บทนำ: PMI ย่อมาจากอะไร? ความสำคัญของการทำความเข้าใจ
ในโลกของธุรกิจ การเงิน และอุตสาหกรรม การพบคำว่า “PMI” อาจเกิดขึ้นได้จากหลายบริบท — ไม่ว่าจะเป็นข่าวเศรษฐกิจ บทความวิชาชีพ หรือแม้แต่การตรวจสอบคุณภาพในโรงงาน คำย่อนี้อาจดูธรรมดา แต่กลับมีความหมายหลากหลายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้หลายคนอาจสับสนว่า “PMI” ที่กำลังพูดถึงนั้นหมายถึงอะไรกันแน่

ความสับสนนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะการตีความผิดอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การบริหารโครงการ หรือแม้แต่การควบคุมความปลอดภัยในอุตสาหกรรม การเข้าใจว่า PMI ในแต่ละสถานการณ์หมายถึงอะไร จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้เรารับข้อมูลได้อย่างถูกต้อง และต่อยอดการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในบทความนี้ เราจะไขความหมายของ PMI อย่างลึกซึ้ง โดยเจาะลึกทั้งในด้านเศรษฐกิจ การบริหารโครงการ อุตสาหกรรม การแพทย์ และเครื่องมือวิเคราะห์ความคิด เพื่อให้คุณเข้าใจชัดเจนและสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในชีวิตการทำงานหรือการลงทุน
PMI #1: Purchasing Managers’ Index (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ)
เมื่อพูดถึง PMI ในบริบทเศรษฐกิจ “ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ” หรือ Purchasing Managers’ Index คือคำจำกัดความที่พบบ่อยที่สุด ดัชนีนี้ถูกจัดทำขึ้นจากผลสำรวจเชิงปริมาณที่เก็บข้อมูลโดยตรงจากผู้บริหารฝ่ายจัดซื้อในภาคธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการติดตามสภาวะเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ ไม่รอให้ข้อมูลอย่าง GDP หรือการจ้างงานออกในภายหลัง
ข้อมูลที่ใช้ในการคำนวณ PMI ประกอบด้วยปัจจัยหลักหลายประการ เช่น คำสั่งซื้อใหม่ การผลิต ระดับการจ้างงาน สินค้าคงคลัง และเวลาการจัดส่งจากผู้ส่งมอบ ข้อมูลเหล่านี้ถูกแปลงเป็นดัชนีรายเดือนที่สะท้อนภาพรวมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว
ความสำคัญของ PMI อยู่ที่การเป็น “ตัวชี้นำเศรษฐกิจ” (Leading Indicator) ซึ่งสามารถส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจก่อนที่ข้อมูลอื่นจะตามมา เช่น หากคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้น หมายถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การผลิตมากขึ้น การจ้างงานเพิ่ม และการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตอันใกล้
องค์กรหลักที่มีบทบาทในการจัดทำดัชนีนี้ ได้แก่ S&P Global ที่ครอบคลุมประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และ Institute for Supply Management (ISM) สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ทั้งสองหน่วยงานใช้เกณฑ์การตีความที่เหมือนกัน นั่นคือค่า 50 เป็นจุดแบ่งสำคัญ
- ค่า PMI > 50: บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคดังกล่าวกำลังขยายตัว
- ค่า PMI < 50: บ่งชี้ว่ากิจกรรมในภาคดังกล่าวกำลังหดตัว
Manufacturing PMI คืออะไรและส่งผลอย่างไร?
Manufacturing PMI เป็นดัชนีที่เน้นเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งยังคงเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจในหลายประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พึ่งพาการส่งออก ดัชนีนี้รวบรวมข้อมูลจากผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในโรงงานอุตสาหกรรม โดยพิจารณาปัจจัยย่อยหลายประการ ได้แก่
- คำสั่งซื้อใหม่ (New Orders): สะท้อนความต้องการจากตลาด
- การผลิต (Output): บ่งชี้ระดับกิจกรรมในโรงงาน
- การจ้างงาน (Employment): แสดงแนวโน้มการจ้างงานในภาคผลิต
- เวลาจัดส่งของผู้ขาย (Supplier Delivery Times): ยิ่งล่าช้า อาจบ่งชี้ถึงความต้องการสูง
- สินค้าคงคลัง (Inventories): ช่วยวิเคราะห์แนวโน้มการผลิตในอนาคต

ค่า Manufacturing PMI ที่อยู่เหนือ 50 ต่อเนื่องเป็นสัญญาณบวก สะท้อนถึงความมั่นใจของภาคธุรกิจ ความต้องการที่เพิ่มขึ้น และการลงทุนในอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีใหม่ ในทางกลับกัน หากค่า PMI ต่ำกว่า 50 อย่างต่อเนื่อง อาจบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือการชะลอตัวของการผลิต ซึ่งส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ
Services PMI (Non-Manufacturing PMI) คืออะไร?
ในประเทศที่เศรษฐกิจพึ่งพาภาคบริการมากกว่าการผลิต เช่น สหรัฐอเมริกา หรือสหราชอาณาจักร Services PMI หรือที่บางครั้งเรียกว่า Non-Manufacturing PMI จึงมีความสำคัญยิ่งกว่า ดัชนีนี้วัดกิจกรรมในภาคบริการที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การค้าปลีก การท่องเที่ยว การขนส่ง หรือบริการด้านเทคโนโลยี
แม้ตัวชี้วัดจะคล้ายกับ Manufacturing PMI แต่ก็มีการปรับให้เหมาะสมกับลักษณะของบริการ เช่น
- คำสั่งซื้อใหม่: เน้นบริการที่รับใหม่ เช่น ลูกค้าจองทัวร์ หรือซื้อประกัน
- กิจกรรมทางธุรกิจ: วัดปริมาณงานหรือการให้บริการทั้งหมด
- คำสั่งซื้อค้างส่ง (Backlog): แสดงภาระงานที่ยังไม่เสร็จ
- ราคาสินค้าและบริการ: ช่วยประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อในภาคบริการ
เนื่องจากภาคบริการมีสัดส่วนมากกว่า 70% ของ GDP ในหลายประเทศ ดัชนีนี้จึงถือเป็นกระจกเงาที่สะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจโดยรวมได้ดี ทั้งในด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การใช้จ่าย และแนวโน้มการเติบโตของตลาดแรงงาน
การตีความค่า PMI และผลกระทบต่อตลาดการเงิน
การวิเคราะห์ PMI ไม่ควรหยุดแค่การดูว่าตัวเลขอยู่เหนือหรือใต้ 50 แต่ควรพิจารณาแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงด้วย ตัวอย่างเช่น หาก PMI ลดลงจากระดับ 54 เหลือ 52 ถึงแม้จะยังขยายตัว แต่ก็อาจสื่อถึงการชะลอตัวของกิจกรรม ซึ่งนักลงทุนและธนาคารกลางอาจตีความว่าเศรษฐกิจเริ่มอ่อนแรง
การเจาะลึกลงไปในแต่ละองค์ประกอบยังให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่า ตัวอย่างเช่น หากคำสั่งซื้อใหม่ลดลง แต่การผลิตยังสูง อาจบ่งชี้ว่าบริษัทกำลังผลิตเพื่อเติมสต็อกมากกว่าความต้องการจริง ซึ่งอาจนำไปสู่การลดการผลิตในอนาคต
ผลกระทบต่อตลาดการเงินมีความชัดเจนและรวดเร็ว
- ตลาดหุ้น: ค่า PMI ที่แข็งแกร่งมักกระตุ้นให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้น เพราะสะท้อนถึงการเติบโตของรายได้และกำไรบริษัท
- ตราสารหนี้: หาก PMI สูงและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น อาจส่งสัญญาณเงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารกลางพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้ราคาพันธบัตรลดลง
- ค่าเงิน: ค่า PMI ที่แข็งแกร่งมักดึงดูดเงินทุนต่างชาติ ทำให้สกุลเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น
- ทองคำ: เมื่อ PMI ต่ำหรือหดตัว ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมักเพิ่มขึ้น
ในบริบทของประเทศไทย ข่าวดัชนี Manufacturing PMI มักถูกติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะฟื้นตัว ข้อมูลนี้ส่งผลต่อการตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศไทย และนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

ตารางเปรียบเทียบ Purchasing Managers’ Index (PMI) ประเภทต่างๆ
คุณสมบัติ | Manufacturing PMI (ภาคการผลิต) | Services PMI (ภาคบริการ) |
---|---|---|
ภาคส่วนหลัก | อุตสาหกรรม, การผลิตสินค้า | การเงิน, การค้าปลีก, การท่องเที่ยว, การขนส่ง, การบริการอื่นๆ |
ตัวชี้วัดหลัก | คำสั่งซื้อใหม่, การผลิต, การจ้างงาน, เวลาจัดส่ง, สินค้าคงคลัง | คำสั่งซื้อใหม่, กิจกรรมทางธุรกิจ, การจ้างงาน, ราคาสินค้าและบริการ, คำสั่งซื้อค้างส่ง |
ความสำคัญ | สะท้อนความแข็งแกร่งของการผลิต, การลงทุนในภาคอุตสาหกรรม | สะท้อนความเชื่อมั่นผู้บริโภค, การใช้จ่าย, การเติบโตของภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุดของเศรษฐกิจ |
ผู้รวบรวม | S&P Global, ISM (สำหรับสหรัฐฯ) | S&P Global, ISM (สำหรับสหรัฐฯ) |
จุดแบ่ง | 50 (สูงกว่า = ขยายตัว, ต่ำกว่า = หดตัว) | 50 (สูงกว่า = ขยายตัว, ต่ำกว่า = หดตัว) |
PMI #2: Project Management Institute (สถาบันการจัดการโครงการ)
ในแวดวงวิชาชีพและการบริหารองค์กร คำว่า PMI มักหมายถึง Project Management Institute — องค์กรไม่แสวงหากำไรระดับโลกที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1969 เพื่อส่งเสริมวิชาชีพการจัดการโครงการอย่างเป็นระบบ
PMI มีบทบาทหลักในการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพ โดยเฉพาะผ่านการเผยแพร่ PMBOK® Guide (Project Management Body of Knowledge) ซึ่งเป็นหนังสือคู่มือที่ถูกใช้เป็นอ้างอิงในทั่วโลกสำหรับการวางแผน ดำเนินการ และควบคุมโครงการต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังจัดงานสัมมนา สนับสนุนงานวิจัย และสร้างชุมชนนักบริหารโครงการทั่วโลก
การเป็นสมาชิก PMI ให้ประโยชน์หลายประการ เช่น การเข้าถึงเอกสารวิชาการ การลดราคาสอบใบรับรอง และโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญระดับสากล ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตในสายอาชีพ
ใบรับรอง PMP (Project Management Professional) คืออะไร?
หนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของ PMI คือการออก ใบรับรอง PMP (Project Management Professional) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลที่รับรองความสามารถในการบริหารโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ
การสอบ PMP ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้สมัครต้องมีประสบการณ์ตรงในการบริหารโครงการตามเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งในด้านชั่วโมงการทำงาน และการอบรมหลักสูตรที่ได้รับการรับรอง ตลอดจนต้องผ่านการสอบที่ครอบคลุมความรู้ใน 5 กลุ่มกระบวนการและ 10 ความรู้ด้านการจัดการโครงการตาม PMBOK Guide
การได้รับใบรับรอง PMP ไม่เพียงแสดงถึงความรู้ แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่น วินัย และความสามารถในการนำแนวทางที่ได้มาตรฐานไปใช้ในสถานการณ์จริง
นอกจาก PMP แล้ว PMI ยังมีใบรับรองอื่น ๆ ที่รองรับความต้องการเฉพาะด้าน ได้แก่
- CAPM (Certified Associate in Project Management): เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการต่อยอดการเรียนรู้
- PMI-ACP (Agile Certified Practitioner): สำหรับผู้ที่ทำงานในโครงการที่ใช้แนวทาง Agile, Scrum หรือ Kanban
- PgMP (Program Management Professional): สำหรับผู้บริหารโปรแกรม ที่จัดการโครงการหลายโครงการที่เชื่อมโยงกัน
PMI #3: Positive Material Identification (การระบุชนิดวัสดุเชิงบวก)
ในอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมที่ต้องการความปลอดภัยสูง คำว่า PMI กลับหมายถึง Positive Material Identification — กระบวนการตรวจสอบเพื่อยืนยันองค์ประกอบทางเคมีของวัสดุโลหะผสม หรือ “เกรด” ของวัสดุ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันความผิดพลาดที่อาจนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรง
การใช้วัสดุผิดประเภท เช่น ท่อเหล็กกล้าที่ไม่ใช่สเตนเลสในกระบวนการที่มีสารกัดกร่อน อาจทำให้เกิดการแตกร้าว การรั่วไหล หรือแม้แต่ระเบิดได้ ดังนั้น PMI จึงเป็นขั้นตอนควบคุมคุณภาพที่ขาดไม่ได้ในหลายขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการรับวัตถุดิบ การผลิต หรือการบำรุงรักษา
PMI Test คืออะไร?
PMI Test คือการทดสอบที่ดำเนินการเพื่อยืนยันว่าชนิดของวัสดุตรงกับที่กำหนดไว้ในเอกสารหรือมาตรฐานวิศวกรรม เทคนิคที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นวิธีไม่ทำลายชิ้นงาน (Non-Destructive Testing) หรือทำลายเล็กน้อย ได้แก่
- X-ray Fluorescence (XRF): ใช้รังสีเอกซ์เพื่อกระตุ้นอะตอมในวัสดุ แล้ววิเคราะห์สเปกตรัมของรังสีที่ปล่อยออกมา วิธีนี้ใช้กับอุปกรณ์แบบพกพา สะดวกและรวดเร็ว
- Optical Emission Spectrometry (OES): ใช้ประกายไฟไฟฟ้าในการระเหยพื้นผิวเล็กน้อย แล้ววิเคราะห์แสงที่ปล่อยออกมา ให้ผลแม่นยำสูง แต่อาจทำให้ผิววัสดุเป็นรอยเล็กน้อย
การทดสอบ PMI มักแบ่งเป็นสองรูปแบบ
- การทดสอบแบบพกพา: ใช้ในภาคสนาม สามารถตรวจสอบวัสดุในสถานที่จริงได้ทันที
- การทดสอบในห้องปฏิบัติการ: ใช้กับตัวอย่างที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น การตรวจสอบในโครงการสำคัญหรือข้อพิพาทด้านวัสดุ
ข้อดีของการทำ PMI Test คือการลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เพิ่มความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ และช่วยให้บริษัทเป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น ISO หรือ ASME
อุตสาหกรรมที่ใช้ PMI อย่างแพร่หลาย ได้แก่
- ปิโตรเคมีและน้ำมันและก๊าซ: ตรวจสอบท่อ วาล์ว และอุปกรณ์ภายใต้แรงดัน
- พลังงาน: โดยเฉพาะโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และโรงไฟฟ้าความร้อน
- การผลิต: ควบคุมคุณภาพวัตถุดิบและชิ้นงาน
- การบินและอวกาศ: วัสดุที่ใช้ต้องมีความแม่นยำสูงมาก
PMI #4: ความหมายอื่นๆ ที่น่าสนใจ
นอกเหนือจากสามความหมายหลักแล้ว คำว่า PMI ยังปรากฏในบริบทเฉพาะทางอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
- PMI ทางการแพทย์: Point of Maximal Impulse — จุดที่สามารถสัมผัสการเต้นของหัวใจได้ชัดที่สุด มักอยู่ที่ซี่โครงที่ 5 ทางด้านซ้าย แพทย์ใช้จุดนี้ในการประเมินขนาดและตำแหน่งของหัวใจ หากจุดนี้เลื่อนไปด้านนอกหรือลงล่าง อาจบ่งชี้ถึงภาวะหัวใจโตเรื้อรัง
- ใบงาน PMI: Plus/Minus/Interesting — หรือที่พัฒนาโดย Edward de Bono เป็นกรอบความคิดง่าย ๆ ที่ช่วยในการประเมินแนวคิดหรือการตัดสินใจ โดยแยกการพิจารณาเป็น 3 ส่วน: ข้อดี (Plus), ข้อเสีย (Minus), และสิ่งที่น่าสนใจหรือควรพิจารณาเพิ่มเติม (Interesting) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในทีมงานหรือการระดมสมอง
สรุป: PMI หลายความหมายในบริบทที่ต่างกัน
คำว่า “PMI” เป็นตัวอย่างที่ดีของความหลากหลายของภาษาและตัวย่อในยุคปัจจุบัน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การจัดการโครงการ อุตสาหกรรม การแพทย์ และการวิเคราะห์ความคิด คำนี้มีความหมายที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ล้วนมีความสำคัญในบริบทของตนเอง
การเข้าใจบริบทจึงเป็นกุญแจสำคัญในการตีความข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุน วิศวกร ผู้บริหาร หรือบุคลากรทางการแพทย์ การรู้ว่า PMI ที่กำลังพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ PMI (FAQs)
PMI หมายถึงอะไรในบริบททางธุรกิจทั่วไป?
ในบริบททางธุรกิจทั่วไป PMI มักจะหมายถึง Purchasing Managers’ Index (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ) ซึ่งเป็นดัชนีเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับการประเมินสุขภาพของภาคการผลิตและภาคบริการ หรืออาจหมายถึง Project Management Institute (สถาบันการจัดการโครงการ) ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพด้านการบริหารโครงการ
ค่า Purchasing Managers’ Index (PMI) บ่งบอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพเศรษฐกิจ?
ค่า PMI บ่งบอกถึงการขยายตัวหรือหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตหรือภาคบริการ หากค่า PMI สูงกว่า 50 แสดงถึงการขยายตัว แต่หากต่ำกว่า 50 แสดงถึงการหดตัว ซึ่งใช้เป็นตัวชี้วัดภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
PMP (Project Management Professional) แตกต่างจาก PMI (Project Management Institute) อย่างไร?
PMI (Project Management Institute) คือ องค์กร ที่พัฒนาและส่งเสริมวิชาชีพการบริหารโครงการ ในขณะที่ PMP (Project Management Professional) คือ ใบรับรอง ระดับสากลที่ออกโดยองค์กร PMI เพื่อรับรองความรู้และทักษะของผู้บริหารโครงการ
Positive Material Identification (PMI) คืออะไร และมีความสำคัญในอุตสาหกรรมใดบ้าง?
Positive Material Identification (PMI) คือกระบวนการที่ใช้ในการตรวจสอบและยืนยันองค์ประกอบทางเคมีหรือชนิดของวัสดุ เพื่อให้มั่นใจว่าวัสดุที่ใช้นั้นถูกต้องและตรงตามข้อกำหนด มีความสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่ต้องการความปลอดภัยและการควบคุมคุณภาพสูง เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเคมี พลังงาน การผลิต และการบินและอวกาศ
PMI ทางการแพทย์ หรือ Point of Maximal Impulse มีความหมายอย่างไร?
PMI ทางการแพทย์ย่อมาจาก Point of Maximal Impulse หมายถึงจุดบนผนังทรวงอกที่สามารถสัมผัสหรือมองเห็นการเต้นของหัวใจได้ชัดเจนที่สุด ซึ่งแพทย์ใช้ในการตรวจร่างกายเพื่อประเมินขนาด ตำแหน่ง และการทำงานของหัวใจ
ใบงาน PMI คืออะไร และเราจะนำไปใช้ในการทำงานได้อย่างไร?
ใบงาน PMI ย่อมาจาก Plus/Minus/Interesting เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ความคิดอย่างง่ายๆ ที่ช่วยในการตัดสินใจหรือประเมินแนวคิด โดยพิจารณาจากข้อดี (Plus), ข้อเสีย (Minus) และสิ่งที่น่าสนใจ/น่าพิจารณา (Interesting) สามารถนำไปใช้ในการประชุมระดมสมอง การประเมินโครงการ หรือการตัดสินใจส่วนตัว
ดัชนี PMI ของประเทศไทยสามารถหาข้อมูลได้จากแหล่งใดบ้าง?
ดัชนี PMI ของประเทศไทยมักถูกจัดทำโดยองค์กรระหว่างประเทศอย่าง S&P Global หรือสำนักข่าวเศรษฐกิจชั้นนำ ซึ่งสามารถหาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของ S&P Global หรือจากรายงานข่าวเศรษฐกิจในประเทศ เช่น Bangkok Post หรือสำนักข่าวการเงินอื่นๆ
การเปลี่ยนแปลงของค่า PMI ส่งผลต่อตลาดหุ้นและการลงทุนอย่างไร?
การเปลี่ยนแปลงของค่า PMI เป็นตัวชี้วัดที่นักลงทุนใช้ในการตัดสินใจอย่างมาก หาก PMI สูงและมีแนวโน้มที่ดี มักส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นและเพิ่มความเชื่อมั่นในการลงทุน ในทางกลับกัน หาก PMI ลดลง อาจบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงและนักลงทุนอาจหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย
มีองค์กรใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับการให้ข้อมูลหรือใบรับรองด้าน PMI?
องค์กรหลักที่เกี่ยวข้องกับ PMI ได้แก่ S&P Global และ Institute for Supply Management (ISM) ที่จัดทำดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ และ Project Management Institute (PMI) ที่ให้ใบรับรองด้านการบริหารโครงการ เช่น PMP
ความแตกต่างระหว่าง Manufacturing PMI และ Services PMI คืออะไร?
Manufacturing PMI วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจใน ภาคการผลิต เช่น การผลิตสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม ในขณะที่ Services PMI (หรือ Non-Manufacturing PMI) วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจใน ภาคบริการ ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การเงิน การค้าปลีก และการท่องเที่ยว แม้จะวัดภาคส่วนต่างกัน แต่ทั้งสองดัชนีใช้หลักการตีความค่าที่คล้ายคลึงกัน (สูงกว่า 50 คือขยายตัว ต่ำกว่า 50 คือหดตัว)