมาย” ของนักลงทุน

ข้อดีและข้อจำกัดของการลงทุนในหุ้น Defensive

การเลือกลงทุนในหุ้น Defensive ไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน เพราะแม้จะมีจุดเด่นหลายประการ แต่ก็มีข้อควรระวังที่ต้องเข้าใจให้ลึกซึ้ง

ข้อดี (Advantages)

  • สร้างความมั่นคงให้พอร์ตลงทุน: เมื่อหุ้นส่วนใหญ่ร่วงแรงในช่วงตลาดขาลง หุ้น Defensive มักจะลดลงน้อยกว่า หรือบางตัวอาจทรงตัวได้ ทำให้พอร์ตโดยรวมไม่เสียหายหนักจนฟื้นตัวยาก
  • กระแสเงินสดสม่ำเสมอ: เงินปันผลที่จ่ายอย่างต่อเนื่องเป็นเหมือน “ค่าเช่า” จากการถือหุ้น ช่วยให้นักลงทุนได้รับรายได้แม้ไม่ขายหุ้น และสามารถใช้เงินนี้หมุนเวียนลงทุนต่อได้
  • ลดความเสี่ยง: ความเสี่ยงจากการสูญเสียมูลค่าเงินต้นต่ำกว่าหุ้นประเภทอื่น โดยเฉพาะหุ้นที่ขึ้นกับอารมณ์ตลาดหรือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว
  • เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว: การถือครองหุ้น Defensive เป็นกลยุทธ์ที่เน้น “สะสมรายได้” และ “รักษามูลค่า” มากกว่าการเก็งกำไร จึงเหมาะกับผู้ที่วางแผนการเงินระยะยาว เช่น การเกษียณอายุ

ข้อจำกัด (Limitations)

  • โอกาสการเติบโตต่ำ (Lower Growth Potential): เนื่องจากธุรกิจเติบโตอย่างช้า ๆ ราคาหุ้นจึงไม่พุ่งแรงเหมือนหุ้น Growth หรือหุ้น Cyclical ในช่วงตลาดขาขึ้น นักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนก้อนโตในระยะสั้นอาจรู้สึกผิดหวัง
  • อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Sensitivity): เมื่ออัตราดอกเบี้ยขึ้น ผลตอบแทนจากพันธบัตรหรือเงินฝากธนาคารก็สูงขึ้น ทำให้หุ้นที่ให้ปันผลดูน่าสนใจน้อยลง ส่งผลให้ราคาหุ้น Defensive อาจถูกกดดัน
  • ไม่ใช่ภูมิคุ้มกันสมบูรณ์ (Not Immune to All Risks): แม้จะมีความมั่นคง แต่ก็ยังเผชิญกับความเสี่ยงเฉพาะ เช่น การปรับกฎเกณฑ์จากรัฐ (เช่น การควบคุมราคาน้ำไฟ) หรือปัญหาการบริหารภายใน เช่น การทุจริตหรือการขาดทุนจากโครงการใหม่
  • ต้นทุนโอกาส (Opportunity Cost): หากถือหุ้น Defensive มากเกินไปในช่วงที่ตลาดกำลังเติบโตอย่างร้อนแรง อาจทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรจากหุ้นเทคโนโลยีหรือหุ้นพลังงานที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่ามาก

กลยุทธ์การคัดเลือกและลงทุนหุ้น Defensive ในตลาดไทย

การลงทุนในหุ้น Defensive ไม่ใช่แค่เลือกชื่อบริษัทแล้วซื้อทันที แต่ต้องอาศัยกระบวนการคัดเลือกอย่างเป็นระบบเพื่อให้ได้หุ้นที่ “ดีจริง” และ “ยั่งยืน” นักลงทุนไทยสามารถใช้แนวทางต่อไปนี้เป็นกรอบการทำงาน

1. การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis): เน้นบริษัทที่มีโครงสร้างพื้นฐานมั่นคง

  • รายได้และกำไร: ศึกษาแนวโน้มรายได้และกำไรย้อนหลัง 5-10 ปี ว่ามีความต่อเนื่องหรือไม่ แม้ในปีที่เศรษฐกิจแย่ เช่น ปี 2563 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
  • กระแสเงินสด: ดู cash flow จากการดำเนินงาน ว่าเป็นบวกและเพียงพอต่อการจ่ายปันผล ไม่ใช่มาจากการกู้เงินหรือขายสินทรัพย์
  • หนี้สิน: ตรวจสอบอัตราส่วน D/E (Debt to Equity) ว่าไม่สูงเกินไป โดยทั่วไปควรต่ำกว่า 1.0 หรืออยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้สำหรับอุตสาหกรรมนั้น

2. การใช้ค่า Beta (Using Beta Value): ค่า Beta บอกว่าหุ้นตัวนี้ผันผวนมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับตลาด

  • เลือกหุ้นที่มี Beta ต่ำกว่า 1.0 โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่ำกว่า 0.8 จะยิ่งดี ซึ่งแสดงว่าราคาหุ้นไม่กระโดดตามอารมณ์ตลาด ข้อมูล Beta สามารถหาได้จากเว็บไซต์ SET หรือแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น เช่น Bloomberg, StockRadars หรือ Settrade Streaming

3. การพิจารณาเงินปันผล (Dividend Consideration): เงินปันผลคือรางวัลที่นักลงทุนได้รับจากการถือหุ้น

  • ดู Dividend Yield ว่าอยู่ในระดับน่าสนใจ (เช่น 3-5%) และเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล หากปันผลต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ก็อาจไม่น่าสนใจ
  • ตรวจสอบ Payout Ratio (อัตราการจ่ายปันผลต่อกำไรสุทธิ) ว่าไม่สูงเกินไป เช่น ไม่เกิน 70% เพื่อให้บริษัทมีเงินเหลือไว้รองรับภาวะฉุกเฉินหรือลงทุนต่อ

4. ดูแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic Trends): ถึงแม้จะเป็นหุ้น Defensive แต่ก็ไม่ได้ลอยตัวเหนือเศรษฐกิจ

5. การกระจายความเสี่ยง (Diversification): อย่าใส่ทั้งหมดในหุ้น Defensive เพียงกลุ่มเดียว

  • แม้หุ้นเหล่านี้จะมั่นคง แต่การกระจายไปยังหุ้น Cyclical หรือ Growth บ้าง หรือผสมกับสินทรัพย์อื่น เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ ทองคำ หรือเงินสด จะช่วยให้พอร์ตมีสมดุลระหว่าง “ความปลอดภัย” และ “โอกาสเติบโต”

บทสรุป: หุ้น Defensive ทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับนักลงทุนไทย

หุ้น Defensive ไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือกสำรอง แต่เป็นเสาหลักที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การเข้าใจลักษณะเฉพาะ ข้อดี-ข้อเสีย และกลยุทธ์การเลือกซื้อ จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างมีเหตุมีผล มากกว่าการซื้อตามกระแสหรือคำแนะนำทั่วไป

การบรรจุหุ้น Defensive เข้าไปในพอร์ต ไม่ใช่เพื่อ “เอาชนะตลาด” แต่เพื่อ “อยู่รอด” และ “รักษามูลค่า” ได้ในระยะยาว เมื่อผสมผสานกับหุ้นประเภทอื่นอย่างเหมาะสม จะช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถเดินทางผ่านทุกภาวะตลาดได้อย่างมั่นคง และก้าวสู่เป้าหมายการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน และหากไม่มั่นใจ ควรขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน

หุ้น Defensive เหมาะกับนักลงทุนประเภทไหนในตลาดหุ้นไทย?

หุ้น Defensive เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคง ป้องกันความเสี่ยงในช่วงตลาดผันผวน หรือผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดจากเงินปันผลสม่ำเสมอ รวมถึงนักลงทุนมือใหม่ที่ไม่ต้องการความเสี่ยงสูง และนักลงทุนที่กำลังจะเกษียณอายุที่ต้องการรักษามูลค่าเงินต้น

เราจะหาหุ้น Defensive ที่ดีใน SET ได้อย่างไร? มีเครื่องมืออะไรแนะนำบ้าง?

คุณสามารถเริ่มต้นจากการดูหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมสาธารณูปโภค สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น โรงพยาบาล และโทรคมนาคม จากนั้นใช้เครื่องมือคัดกรองหุ้น (Stock Screener) ที่มีอยู่ในเว็บไซต์ SET.or.th หรือแพลตฟอร์มโบรกเกอร์ต่าง ๆ เพื่อกรองหุ้นที่มีค่า Beta ต่ำ (น้อยกว่า 1) มีประวัติการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และมีผลประกอบการคงที่

หุ้น Defensive มีความเสี่ยงอะไรบ้างที่นักลงทุนไทยควรระวัง?

แม้จะมีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น

  • โอกาสเติบโตจำกัด: อาจพลาดโอกาสทำกำไรสูงในช่วงตลาดขาขึ้น
  • อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย: หากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น หุ้นปันผลสูงอาจน่าสนใจน้อยลง
  • ความเสี่ยงเฉพาะอุตสาหกรรม: เช่น การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบภาครัฐสำหรับกลุ่มสาธารณูปโภค หรือการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มโทรคมนาคม

หุ้น Defensive กับหุ้น Cyclical มีความแตกต่างกันอย่างไรในมุมมองของนักลงทุนไทย?

สำหรับนักลงทุนไทย

  • หุ้น Defensive: เน้นความมั่นคง ไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจ เหมาะกับการลงทุนในภาวะตลาดไม่แน่นอน ตัวอย่างเช่น หุ้นโรงพยาบาล หรือหุ้นไฟฟ้า
  • หุ้น Cyclical: ผลประกอบการผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจไทย เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ หรือพลังงาน ที่จะเติบโตได้ดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว

การจ่ายเงินปันผลของหุ้น Defensive ในตลาดไทยมีข้อควรพิจารณาอะไรบ้าง?

ควรพิจารณาถึง

  • ความสม่ำเสมอ: ดูประวัติการจ่ายย้อนหลังว่าจ่ายต่อเนื่องหรือไม่
  • อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield): เปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมและอัตราดอกเบี้ยในตลาด
  • อัตราการจ่ายเงินปันผล (Payout Ratio): ควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่สูงเกินไปจนกระทบสภาพคล่องของบริษัท
  • นโยบายการจ่ายเงินปันผล: บริษัทมีนโยบายที่ชัดเจนหรือไม่

มีหุ้น Defensive ตัวไหนบ้างที่น่าสนใจลงทุนในปี 2568 (หรือปีปัจจุบัน)?

การแนะนำหุ้นรายตัวต้องพิจารณาจากสภาวะตลาดและปัจจัยพื้นฐาน ณ ขณะนั้น ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค (เช่น BEM, GPSC) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น (เช่น CPALL, BJC) กลุ่มโรงพยาบาล (เช่น BDMS, BH) และกลุ่มโทรคมนาคม (เช่น ADVANC) มักจะเป็นตัวเลือกที่ถูกพูดถึงในฐานะหุ้น Defensive ที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่อง ควรทำการวิเคราะห์เพิ่มเติมก่อนลงทุน

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสามารถเป็นหุ้น Defensive ได้หรือไม่ในบริบทของเศรษฐกิจไทย?

โดยทั่วไปแล้ว หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมักถูกจัดเป็นหุ้น Growth เนื่องจากมีศักยภาพการเติบโตสูงและมีความผันผวนสูง อย่างไรก็ตาม ในบริบทของเศรษฐกิจไทยและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป บางบริษัทเทคโนโลยีที่ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน (เช่น ระบบชำระเงินออนไลน์, E-commerce พื้นฐาน) อาจมีลักษณะบางอย่างคล้าย Defensive ได้ แต่โดยรวมแล้วยังคงมีความเสี่ยงด้านการแข่งขันและนวัตกรรมที่สูงกว่าหุ้น Defensive ดั้งเดิม

ควรจัดสรรสัดส่วนหุ้น Defensive ในพอร์ตลงทุนของคนไทยเท่าไหร่ดี?

สัดส่วนที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุน อายุ และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงสูง หรืออยู่ในช่วงใกล้เกษียณ อาจจัดสรรสัดส่วนหุ้น Defensive ได้ถึง 40-60% ของพอร์ต ในขณะที่นักลงทุนวัยหนุ่มสาวที่รับความเสี่ยงได้สูง อาจมีสัดส่วนเพียง 10-30% เพื่อเปิดโอกาสให้หุ้น Growth สร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น

ถ้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในไทย หุ้น Defensive จะยังคงปลอดภัยอยู่หรือไม่?

ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ หุ้น Defensive มักจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าหุ้นประเภทอื่น ๆ เนื่องจากความต้องการสินค้าและบริการที่จำเป็นยังคงมีอยู่ ทำให้ผลประกอบการไม่ตกต่ำรุนแรงเท่า อย่างไรก็ตาม “ปลอดภัย” ไม่ได้หมายถึง “ไม่ได้รับผลกระทบเลย” หุ้น Defensive ก็ยังคงอาจปรับตัวลดลงได้บ้าง แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะลดลงน้อยกว่าและฟื้นตัวได้เร็วกว่าหุ้นอื่น ๆ

นอกจากหุ้นแล้ว มีสินทรัพย์อะไรอีกบ้างที่ถือเป็น Defensive Asset สำหรับนักลงทุนไทย?

นอกจากหุ้น Defensive แล้ว สินทรัพย์อื่น ๆ ที่ถือเป็น Defensive Asset สำหรับนักลงทุนไทย ได้แก่

  • เงินสดและเงินฝาก: มีสภาพคล่องสูงและปลอดภัยที่สุด
  • พันธบัตรรัฐบาล: มีความเสี่ยงต่ำ ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ
  • ทองคำ: มักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยยามเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือความไม่แน่นอนทางการเมือง
  • กองทุนรวมตลาดเงิน: ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและสภาพคล่องสูง