Bid Ask: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับนักลงทุนไทย เพิ่มโอกาสทำกำไร ลดความเสี่ยง

บทนำ: ทำความเข้าใจ Bid Ask หัวใจสำคัญของการเทรด

นักลงทุนชาวไทยศึกษาหน้าจอการเทรด พร้อมราคาเสนอซื้อเสนอขายและกราฟการเคลื่อนไหวของตลาด

ในโลกของการลงทุนและซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นในประเทศหรือตลาดฟอเร็กซ์ที่มีการซื้อขายข้ามชาติ การเข้าใจกลไกพื้นฐานอย่าง “ราคาเสนอซื้อ” (Bid) และ “ราคาเสนอขาย” (Ask) ถือเป็นรากฐานสำคัญที่นักลงทุนทุกคน ไม่เว้นแม้แต่มือใหม่ ควรศึกษาอย่างลึกซึ้ง เพราะสองราคาดังกล่าวไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอ แต่คือหัวใจของกลไกตลาดที่สะท้อนความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานโดยตรง ทั้งยังส่งผลต่อต้นทุน ผลกำไร และความสำเร็จในการทำธุรกรรมแต่ละครั้ง บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงความหมาย ความสำคัญ และวิธีใช้ประโยชน์จาก Bid-Ask Spread เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ควบคู่กับการจัดการความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ราคา Bid (ราคาเสนอซื้อ) คืออะไร?

อธิบายแนวคิดราคาเสนอซื้อ ผู้ซื้อเสนอราคาสูงสุดที่ต้องการจ่าย เงินเปลี่ยนมือ สะท้อนความต้องการในตลาด

ราคาเสนอซื้อ หรือ Bid Price คือ ราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อรายหนึ่งในตลาดยินดีจ่ายเพื่อซื้อสินทรัพย์นั้น ณ ช่วงเวลาหนึ่ง หรือพูดง่าย ๆ คือ ราคาที่คุณจะได้รับเมื่อคุณตัดสินใจขายสินทรัพย์ที่ถืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น คู่เงิน หรือคริปโตเคอร์เรนซี ดังนั้น หากคุณกำลังจะเปิดสถานะขาย (Sell) หรือปิดสถานะซื้อ (Buy) ราคาที่คุณจะได้รับจริงจะอิงตามตัวเลข Bid นี้

ความเคลื่อนไหวของราคาเสนอซื้อสะท้อนถึงแรงซื้อในตลาดโดยตรง เมื่อมีผู้ซื้อจำนวนมากพร้อมเข้ามาซื้อในระดับราคาที่สูง ราคา Bid มักจะถูกดันให้สูงขึ้นตามไปด้วย ในทางกลับกัน หากแรงซื้อเริ่มอ่อนตัวลง หรือตลาดมีแนวโน้มเชิงลบ ราคา Bid ก็มีแนวโน้มลดต่ำลงตามอุปสงค์ที่ลดลง นี่คือเหตุผลว่าทำไมการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ Bid Price อย่างต่อเนื่องจึงช่วยให้นักลงทุนประเมินทิศทางและอารมณ์ของตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น

ราคา Ask (ราคาเสนอขาย) คืออะไร?

อธิบายแนวคิดราคาเสนอขาย ผู้ขายตั้งราคาต่ำสุดที่ยอมรับได้ สินทรัพย์ถูกโอนให้ผู้ซื้อ สะท้อนอุปทานในตลาด

ราคาเสนอขาย หรือ Ask Price (บางครั้งเรียกว่า Offer Price) คือ ราคาต่ำสุดที่ผู้ขายรายหนึ่งยินดีรับเพื่อขายสินทรัพย์นั้น ณ ขณะนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือราคาที่คุณต้องจ่ายเมื่อต้องการซื้อสินทรัพย์ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม ดังนั้น หากคุณต้องการเปิดสถานะซื้อ (Buy) หรือปิดสถานะขาย (Sell) ราคาที่คุณจะต้องจ่ายจริงจะอยู่ที่ Ask Price

ราคาเสนอขายนี้สะท้อนถึงแรงขายในตลาด หากมีผู้ขายจำนวนมากที่ต้องการปล่อยสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำ ราคา Ask มีแนวโน้มจะถูกลดลงเพื่อให้สามารถขายได้เร็วขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากผู้ขายมีความมั่นใจในมูลค่าของสินทรัพย์และคาดหวังราคาที่สูงกว่า ราคา Ask ก็จะค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการของฝั่งผู้ขาย ความสมดุลระหว่างผู้เสนอซื้อและผู้เสนอขายจึงเป็นกลไกที่ขับเคลื่อนราคาตลาดให้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

Bid-Ask Spread (ส่วนต่างราคาเสนอซื้อเสนอขาย) คืออะไร? และคำนวณอย่างไร?

Bid-Ask Spread คือช่องว่างระหว่างราคาเสนอขาย (Ask) กับราคาเสนอซื้อ (Bid) ซึ่งถือเป็นต้นทุนแฝงที่นักลงทุนต้องจ่ายทุกครั้งที่เข้าหรือออกจากตำแหน่งการเทรด โดยพื้นฐานแล้ว มันคือส่วนต่างที่แสดงถึงความไม่สมดุลชั่วคราวระหว่างความต้องการซื้อและขาย และเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้โบรกเกอร์หรือมาร์เก็ตเมกเกอร์สามารถทำกำไรได้จากการอำนวยความสะดวกในการซื้อขาย

**สูตรการคำนวณ Bid-Ask Spread:**
Ask Price – Bid Price = Bid-Ask Spread

**ตัวอย่างประกอบ:**
พิจารณาคู่เงิน EUR/USD ที่แสดงราคาดังนี้:
– ราคาเสนอซื้อ (Bid): 1.1200
– ราคาเสนอขาย (Ask): 1.1205

ส่วนต่างจะเท่ากับ 1.1205 – 1.1200 = 0.0005 หรือเทียบเท่ากับ 5 pips (ในตลาดฟอเร็กซ์) นี่หมายความว่า หากคุณซื้อที่ 1.1205 แล้วขายทันทีที่ 1.1200 คุณจะขาดทุนทันที 5 pips ซึ่งก็คือต้นทุนการซื้อขายที่แท้จริง

ในตลาดหุ้น การคำนวณ Spread ก็ใช้หลักการเดียวกัน เช่น หุ้น PTT ที่เสนอซื้อที่ 35.20 บาท และเสนอขายที่ 35.25 บาท จะมี Spread เท่ากับ 0.05 บาท

ทำไมต้องมี Bid-Ask Spread? กลไกตลาดที่ควรรู้

การมีอยู่ของ Bid-Ask Spread ไม่ใช่ข้อผิดพลาดหรือกลยุทธ์เอาเปรียบ แต่เป็นกลไกธรรมชาติของตลาดที่จำเป็นเพื่อให้การซื้อขายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลัก ๆ ที่ขับเคลื่อนสิ่งนี้ ได้แก่:

**สภาพคล่อง (Liquidity):** สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น หุ้นใหญ่ใน SET หรือคู่เงินหลักในฟอเร็กซ์ จะมีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก ทำให้มาร์เก็ตเมกเกอร์สามารถจับคู่คำสั่งได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ Spread แคบลง ในขณะที่สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำมักมี Spread กว้างเพราะความเสี่ยงในการถือครองสินทรัพย์สูง

**ความผันผวน (Volatility):** ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง เช่น หลังประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหรือเหตุการณ์ทางการเมือง ความไม่แน่นอนจะเพิ่มขึ้น มาร์เก็ตเมกเกอร์จึงขยาย Spread เพื่อชดเชยความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงราคาที่รวดเร็วและคาดเดายาก

**ต้นทุนดำเนินงาน:** มาร์เก็ตเมกเกอร์ต้องลงทุนในระบบเทคโนโลยี การวิเคราะห์ และการบริหารความเสี่ยง การตั้ง Spread จึงเป็นช่องทางหลักในการชดเชยต้นทุนเหล่านี้และรักษาระบบตลาดให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของ Bid-Ask Spread

ขนาดของ Spread ไม่คงที่ แต่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามสภาพแวดล้อมทางการตลาด โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา:

**สภาพคล่องของสินทรัพย์:** ยิ่งสินทรัพย์มีปริมาณการซื้อขายมากและมีผู้เข้าร่วมตลาดจำนวนมาก Spread มักจะแคบลง เช่น EUR/USD หรือหุ้น PTT, AOT ที่มีการซื้อขายหนาแน่น ต่างจากหุ้นขนาดเล็กหรือคู่เงินแปลกใหม่ (exotic pairs) ที่มี Spread กว้างกว่ามาก

**ความผันผวนของตลาด:** ข่าวสารสำคัญ เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง หรือตัวเลขการจ้างงาน สามารถทำให้ตลาดผันผวนได้ทันที ส่งผลให้ Spread กว้างขึ้นอย่างฉับพลันเพื่อลดความเสี่ยงให้กับผู้ให้สภาพคล่อง

**ประเภทของสินทรัพย์:**
– **ฟอเร็กซ์:** คู่เงินหลัก (Major pairs) มี Spread แคบกว่าคู่รอง (Minor) หรือคู่แปลกใหม่ (Exotic)
– **หุ้น:** หุ้นใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูง (Blue-chip) มี Spread ต่ำกว่าหุ้นขนาดเล็ก (Penny stocks)
– **คริปโตเคอร์เรนซี:** โดยทั่วไปมี Spread กว้างกว่าสินทรัพย์ดั้งเดิม เนื่องจากความผันผวนสูงและสภาพคล่องที่ยังไม่เสถียร

**ช่วงเวลาทำการ:** ในตลาดฟอเร็กซ์ ช่วงที่ตลาดลอนดอนและนิวยอร์กทับซ้อนกัน (ประมาณ 20.00–01.00 น. เวลาไทย) มักมีสภาพคล่องสูงและ Spread แคบ ในขณะที่ช่วงกลางคืนของไทยที่ตลาดเอเชียยังไม่คึกคัก หรือช่วงวันหยุด สภาพคล่องลดลงทำให้ Spread กว้างขึ้น

**นโยบายของโบรกเกอร์:** โบรกเกอร์แต่ละรายอาจมีรูปแบบการกำหนด Spread ต่างกัน บางรายใช้ Fixed Spread (คงที่) เพื่อความแน่นอนของต้นทุน บางรายใช้ Floating Spread (ลอยตัว) ที่เปลี่ยนแปลงตามตลาด นักลงทุนจึงควรเปรียบเทียบเพื่อเลือกผู้ให้บริการที่เหมาะกับสไตล์การเทรด

Bid-Ask Spread ส่งผลกระทบต่อการเทรดของคุณอย่างไร?

Bid-Ask Spread มีบทบาทโดยตรงต่อผลประกอบการและประสบการณ์การเทรดของนักลงทุนในหลายมิติ:

**ต้นทุนการซื้อขาย:** ไม่ว่าจะซื้อหรือขาย Spread คือค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิดหรือปิดตำแหน่ง โดยเฉพาะนักเทรดที่เข้าตลาดบ่อย หรือใช้กลยุทธ์ Scalping การสะสมของ Spread จะกินกำไรไปอย่างมาก

**จุดเข้าและจุดออก:** เมื่อคุณกด “ซื้อ” คุณจะจ่ายที่ราคา Ask ซึ่งสูงกว่าราคาที่ปรากฏบนกราฟ (ซึ่งมักอิงจาก Bid) และเมื่อ “ขาย” คุณจะได้รับที่ราคา Bid ซึ่งต่ำกว่า ทำให้ราคาที่เห็นบนหน้าจอกับราคาจริงที่ได้รับอาจต่างกัน

**Slippage (การลื่นไหลของราคา):** ในช่วงตลาดที่มีความผันผวนสูงหรือสภาพคล่องต่ำ การใช้คำสั่ง Market Order อาจทำให้คำสั่งของคุณถูกเติมเต็มที่ราคาที่แย่กว่าที่คาดไว้ ซึ่งมักเกิดจาก Spread ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

**ผลกระทบต่อกลยุทธ์การเทรด:**
– **Scalping / Day Trading:** ได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะกำไรต่อครั้งมักเล็กกว่า Spread ทำให้ต้องพึ่งการซื้อขายบ่อยขึ้น
– **Swing Trading / ลงทุนระยะยาว:** ได้รับผลกระทบต่ำ เพราะผลกำไรต่อตำแหน่งมีขนาดใหญ่กว่ามาก

กลยุทธ์การเทรดที่ชาญฉลาดกับ Bid-Ask Spread สำหรับนักลงทุนไทย

การเข้าใจ Bid-Ask Spread เป็นแค่จุดเริ่มต้น แต่การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการเทรด:

**เลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม:** นักลงทุนควรเปรียบเทียบโบรกเกอร์ทั้งในด้าน Spread ประเภทคำสั่ง และความน่าเชื่อถือ ตรวจสอบรายชื่อโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากโบรกเกอร์เถื่อน

**หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่ Spread กว้าง:** งดการเทรดในช่วงที่ประกาศข่าวสำคัญ เช่น GDP, อัตราเงินเฟ้อ หรือการประชุม กนง. เพราะ Spread มักพุ่งสูงขึ้น รวมถึงช่วงเปิด-ปิดตลาด หรือวันหยุดยาวที่สภาพคล่องต่ำ

**ใช้คำสั่งซื้อขายล่วงหน้า (Pending Orders):** แทนที่จะใช้ Market Order ให้พิจารณาใช้ Limit Order เพื่อกำหนดราคาที่ต้องการซื้อหรือขาย ซึ่งช่วยควบคุมต้นทุนและหลีกเลี่ยงการถูกเติมเต็มที่ราคาที่ไม่พึงประสงค์

**พิจารณาปริมาณการเทรด:** การซื้อขายปริมาณมากในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ อาจทำให้เกิด Slippage หรือขยาย Spread ได้ ควรปรับขนาดตำแหน่งให้สอดคล้องกับสภาพตลาด

**ใช้เครื่องมือวิเคราะห์:** แพลตฟอร์มเช่น TradingView หรือ MetaTrader 4/5 ช่วยให้คุณเห็น Bid และ Ask แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถประเมินสภาวะตลาด วางแผนเข้าออก และติดตามการเปลี่ยนแปลงของ Spread ได้อย่างแม่นยำ

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Bid-Ask สำหรับนักลงทุนไทย

แม้จะดูเรียบง่าย แต่หลาย ๆ คน โดยเฉพาะมือใหม่ มักเข้าใจผิดหรือมองข้ามความสำคัญของ Bid-Ask Spread จนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์:

**ไม่ตระหนักว่า Spread คือต้นทุนจริง:** หลายคนมองว่า Spread เป็นแค่ข้อมูลประกอบ แต่ทุกครั้งที่เปิด-ปิดตำแหน่ง คุณกำลังจ่ายเงินให้กับระบบนี้โดยตรง

**เทรดในช่วงเวลาที่ Spread กว้าง:** การเข้าตลาดในช่วงข่าวหรือช่วงซบเซา ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น จนอาจกินกำไรหมดหรือขาดทุนทันที

**คาดหวังราคาที่ไม่สมจริง:** การตั้ง Stop Loss หรือ Take Profit โดยอิงจากราคา Bid หรือ Ask เพียงอย่างเดียว อาจทำให้คำสั่งถูกเติมเต็มก่อนเวลาอันควร โดยเฉพาะในตลาดที่มี Slippage สูง

**ไม่เผื่อระยะห่างให้กับ Stop Loss:** หากตั้ง Stop Loss ใกล้กับราคาเข้าเกินไป Spread ที่ขยายตัวอาจทำให้ถูกตัดขาดทุนทันที แม้ราคาจะยังไม่ไปถึงจุดที่คุณคาดการณ์ไว้

**เชื่อข้อมูลจาก Pantip มากเกินไป:** แม้เว็บบอร์ดจะมีข้อมูลแชร์ประสบการณ์ แต่บางครั้งข้อมูลอาจไม่ถูกต้องหรือขาดความเข้าใจพื้นฐาน ควรใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และศึกษาอย่างมีวิจารณญาณ

สรุป: ควบคุม Bid-Ask Spread เพื่อการเทรดที่เหนือกว่า

การเข้าใจ Bid, Ask และ Bid-Ask Spread ไม่ใช่เพียงเรื่องทฤษฎี แต่เป็นทักษะปฏิบัติที่สำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคน การรู้ว่าราคาเหล่านี้ทำงานอย่างไร และปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ Spread จะช่วยให้คุณ:

– ลดต้นทุนการซื้อขาย และเพิ่มกำไรสุทธิ
– วางแผนการเข้า-ออกตลาดได้อย่างแม่นยำ
– ลดความเสี่ยงจาก Slippage และการขาดทุนไม่จำเป็น

ความสำเร็จในการเทรดไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทายทิศทางราคาเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในกลไกตลาดและการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีวินัย ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเสริมความรู้ทางการเงิน และจดจำไว้ว่า การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คือเส้นทางสู่ความยั่งยืนในตลาดการเงิน

Bid Price กับ Ask Price ต่างกันอย่างไรในการเทรด Forex?

ในตลาด Forex, Bid Price คือราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อยินดีจ่าย (ราคาที่คุณจะขายออก) ส่วน Ask Price คือราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยินดีรับ (ราคาที่คุณจะซื้อเข้า) ความแตกต่างนี้เป็นส่วนต่างที่เรียกว่า Bid-Ask Spread ซึ่งเป็นต้นทุนการเทรดของคุณนั่นเอง

Bid-Ask Spread ที่เหมาะสมสำหรับการเทรดควรเป็นเท่าไหร่?

ไม่มีตัวเลขที่ “เหมาะสม” ตายตัว ขึ้นอยู่กับประเภทสินทรัพย์ สภาพคล่อง และกลยุทธ์การเทรดของคุณ โดยทั่วไปแล้ว Spread ที่แคบ (เช่น 1-2 pips สำหรับคู่สกุลเงินหลักใน Forex) ถือว่าดีกว่า เพราะต้นทุนการเทรดต่ำกว่า แต่สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงหรือสภาพคล่องต่ำก็จะมี Spread ที่กว้างกว่าเป็นปกติ

ถ้า Spread กว้างขึ้น จะส่งผลต่อกำไรของนักลงทุนไทยอย่างไร?

หาก Spread กว้างขึ้น ต้นทุนการเทรดของคุณก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย นั่นหมายความว่าคุณต้องรอให้ราคาสินทรัพย์เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณต้องการมากขึ้น เพื่อที่จะครอบคลุมต้นทุน Spread และเริ่มทำกำไรได้จริง หาก Spread กว้างมาก อาจทำให้กำไรที่ตั้งเป้าไว้ลดลง หรือเปลี่ยนจากการได้กำไรเป็นการขาดทุนได้ง่ายขึ้น

โบรกเกอร์ Forex ในไทยคิด Bid-Ask Spread แตกต่างกันอย่างไรบ้าง?

โบรกเกอร์ Forex ส่วนใหญ่เสนอ Spread สองประเภทหลักๆ คือ:

  • Fixed Spread (Spread คงที่): ไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความแน่นอนของต้นทุน
  • Floating Spread (Spread ลอยตัว): เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพคล่องและความผันผวนของตลาด มักจะแคบกว่าในช่วงตลาดปกติ แต่จะกว้างขึ้นในช่วงข่าวหรือตลาดผันผวน

นักลงทุนควรเปรียบเทียบข้อเสนอของแต่ละโบรกเกอร์และเลือกที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของตนเอง

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าช่วงไหน Bid-Ask Spread จะกว้างเป็นพิเศษในตลาดหุ้นไทย?

ในตลาดหุ้นไทย Spread มักจะกว้างเป็นพิเศษในช่วงที่สภาพคล่องต่ำ เช่น:

  • ช่วงเปิดตลาดและปิดตลาด
  • ช่วงเวลาใกล้ประกาศข่าวสำคัญของบริษัท
  • วันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือช่วงวันหยุดยาว
  • หุ้นที่มีขนาดเล็ก หรือมีปริมาณการซื้อขายน้อย

คุณสามารถสังเกตได้จากแพลตฟอร์ม Streaming by Settrade หรือโปรแกรมซื้อขายอื่นๆ ที่แสดงราคา Bid และ Ask แบบ Real-time

การใช้คำสั่ง Limit Order ช่วยลดผลกระทบจาก Bid-Ask Spread ได้จริงหรือไม่?

จริง การใช้ Limit Order (คำสั่งจำกัดราคา) ช่วยให้คุณสามารถระบุราคาที่ต้องการซื้อหรือขายได้อย่างแม่นยำ ทำให้คุณหลีกเลี่ยงการถูกเติมเต็มที่ราคา Ask ที่สูงเกินไปเมื่อซื้อ หรือราคา Bid ที่ต่ำเกินไปเมื่อขาย ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจาก Spread ได้ อย่างไรก็ตาม ข้อเสียคือคำสั่งของคุณอาจไม่ถูกเติมเต็มหากราคาไม่ไปถึงจุดที่คุณตั้งไว้

มีเครื่องมือหรือเว็บไซต์ไหนที่ช่วยเช็ก Bid-Ask Spread แบบ Real-time ได้บ้าง?

แพลตฟอร์มการเทรดส่วนใหญ่ เช่น MetaTrader 4/5, TradingView, หรือแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์เอง จะแสดงราคา Bid และ Ask แบบ Real-time ซึ่งทำให้คุณสามารถตรวจสอบ Spread ได้โดยตรง นอกจากนี้ เว็บไซต์ข่าวสารการเงินบางแห่งก็อาจมีข้อมูลราคาสินทรัพย์แบบ Real-time ให้คุณสามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ Spread ได้

การเทรดคริปโตเคอร์เรนซีในไทยมี Bid-Ask Spread แตกต่างจาก Forex หรือหุ้นอย่างไร?

การเทรดคริปโตเคอร์เรนซีในไทยมักจะมี Bid-Ask Spread ที่กว้างกว่า Forex หรือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในเหรียญที่มีสภาพคล่องต่ำ หรือในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงมาก เนื่องจากตลาดคริปโตยังค่อนข้างใหม่และมีขนาดเล็กกว่า ทำให้สภาพคล่องโดยรวมน้อยกว่าและมาร์เก็ตเมกเกอร์ต้องรับความเสี่ยงที่สูงกว่า

นักลงทุนมือใหม่ควรระวังอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับ Bid-Ask Spread?

นักลงทุนมือใหม่ควรระวัง:

  • ต้นทุนที่ซ่อนอยู่: เข้าใจว่า Spread คือต้นทุนการเทรดที่แท้จริง
  • การเทรดในช่วงข่าว: หลีกเลี่ยงการเปิดสถานะในช่วงที่ Spread มีแนวโน้มจะกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • การตั้ง Stop Loss/Take Profit: ควรเผื่อระยะห่างจาก Spread เพื่อป้องกันการถูกกระตุ้นคำสั่งก่อนเวลาอันควร
  • เลือกโบรกเกอร์: เปรียบเทียบ Spread ของโบรกเกอร์ต่างๆ ก่อนตัดสินใจ

ถ้าเจอ Bid-Ask Spread ที่กว้างผิดปกติ ควรทำอย่างไร?

หากคุณพบว่า Bid-Ask Spread กว้างผิดปกติอย่างมาก ควรพิจารณา:

  • **เลื่อนการเทรดออกไป:** รอจนกว่า Spread จะกลับมาเป็นปกติ
  • **ตรวจสอบข่าวสาร:** อาจมีข่าวสำคัญที่ทำให้ตลาดผันผวน
  • **ประเมินความเสี่ยง:** หากตัดสินใจเทรด ควรใช้ปริมาณที่น้อยลงและมี Stop Loss ที่เหมาะสม
  • **ติดต่อโบรกเกอร์:** หาก Spread ดูผิดปกติมากเกินไปและไม่สอดคล้องกับสภาวะตลาด อาจสอบถามไปยังโบรกเกอร์เพื่อทำความเข้าใจ