บทนำ: แนวรับ แนวต้าน คืออะไร ทำไมต้องรู้?

ในโลกของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟอเร็กซ์ หรือทองคำ สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนทุกคนจำเป็นต้องเข้าใจและใช้เป็นอย่างดี คือ “แนวรับ” และ “แนวต้าน” เส้นสองเส้นนี้ดูเหมือนเรียบง่าย แต่กลับเป็นรากฐานสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่สามารถเปลี่ยนการมองกราฟราคาให้มีความหมายมากยิ่งขึ้น ช่วยให้เราเข้าใจจังหวะของตลาด คาดการณ์จุดเปลี่ยนของราคา และตัดสินใจซื้อ-ขายได้อย่างมีเหตุผล บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทั้งความหมาย วิธีระบุ กลยุทธ์การใช้งานจริงในตลาดไทย รวมถึงข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อให้คุณใช้แนวรับแนวต้านอย่างมืออาชีพและเพิ่มโอกาสทำกำไรอย่างยั่งยืน
แนวรับ แนวต้าน คืออะไร? นิยามและหลักการพื้นฐาน

แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่มีพฤติกรรมซ้ำได้ในอดีต โดยเป็นจุดที่ราคามักหยุดและเปลี่ยนทิศทาง ซึ่งเกิดจากแรงซื้อและแรงขายที่สะสมตัวอยู่ในระดับเหล่านี้ มันไม่ใช่แค่เส้นบนกราฟ แต่คือภาพสะท้อนของอุปสงค์ อุปทาน และจิตวิทยาตลาดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคา
- แนวรับ: คือระดับราคาที่เมื่อสินทรัพย์ลงมาถึง มักจะมีแรงซื้อเข้ามารับไว้ ทำให้ราคาหยุดลงและดีดตัวกลับขึ้น มองเป็น “พื้น” ที่รองรับไม่ให้ราคาตกลงไปต่ำง่ายๆ เปรียบดั่งผู้ซื้อเริ่มเห็นว่าราคาถูกเกินไป จึงเริ่มเข้าเก็บ ทำให้อุปสงค์เกินอุปทานในระดับนี้
- แนวต้าน: คือระดับราคาที่เมื่อสินทรัพย์ขึ้นไปถึง มักจะมีแรงขายกดดันให้ราคาหยุดและปรับตัวลง มองเป็น “เพดาน” ที่ขวางการขึ้นของราคา นักลงทุนเริ่มมองว่าราคาสูงเกินไป จึงเริ่มขายทำกำไร ทำให้อุปทานเริ่มมากกว่าอุปสงค์
สิ่งสำคัญคือ แนวรับแนวต้านไม่ใช่จุดตายตัว แต่เป็น “โซน” หรือ “พื้นที่” ที่พฤติกรรมของตลาดมีแนวโน้มจะตอบสนอง ยิ่งมีการทดสอบซ้ำหลายครั้งโดยไม่สามารถผ่านไปได้ โซนนั้นก็ยิ่งมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากขึ้น
วิธีการระบุและตีเส้นแนวรับ แนวต้าน อย่างแม่นยำ

การตีเส้นแนวรับแนวต้านอย่างถูกต้องเป็นทักษะพื้นฐานที่ต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีวิธีเดียวที่ใช้ได้กับทุกตลาด แต่การใช้หลายวิธีร่วมกันจะช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดความผิดพลาดได้มาก
การใช้จุดสูงสุดและต่ำสุดในอดีต (Historical Highs & Lows)
วิธีที่ง่ายที่สุดและมีประสิทธิภาพคือการมองหา “จุดสวิง” (Swing Points) บนกราฟแท่งเทียน ได้แก่ จุดต่ำสุด (Swing Lows) และจุดสูงสุด (Swing Highs) ที่เห็นชัดเจนและเคยทำหน้าที่เป็นจุดเปลี่ยนทิศทาง
- แนวรับ: ลากเส้นแนวนอนผ่านจุดต่ำสุดที่สำคัญ 2-3 จุดขึ้นไป ซึ่งราคาเคยลงมาแล้วดีดกลับ
- แนวต้าน: ลากเส้นแนวนอนผ่านจุดสูงสุดที่สำคัญ 2-3 จุดขึ้นไป ซึ่งราคาเคยขึ้นไปแล้วปรับตัวลง
ความแข็งแกร่งของเส้นนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่ราคา “แตะแล้วกลับตัว” ยิ่งมีการทดสอบบ่อยเท่าไหร่ เส้นนั้นก็ยิ่งสำคัญมากเท่านั้น และการวิเคราะห์ในกรอบเวลายาว เช่น รายวันหรือรายสัปดาห์ จะให้มุมมองที่ชัดเจนกว่ากรอบเวลาสั้น ช่วยแยกแยะเส้นที่แท้จริงออกจากเส้นที่เกิดจากความผันผวนชั่วคราว
การใช้เส้นแนวโน้ม (Trendlines)
เส้นแนวโน้มเป็นเครื่องมือที่ช่วยระบุแนวรับแนวต้านแบบไดนามิก ซึ่งปรับเปลี่ยนไปตามการเคลื่อนที่ของราคา
- ในเทรนด์ขาขึ้น (Uptrend): เส้นแนวโน้มที่ลากผ่านจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จะทำหน้าที่เป็น “แนวรับ” ชั่วคราว ราคามักจะย่อตัวลงมาหาเส้นนี้ก่อนจะดีดตัวต่อ
- ในเทรนด์ขาลง (Downtrend): เส้นแนวโน้มที่ลากผ่านจุดสูงสุดที่ต่ำลงเรื่อยๆ จะทำหน้าที่เป็น “แนวต้าน” ชั่วคราว ราคามักจะดีดตัวขึ้นมาแตะเส้นนี้ก่อนจะถูกกดลงต่อ
ข้อควรระวังคือ เส้นแนวโน้มต้องลากจากอย่างน้อยสองจุด และยิ่งมีการทดสอบและยืนยันพฤติกรรมซ้ำได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความน่าเชื่อถือสูงขึ้น
การใช้ระดับราคา Fibonacci Retracement
Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ได้รับความนิยมสูงในการระบุจุดพักตัวหรือกลับตัวที่เป็นไปได้ โดยเฉพาะหลังจากราคาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงในทิศทางหนึ่ง ระดับสำคัญอย่าง 38.2%, 50% และ 61.8% มักกลายเป็นจุดที่ราคามีแนวโน้มจะหยุดและเปลี่ยนทิศทาง
การใช้ Fibonacci ควรพิจารณาประกอบกับปัจจัยอื่น เช่น รูปแบบแท่งเทียนหรือระดับแนวรับแนวต้านแนวนอนเดิม หากมีการ “ซ้อนทับ” ระหว่างระดับ Fibonacci กับจุดสวิงในอดีต จะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับจุดนั้นอย่างมาก
ประเภทของแนวรับ แนวต้าน และความแข็งแกร่ง
ไม่ใช่ทุกเส้นจะให้ผลเหมือนกัน การเข้าใจประเภทและความแข็งแกร่งของแนวรับแนวต้านจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้แม่นยำและลดความเสี่ยงได้มาก
แนวรับ แนวต้าน แบบคงที่ (Static Support & Resistance)
คือระดับราคาแนวนอนที่เกิดจากจุดสูงสุดหรือต่ำสุดในอดีตที่สำคัญ หรือระดับราคาที่มีความหมายทางจิตวิทยา เช่น 1,000 จุดใน SET Index หรือ 30,000 บาทต่อบาททองคำ ระดับเหล่านี้มักคงอยู่ในระยะยาว และมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนจำนวนมาก ทำให้มีน้ำหนักมากเมื่อราคามาแตะ
แนวรับ แนวต้าน แบบไดนามิก (Dynamic Support & Resistance)
คือระดับที่เคลื่อนที่ตามราคา โดยส่วนใหญ่มาจากเครื่องมือวิเคราะห์ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือเส้นแนวโน้ม เมื่อราคาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย เช่น MA 50 หรือ MA 200 เส้นเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นแนวรับ แต่ถ้าราคาตกลงมาอยู่ใต้ จะกลายเป็นแนวต้านแทน
ปัจจัยที่บ่งบอกความแข็งแกร่งของแนวรับ แนวต้าน
เส้นที่ดูเหมือนกัน แต่บางเส้นก็พังง่าย บางเส้นก็ทนทาน การประเมินความแข็งแกร่งช่วยแยกแยะความแตกต่าง
- จำนวนครั้งที่ทดสอบ: เส้นที่ถูกทดสอบหลายครั้งและราคากลับตัวทุกครั้ง มีน้ำหนักมากกว่าเส้นที่เพิ่งเกิดขึ้น
- กรอบเวลา (Timeframe): เส้นจากกราฟรายวันหรือรายสัปดาห์น่าเชื่อถือกว่าเส้นจากกราฟ 15 นาที เพราะสะท้อนพฤติกรรมของผู้เล่นรายใหญ่
- ปริมาณการซื้อขาย (Volume): หากมีปริมาณซื้อขายสูงเมื่อราคาแตะเส้น แสดงว่ามีความสนใจของตลาดในระดับนั้นจริง
- ระยะเวลาที่คงอยู่: ยิ่งเส้นนั้น “อยู่มาเนิ่นนาน” โดยที่ราคาไม่สามารถทำลายได้ ยิ่งแสดงถึงความแข็งแกร่ง
กลยุทธ์การเทรดด้วยแนวรับ แนวต้าน: โอกาสทำกำไรในตลาดไทย
เมื่อรู้จักเส้นแล้ว ต่อไปคือการนำไปใช้ในการเทรดอย่างมีระบบ ไม่ว่าจะเป็นการเทรดตามการกลับตัว (Reversal) หรือตามการทะลุผ่าน (Breakout)
การเทรดเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ/แนวต้าน (Revers同行 Trading)
กลยุทธ์นี้อาศัยความคาดหวังว่าราคาจะกลับตัวเมื่อแตะเส้น
- ที่แนวรับ: เมื่อราคาลงมาแตะแนวรับและเกิดรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกแรงซื้อ เช่น รูปแบบ Hammer, Bullish Engulfing หรือ Doji พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น อาจพิจารณาเข้าซื้อ
- ที่แนวต้าน: เมื่อราคาขึ้นไปแตะแนวต้านและเกิดรูปแบบที่บ่งบอกแรงขาย เช่น Shooting Star, Bearish Engulfing หรือ Doji พร้อมปริมาณซื้อขายสูง อาจพิจารณาเข้าขาย
สิ่งสำคัญคือการตั้ง Stop Loss อย่างมีเหตุผล สำหรับการซื้อ ควรตั้งไว้ต่ำกว่าแนวรับเล็กน้อยเพื่อรับมือกรณีเส้นพัง ส่วนการขาย ควรตั้งไว้เหนือแนวต้านเล็กน้อย
การเทรดเมื่อราคา Breakout แนวรับ/แนวต้าน (Breakout Trading)
Breakout เกิดขึ้นเมื่อราคาสามารถพุ่งผ่านแนวรับหรือแนวต้านสำคัญได้อย่างเด็ดขาด มักบ่งบอกถึงการเปลี่ยนทิศทางแนวโน้ม
- ยืนยัน Breakout: ควรดูว่าราคา “ปิดแท่ง” อยู่เหนือ/ใต้เส้นอย่างชัดเจน และมีปริมาณการซื้อขายที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งบ่งบอกถึงแรงขับเคลื่อนที่แท้จริง
- บทบาทที่เปลี่ยนแปลง (Role Reversal): เมื่อแนวต้านถูกทำลาย ระดับนั้นมักจะกลายเป็นแนวรับใหม่ และเมื่อแนวรับถูกทำลาย ก็มักจะกลายเป็นแนวต้านใหม่
กลยุทธ์หนึ่งคือรอให้ราคามีการ “Pullback” กลับมาทดสอบเส้นเดิมที่กลายเป็นเส้นใหม่ หากไม่สามารถผ่านไปได้ ก็ถือเป็นจุดเข้าที่มีความเสี่ยงต่ำและโอกาสทำกำไรสูง
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในตลาดหุ้นไทยและทองคำ
ในตลาดหุ้นไทย (SET Index) นักลงทุนมักใช้แนวรับแนวต้านเพื่อกำหนดจุดซื้อขาย เช่น เมื่อดัชนีเข้าใกล้แนวต้านที่ 1600 จุด ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาและเคยถูกทดสอบหลายครั้ง ผู้ลงทุนอาจพิจารณาขายทำกำไร หรือลดความเสี่ยง จนกว่าจะเห็นสัญญาณยืนยันการ Breakout
สำหรับทองคำ ราคาในประเทศขึ้นอยู่กับราคาโลกและค่าเงินบาท หากทองคำโลกอยู่นิ่งแต่ค่าเงินบาทอ่อนค่า ราคาทองในประเทศจะสูงขึ้น ทำให้แนวรับแนวต้านเดิมอาจเปลี่ยนไป ดังนั้นการติดตามอัตราแลกเปลี่ยนจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงจำเป็นต่อการวิเคราะห์ที่แม่นยำ
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้แนวรับ แนวต้าน และวิธีหลีกเลี่ยง
การใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ก็อาจนำไปสู่ความเสียหายได้หากใช้ผิดวิธี โดยเฉพาะกับนักลงทุนหน้าใหม่
การยึดติดกับเส้นเดียวมากเกินไป
การมองแนวรับแนวต้านเป็น “โซน” มากกว่า “จุดตายตัว” จะช่วยลดความผิดพลาด เนื่องจากราคาไม่จำเป็นต้องแตะเส้นเป๊ะๆ จึงจะกลับตัว ควรให้พื้นที่เล็กน้อยเพื่อรับมือกับความผันผวน
ไม่พิจารณาปัจจัยอื่นๆ ควบคู่
อย่าพึ่งพาเส้นแนวรับแนวต้านเพียงอย่างเดียว ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น เช่น RSI, MACD หรือ Volume และต้องไม่ลืมติดตามข่าวสาร เพราะข่าวใหญ่สามารถทำให้เส้นที่แข็งแกร่งที่สุดก็พังได้ในพริบตา
การเทรดสวนแนวโน้มที่แข็งแกร่ง
ในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มชัดเจน การพยายามเทรด “ตามเส้น” อาจเสี่ยงเกินไป ควรรอให้แนวโน้มอ่อนตัวหรือใช้เส้นเพื่อหาจุดเข้าในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลักจะปลอดภัยกว่า
การละเลยการบริหารความเสี่ยง
นี่คือข้อผิดพลาดร้ายแรงที่สุด ไม่ว่าคุณจะมั่นใจแค่ไหน ต้องตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง และควบคุมขนาดพอร์ตให้เหมาะสม การขาดวินัยด้านความเสี่ยงอาจทำให้คุณสูญเสียทั้งทุนที่หามาอย่างยากลำบาก
สรุป: แนวรับ แนวต้าน เครื่องมือสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรด
แนวรับและแนวต้านไม่ใช่สูตรสำเร็จในการทำกำไร แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของตลาดได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มันสะท้อนถึงแรงซื้อ แรงขาย และจิตวิทยาของนักลงทุนที่สะสมตัวอยู่ในระดับราคาหนึ่งๆ
การเรียนรู้วิธีระบุ วิเคราะห์ความแข็งแกร่ง และนำไปประยุกต์ใช้ร่วมกับการบริหารความเสี่ยง จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเทรดในตลาดหุ้นไทย ทองคำ หรือฟอเร็กซ์ การฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง วิเคราะห์ย้อนหลัง และเรียนรู้จากข้อผิดพลาด คือกุญแจสำคัญที่จะพาคุณไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
แนวรับ แนวต้าน ทอง คืออะไร แตกต่างจากในตลาดหุ้นอย่างไร?
แนวรับแนวต้านทองคำคือระดับราคาที่ราคาทองคำมีแนวโน้มจะหยุดและกลับตัว เช่นเดียวกับในหุ้น แต่ความต่างคือ ทองคำได้รับอิทธิพลจากปัจจัยระดับโลก เช่น อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้แนวรับแนวต้านถูกทำลายได้เร็วและแรงกว่าหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะบริษัทเข้ามาเกี่ยวข้อง
มี Indicator ตัวไหนบ้างที่ช่วยระบุแนวรับ แนวต้าน ได้แม่นยำขึ้น?
มีหลายตัวที่ช่วยเสริมการวิเคราะห์ ได้แก่:
- Moving Averages (MA): ทำหน้าที่เป็นแนวรับแนวต้านแบบเคลื่อนที่ ตัวอย่างเช่น MA 200 มักเป็นระดับสำคัญ
- Bollinger Bands: แถบบนและล่างสามารถใช้เป็นแนวต้านและแนวรับชั่วคราวได้
- Pivot Points: คำนวณจากราคาปิดก่อนหน้า ช่วยระบุระดับสำคัญในแต่ละวัน
- Volume Profile: แสดงระดับราคาที่มีปริมาณซื้อขายหนาแน่น ซึ่งมักกลายเป็นแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่ง
ควรใช้เหล่านี้เพื่อ “ยืนยัน” เส้นที่คุณมองเห็นด้วยตา ไม่ใช่ใช้แทนกัน
แนวรับ แนวต้าน ในตลาด Forex ควรพิจารณา Timeframe แบบไหน?
ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรด:
- เทรดระยะยาว: ใช้กราฟรายวันหรือรายสัปดาห์ เพื่อหาเส้นสำคัญ
- เทรดระยะกลาง: ใช้กราฟ 4 ชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมง
- เทรดระยะสั้น: ใช้กราฟ 15 นาทีหรือ 5 นาที
แนะนำให้วิเคราะห์จากกรอบเวลาใหญ่ลงมาเล็ก (Top-down Analysis) เพื่อให้เห็นภาพรวมก่อน แล้วค่อยหาจุดเข้าในกรอบเวลาเล็ก
ถ้าแนวรับถูกทำลาย ควรทำอย่างไรต่อไป?
หากแนวรับพังอย่างชัดเจนและมีปริมาณซื้อขายสูง อาจหมายถึงแนวโน้มเปลี่ยนเป็นขาลง หรือการลงต่อเนื่อง ควร:
- ปิดสถานะซื้อ เพื่อลดความเสียหาย
- พิจารณาเปิดสถานะขาย หากมีสัญญาณยืนยันการลงต่อ
- รอการ Pullback กลับมาทดสอบแนวรับเดิมที่ตอนนี้กลายเป็นแนวต้าน หากไม่สามารถผ่านไปได้ อาจเป็นโอกาสเข้าขาย
แนวรับ แนวต้าน ที่แข็งแกร่ง มีลักษณะอย่างไร?
มีลักษณะดังนี้:
- ถูกทดสอบหลายครั้ง โดยราคากลับตัวทุกครั้ง
- อยู่ในกรอบเวลาใหญ่ เช่น รายวัน รายสัปดาห์
- มีปริมาณการซื้อขายสูง เมื่อราคามาถึง
- เป็นระดับจิตวิทยา เช่น 1600 จุด หรือ 30,000 บาท
- เคยมีการพลิกบทบาท เช่น แนวรับที่พังแล้วกลายเป็นแนวต้านที่แข็งแรง
นักลงทุนมือใหม่ในไทย ควรเริ่มต้นใช้แนวรับ แนวต้าน อย่างไร?
ควรเริ่มดังนี้:
- เรียนรู้พื้นฐาน ให้เข้าใจนิยามและวิธีตีเส้น
- ฝึกฝนบนกราฟย้อนหลัง โดยไม่ต้องเทรดจริง
- เริ่มจากกรอบเวลาใหญ่ เช่น รายวัน รายสัปดาห์
- เรียนรู้รูปแบบแท่งเทียน เพื่อช่วยยืนยันสัญญาณ
- ใช้บัญชีทดลอง เพื่อฝึกกลยุทธ์ก่อนลงทุน
- ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง ไม่ว่าจะมั่นใจแค่ไหน
การใช้แนวรับ แนวต้าน ควบคู่กับข่าวสาร หรือปัจจัยพื้นฐาน ทำได้หรือไม่?
ทำได้และควรทำอย่างยิ่ง เพราะข่าวสาร เช่น การประกาศผลประกอบการ หรือการปรับอัตราดอกเบี้ย สามารถยืนยันหรือหักล้างสัญญาณจากแนวรับแนวต้านได้ หากข่าวสนับสนุนทิศทางที่ราคาจะไป ความน่าเชื่อถือของเส้นก็สูงขึ้น แต่ถ้าข่าวสวนทาง อาจทำให้เส้นพังได้ง่าย
แนวรับ แนวต้าน มีโอกาสเกิด “False Breakout” บ่อยแค่ไหน และมีวิธีป้องกันอย่างไร?
เกิดขึ้นบ่อย โดยเฉพาะในกรอบเวลาสั้น วิธีป้องกันคือ:
- รอการยืนยัน: ไม่เข้าทันที รอให้แท่งเทียนปิดเกินเส้นและมี Volume สูง
- รอ Pullback: รอให้ราคากลับมาทดสอบเส้นที่พลิกบทบาท
- ดูกรอบเวลาใหญ่ขึ้น: ช่วยกรองสัญญาณหลอก
- ใช้ Indicator ช่วย: เช่น RSI หรือ MACD ดู Divergence
การตั้ง Stop Loss และ Take Profit โดยใช้แนวรับ แนวต้าน ควรทำอย่างไรในตลาดไทย?
ควรทำดังนี้:
- Stop Loss: ตั้งไว้ต่ำกว่าแนวรับเล็กน้อยสำหรับการซื้อ หรือเหนือแนวต้านเล็กน้อยสำหรับการขาย
- Take Profit: ตั้งไว้ที่แนวต้านถัดไปสำหรับการซื้อ หรือแนวรับถัดไปสำหรับการขาย
ควรพิจารณาค่าคอมมิชชั่นและความผันผวนของสินทรัพย์ด้วย เพื่อให้ระยะห่างของ SL และ TP เหมาะสม
การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท มีผลต่อแนวรับแนวต้านในสินทรัพย์อื่นๆ อย่างไร?
มีผลอย่างมาก โดยเฉพาะ:
- ทองคำ: หากค่าเงินบาทอ่อนค่า ราคาทองในประเทศจะสูงขึ้น แม้ทองโลกจะนิ่ง ทำให้แนวรับแนวต้านเดิมอาจถูกทำลาย
- หุ้นส่งออก/นำเข้า: หุ้นส่งออกได้ประโยชน์เมื่อเงินบาทอ่อน ทำให้แนวต้านอาจถูกทำลายขึ้น ขณะที่หุ้นนำเข้าอาจเจอแนวรับพังลง
ดังนั้น การติดตามค่าเงินบาทจาก
Website: https://ymbproperties.com You must be logged in to post a comment
ymbproperties_co