บทนำ: ทำความรู้จัก ISM Services PMI ดัชนีชี้วัดสำคัญที่สะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจโลก

ภาคบริการได้กลายเป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกิจกรรมในภาคบริการมีสัดส่วนมากกว่าสองในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และเป็นแหล่งจ้างงานหลักของประเทศ ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของภาคส่วนนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทหรืออุตสาหกรรมเฉพาะ แต่สะท้อนภาพรวมของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งระบบ นักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกจึงจับตาดูตัวชี้วัดหนึ่งอย่างใกล้ชิด นั่นคือ ISM Services PMI ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่บ่งชี้แนวโน้มของภาคบริการในสหรัฐฯ บทความนี้จะเจาะลึกถึงที่มา กลไกการคำนวณ วิธีการตีความ และบทบาทของดัชนีนี้ในบริบทของเศรษฐกิจและการลงทุน เพื่อให้ผู้อ่านโดยเฉพาะนักลงทุนชาวไทย เข้าใจอย่างลึกซึ้งและสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ISM Services PMI คืออะไร? คำจำกัดความและผู้จัดทำ
ความหมายของ ISM Services PMI
ISM Services PMI หรือที่รู้จักกันในชื่อเต็มว่า Institute for Supply Management Services Purchasing Managers’ Index เป็นดัชนีที่วัดระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคบริการของสหรัฐอเมริกา ตัวชี้วัดนี้มีบทบาทสำคัญในการให้ภาพรวมที่รวดเร็วและเชื่อถือได้เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่ภาคการผลิต ซึ่งครอบคลุมทั้งการค้าปลีก การเงิน การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศ และบริการด้านบันเทิง การเคลื่อนไหวของดัชนีนี้จึงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าภาคบริการกำลังขยายตัวหรือหดตัว ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก
สถาบันจัดการอุปทาน (ISM) คือใคร
ผู้อยู่เบื้องหลังการจัดทำดัชนีนี้คือ สถาบันจัดการอุปทาน (Institute for Supply Management) หรือ ISM องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1915 และเป็นหนึ่งในองค์กรชั้นนำระดับโลกสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทานและจัดซื้อจัดจ้าง ISM มีชื่อเสียงด้านการเผยแพร่รายงาน PMI ทั้งภาคบริการและภาคการผลิต ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลว่ามีความแม่นยำและทันต่อเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการคาดการณ์จุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจ เช่น การเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือการฟื้นตัว ความโปร่งใสในวิธีการเก็บข้อมูลและประวัติศาสตร์อันยาวนานทำให้ข้อมูลจาก ISM กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ตลาดการเงินเฝ้ารอมากที่สุดทุกเดือน
วิธีการคำนวณและองค์ประกอบของดัชนี
แหล่งที่มาของข้อมูลและการสำรวจ

ค่าดัชนี ISM Services PMI มาจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อและผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทกว่า 400 แห่งใน 17 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อยของภาคบริการทั่วสหรัฐอเมริกา ผู้ตอบแบบสำรวจเหล่านี้เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจด้านการจัดหาวัตถุดิบ ต้นทุนการผลิต และการดำเนินงาน จึงสามารถสะท้อนภาพจริงของสภาพธุรกิจในแต่ละวันได้อย่างตรงไปตรงมา จุดเด่นของการสำรวจคือ ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ อุปทาน และต้นทุน ทำให้ดัชนีนี้มีลักษณะเป็น “ตัวชี้นำ” (leading indicator) ที่มีคุณค่าสูง
องค์ประกอบย่อยที่สำคัญของดัชนี
ดัชนีนี้ประกอบด้วยองค์ประกอบย่อย 10 ด้าน โดยมี 5 ด้านหลักที่ใช้คำนวณดัชนีรวม โดยแต่ละด้านมีน้ำหนักเท่ากันที่ 10% ดังนี้:
– **คำสั่งซื้อใหม่ (New Orders):** ชี้วัดปริมาณคำสั่งซื้อที่บริษัทรับได้ในเดือนนั้น บ่งบอกถึงอุปสงค์ในอนาคต
– **กิจกรรมทางธุรกิจ (Business Activity):** สะท้อนระดับการดำเนินงานโดยรวมของบริษัท เทียบเท่ากับตัวชี้วัดการผลิตในภาคอุตสาหกรรม
– **การจ้างงาน (Employment):** วัดการเปลี่ยนแปลนในจำนวนพนักงานในภาคบริการ บ่งบอกถึงแนวโน้มตลาดแรงงาน
– **ราคาที่จ่าย (Prices Paid):** บันทึกการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนที่บริษัทต้องจ่ายให้กับผู้จัดหา ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญต่อการวิเคราะห์เงินเฟ้อ
– **การส่งมอบของผู้จัดหา (Supplier Deliveries):** วัดระยะเวลาที่ใช้ในการรับสินค้าจากซัพพลายเออร์ หากระยะเวลานานขึ้น อาจหมายถึงอุปสงค์ที่สูงขึ้นจนซัพพลายเออร์ตามไม่ทัน
อีก 5 องค์ประกอบที่ไม่ถูกนับในดัชนีรวมแต่มีความสำคัญในการวิเคราะห์เพิ่มเติม ได้แก่ คำสั่งซื้อค้างส่ง สินค้าคงคลัง สินค้าคงคลังของลูกค้า คำสั่งซื้อส่งออกใหม่ และการนำเข้า ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจในมิติที่ลึกขึ้น
การตีความ ISM Services PMI: สูงกว่า 50 หรือต่ำกว่า 50 หมายถึงอะไร?
เกณฑ์ 50 จุดและความหมาย

การตีความค่าดัชนี ISM Services PMI มีหลักการง่ายๆ ที่ใช้กันทั่วโลก โดยตัวเลข 50 ถือเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวกับการหดตัว:
– **ค่ามากกว่า 50:** หมายถึง ภาคบริการกำลังขยายตัว ยิ่งตัวเลขสูงขึ้น แสดงว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
– **ค่าน้อยกว่า 50:** บ่งชี้ว่าภาคบริการกำลังหดตัว ยิ่งตัวเลขต่ำลง แสดงว่าความเคลื่อนไหวทางธุรกิจชะลอตัวหรือลดลงอย่างรุนแรง
– **ค่าเท่ากับ 50:** สะท้อนว่ากิจกรรมในภาคบริการอยู่ในภาวะทรงตัว ไม่ขยายตัวและไม่หดตัว
การเปลี่ยนแปลงของดัชนีและแนวโน้ม
การดูเพียงตัวเลขรายเดือนอาจไม่เพียงพอ นักวิเคราะห์มักให้ความสำคัญกับ “ทิศทางการเปลี่ยนแปลง” ของดัชนี ตัวอย่างเช่น ดัชนีที่อยู่เหนือ 50 แต่ลดลงต่อเนื่อง 3-4 เดือน อาจบ่งบอกว่าการเติบโตเริ่มหมดแรง แม้ยังไม่ถึงจุดหดตัว ในทางกลับกัน หากดัชนีพุ่งขึ้นจากใต้ 50 ไปอยู่เหนือ 50 อย่างต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การวิเคราะห์แนวโน้มช่วยให้คาดการณ์อนาคตได้ดีขึ้น และเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
ผลกระทบของ ISM Services PMI ต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน
ผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP)
ด้วยขนาดของภาคบริการที่คิดเป็นสัดส่วนใหญ่ของ GDP สหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงของ ISM Services PMI จึงมีผลโดยตรงต่อการประเมินอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ ดัชนีที่แข็งแกร่งและยั่งยืนมักส่งผลให้หน่วยงานวิเคราะห์ เช่น สำนักงานเศรษฐกิจแห่งทำเนียบขาว หรือ Federal Reserve ปรับเพิ่มประมาณการ GDP ในขณะที่ดัชนีที่อ่อนแออาจทำให้คาดการณ์การชะลอตัวหรือถดถอยได้ การติดตามดัชนีนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการประเมินทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ผลกระทบต่อตลาดหุ้นและพันธบัตร
ตลาดหุ้นมักตอบสนองต่อข่าว ISM Services PMI อย่างรวดเร็ว ตัวเลขที่ดีกว่าคาดมักกระตุ้นให้ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองว่าบริษัทจะมีรายได้และกำไรที่ดีขึ้น แต่หากดัชนีออกมาต่ำกว่าคาดหรือหดตัว อาจเกิดแรงขายตามความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจ สำหรับตลาดพันธบัตร ดัชนีที่สูงอาจส่งสัญญาณเงินเฟ้อ ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ผลตอบแทนพันธบัตรจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและราคาพันธบัตรลดลงตามกลไกตลาด
ผลกระทบต่อตลาดอัตราแลกเปลี่ยน (Forex) และทองคำ
ดัชนีที่แข็งแกร่งมักผลักดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น เนื่องจากสะท้อนถึงเศรษฐกิจที่แข็งแรงและโอกาสที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้ย้ายเงินมาลงทุนในสินทรัพย์ดอลลาร์ ในทางกลับกัน หากดัชนีอ่อนแอ ดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง สำหรับทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ค่าดัชนีที่ดีมักทำให้ราคาทองลดลง เพราะนักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนค่าดัชนีที่ต่ำอาจทำให้ราคาทองปรับตัวสูงขึ้นจากแรงซื้อเพื่อป้องกันความเสี่ยง
ISM Services PMI กับ ISM Manufacturing PMI: ความแตกต่างและทำไมภาคบริการถึงสำคัญขึ้น
เปรียบเทียบสองดัชนีหลักของ ISM
ISM ผลิตดัชนี PMI สองตัวหลัก คือ ISM Services PMI และ ISM Manufacturing PMI แม้จะใช้หลักการคำนวณที่คล้ายกัน แต่สะท้อนภาพของเศรษฐกิจในมิติที่ต่างกัน โดย Manufacturing PMI เน้นภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีความผันผวนสูงและขึ้นอยู่กับห่วงโซ่อุปทานโลก ในขณะที่ Services PMI ครอบคลุมภาคส่วนที่กว้างกว่าและมีเสถียรภาพมากกว่าในบางช่วง เช่น ช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ภาคการผลิตหยุดชะงัก แต่ภาคบริการบางส่วนยังดำเนินต่อไปได้
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ: ความโดดเด่นของภาคบริการ
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนผ่านจากยุคอุตสาหกรรมมาสู่ยุคเศรษฐกิจบริการอย่างเต็มตัว ทำให้บทบาทของ ISM Services PMI มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะ:
– ภาคบริการมีสัดส่วน GDP มากกว่า 70% จึงมีผลโดยตรงต่อการเติบโตของประเทศ
– เป็นแหล่งจ้างงานหลัก มากกว่า 80% ของการจ้างงานทั้งหมดในสหรัฐฯ
– การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยภาคบริการ เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ นักลงทุนจึงให้ความสำคัญกับ ISM Services PMI ไม่แพ้ หรือบางครั้งมากกว่า Manufacturing PMI ในการประเมินทิศทางเศรษฐกิจ โดยสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ISM News Releases
ISM Services PMI และความสัมพันธ์กับตัวชี้วัดเศรษฐกิจอื่นๆ
ดัชนี PMI กับอัตราเงินเฟ้อ (CPI) และอัตราดอกเบี้ย
องค์ประกอบ “ราคาที่จ่าย” ใน ISM Services PMI เป็นสัญญาณล่วงหน้าของเงินเฟ้อ หากค่าองค์ประกอบนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาจบ่งชี้ว่าต้นทุนการผลิตและบริการกำลังเพิ่มขึ้น ซึ่ง Fed จะจับตาอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินนโยบายการเงิน หากแรงกดดันเงินเฟ้อสูง Fed อาจต้องพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลต่อทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ ตั้งแต่สินเชื่อบ้าน ไปจนถึงการลงทุนของบริษัท
ดัชนี PMI กับข้อมูลการจ้างงาน (เช่น Average Hourly Earnings)
องค์ประกอบ “การจ้างงาน” ในดัชนีนี้มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับข้อมูลการจ้างงานรายเดือน โดยเฉพาะ Non-Farm Payrolls และค่าแรงเฉลี่ยต่อชั่วโมง หากการจ้างงานในภาคบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มักสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ซึ่งส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจในระยะยาว
ข้อควรระวังและข้อผิดพลาดทั่วไปในการตีความ ISM Services PMI
ไม่ควรพิจารณาเพียงดัชนีเดียว
แม้ ISM Services PMI จะมีอิทธิพลสูง แต่การพิจารณาเพียงดัชนีเดียวอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด นักลงทุนควรใช้ข้อมูลนี้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่นๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อ CPI, ยอดค้าปลีก, ความเชื่อมั่นผู้บริโภค, และนโยบายการเงินของ Fed เพื่อให้ได้มุมมองที่รอบด้านและลดความเสี่ยงจากการตีความที่ขาดบริบท
ปฏิกิริยาของตลาดต่อตัวเลขที่คาดไม่ถึง
ตลาดไม่ได้ตอบสนองต่อตัวเลขจริงเพียงอย่างเดียว แต่ตอบสนองต่อ “ความแตกต่างจากที่คาดการณ์” หากตลาดคาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ 53 แต่ออกมาที่ 58 แม้จะไม่ใช่ตัวเลขที่สูงมาก แต่ก็ถือว่า “สูงกว่าคาด” จึงอาจเกิดแรงซื้ออย่างรุนแรง ในทางกลับกัน หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาดแม้ยังอยู่เหนือ 50 ก็อาจเห็นแรงขายได้ ดังนั้น การติดตาม “ความคาดหมายของตลาด” จึงเป็นส่วนสำคัญของการวิเคราะห์
บทสรุป
ISM Services PMI ไม่ใช่เพียงตัวเลขหนึ่งในรายงานเศรษฐกิจรายเดือน แต่เป็นกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนสุขภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ภาคบริการเป็นหัวใจหลัก การเข้าใจวิธีการคำนวณ การตีความค่าดัชนี และผลกระทบต่อตลาดต่างๆ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถอ่านสถานการณ์เศรษฐกิจได้อย่างมีชั้นเชิง อย่างไรก็ตาม ต้องจำไว้ว่า ไม่มีตัวชี้วัดใดที่สมบูรณ์แบบ การใช้ข้อมูลนี้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ จะช่วยให้การตัดสินใจลงทุนมีพื้นฐานที่มั่นคงและแม่นยำยิ่งขึ้น
1. ISM Services PMI คืออะไร และทำไมถึงสำคัญต่อเศรษฐกิจ?
ISM Services PMI คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการของสหรัฐอเมริกา ซึ่งวัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคบริการของประเทศ สำคัญต่อเศรษฐกิจเพราะภาคบริการเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของ GDP สหรัฐฯ และเป็นแหล่งงานสำคัญ การเปลี่ยนแปลงในดัชนีนี้จึงสะท้อนสุขภาพโดยรวมและทิศทางของเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน
2. ค่า ISM Services PMI เท่าไหร่ที่บ่งชี้ถึงการเติบโตหรือหดตัวของภาคบริการ?
- **สูงกว่า 50 จุด:** บ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคบริการ
- **ต่ำกว่า 50 จุด:** บ่งชี้ถึงการหดตัวของภาคบริการ
- **ที่ 50 จุด:** บ่งชี้ถึงภาวะทรงตัวหรือไม่เปลี่ยนแปลง
3. ISM Services PMI มีความสัมพันธ์อย่างไรกับอัตราเงินเฟ้อและนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ?
องค์ประกอบ “ราคาที่จ่าย (Prices Paid)” ในดัชนีนี้เป็นตัวบ่งชี้เงินเฟ้อที่สำคัญ หากราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจบ่งชี้ถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) พิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
4. นักลงทุนควรใช้ข้อมูล ISM Services PMI ในการวิเคราะห์ตลาดหุ้นและตลาดฟอเร็กซ์อย่างไร?
ค่าดัชนีที่แข็งแกร่งมักส่งผลดีต่อตลาดหุ้นและทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น (Forex) ในทางกลับกัน ค่าดัชนีที่อ่อนแออาจส่งผลลบต่อตลาดหุ้นและทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง นักลงทุนใช้ข้อมูลนี้เพื่อประเมินความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาด
5. ISM Services PMI แตกต่างจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) อื่นๆ เช่น Manufacturing PMI อย่างไร?
ISM Services PMI วัดกิจกรรมในภาคบริการ (เช่น การค้าปลีก การเงิน สุขภาพ) ในขณะที่ ISM Manufacturing PMI วัดกิจกรรมในภาคการผลิต (เช่น โรงงานอุตสาหกรรม การผลิตสินค้า) ทั้งสองดัชนีใช้ระเบียบวิธีที่คล้ายกันแต่สะท้อนภาคส่วนที่แตกต่างกันของเศรษฐกิจ
6. ข้อมูล ISM Services PMI ถูกเผยแพร่เมื่อใดและโดยหน่วยงานใด?
ข้อมูล ISM Services PMI มักถูกเผยแพร่ในวันทำการแรกของเดือนถัดไป โดย สถาบันจัดการอุปทาน (Institute for Supply Management – ISM)
7. การเปลี่ยนแปลงของ ISM Services PMI ส่งผลต่อราคาทองคำอย่างไร?
โดยทั่วไปแล้ว ค่า ISM Services PMI ที่แข็งแกร่งมักส่งผลให้ราคาทองคำลดลง เนื่องจากบ่งชี้ถึงเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและลดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย แต่หากดัชนีอ่อนแอและสร้างความกังวล ราคาทองคำอาจปรับตัวขึ้น
8. อะไรคือองค์ประกอบหลักที่ใช้ในการคำนวณ ISM Services PMI?
องค์ประกอบหลัก 5 ส่วนที่ใช้ในการคำนวณดัชนีหลัก ได้แก่ คำสั่งซื้อใหม่, การผลิต/กิจกรรมทางธุรกิจ, การจ้างงาน, ราคาที่จ่าย, และการส่งมอบของซัพพลายเออร์ แต่ละส่วนมีน้ำหนักเท่ากันที่ 10%
9. มีข้อควรระวังอะไรบ้างในการตีความข้อมูล ISM Services PMI?
ไม่ควรพิจารณาเพียงดัชนีเดียว ควรพิจารณาร่วมกับตัวชี้วัดเศรษฐกิจอื่นๆ เพื่อให้ได้ภาพรวมที่สมบูรณ์ และต้องระวังปฏิกิริยาของตลาดที่อาจรุนแรงเมื่อตัวเลขจริงแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้
10. ดัชนี ISM Services PMI สะท้อนภาวะตลาดแรงงานในภาคบริการได้อย่างไร?
องค์ประกอบ “การจ้างงาน (Employment)” ของดัชนีนี้เป็นตัวบ่งชี้โดยตรงถึงการเปลี่ยนแปลงของระดับการจ้างงานในภาคบริการ หากองค์ประกอบนี้เพิ่มขึ้น แสดงว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในภาคส่วนนี้ ซึ่งมักสอดคล้องกับตลาดแรงงานโดยรวมที่แข็งแกร่ง