PMI คืออะไร? ทำความเข้าใจตัวย่อหลากหลายความหมาย

คำว่า PMI เป็นตัวย่อที่เราอาจพบเห็นได้บ่อยครั้งในข่าวเศรษฐกิจ บทความวิเคราะห์ หรือรายงานอุตสาหกรรม แต่ความหมายของมันกลับไม่ได้มีเพียงด้านเดียว หากไม่เข้าใจบริบทที่ใช้อาจเกิดความสับสนได้ง่าย หนึ่งในความหมายที่โดดเด่นที่สุดคือ “ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ” ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินสุขภาพเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม PMI ยังแฝงความหมายในอีกหลายวงการ เช่น อุตสาหกรรมวัสดุ วิศวกรรม ไปจนถึงการจัดการโครงการและทางการแพทย์ การเข้าใจความแตกต่างของแต่ละความหมายจึงช่วยให้เราตีความข้อมูลได้อย่างแม่นยำและเหมาะสมกับบริบทมากยิ่งขึ้น

ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงความหมายของ PMI ที่สำคัญที่สุดในเชิงเศรษฐกิจ พร้อมอธิบายกลไกการทำงาน วิธีการตีความ และผลกระทบต่อตลาดการเงิน ควบคู่ไปกับการสำรวจความหมายอื่นๆ ที่มีน้ำหนักในภาคอุตสาหกรรมและวงการวิชาชีพ เพื่อให้ผู้อ่านได้มุมมองที่ครอบคลุม และสามารถแยกแยะการใช้ตัวย่อนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
PMI หลัก: ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers’ Index)

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือที่รู้จักในชื่อ Purchasing Managers’ Index (PMI) ถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลสูงที่สุดในโลก นักลงทุน นักวิเคราะห์ และธนาคารกลางทั่วโลกต่างจับตาตัวเลขนี้อย่างใกล้ชิด เพราะมันสามารถสะท้อนภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอข้อมูลเศรษฐกิจหลักอย่าง GDP ที่มักประกาศล่าช้าหลายสัปดาห์
พื้นฐานของดัชนีนี้มาจากการสำรวจความเห็นของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในภาคเอกชน ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่แนวหน้าของการดำเนินงาน ได้เห็นภาพรวมของห่วงโซ่อุปทาน ต้นทุน คำสั่งซื้อ และแนวโน้มการผลิตโดยตรง จึงสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจก่อนที่ข้อมูลทางการจะออกมา
จุดเริ่มต้นของ PMI เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา โดยสถาบันจัดการอุปทาน (Institute for Supply Management – ISM) ซึ่งเริ่มเผยแพร่ดัชนีภาคการผลิตตั้งแต่ปี 1931 นับเป็นหนึ่งในชุดข้อมูลเศรษฐกิจที่เก่าแก่ที่สุดและมีความต่อเนื่องสูง ปัจจุบัน ดัชนีนี้ได้รับการพัฒนาและเผยแพร่ในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่าน S&P Global (เดิมคือ IHS Markit) ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล PMI ให้กับประเทศในยูโรโซน สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เรามีข้อมูลเปรียบเทียบข้ามประเทศที่สามารถใช้วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกได้
PMI วัดผลอะไร? เข้าใจสุขภาพเศรษฐกิจผ่านภาคการผลิตและบริการ
PMI เป็นตัวชี้วัดชั้นนำ (Leading Indicator) ที่ช่วยคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต โดยเน้นวัดกิจกรรมในสองภาคส่วนหลัก คือ ภาคการผลิต (Manufacturing) และภาคบริการ (Services) ซึ่งร่วมกันสร้างมูลค่าส่วนใหญ่ของเศรษฐกิจสมัยใหม่
ภาคการผลิตมักสะท้อนผ่านกิจกรรมในโรงงาน เช่น ระดับการผลิต คำสั่งซื้อใหม่ สถานะสต็อกวัตถุดิบ และการจ้างงานในสายการผลิต ดัชนีนี้จึงเป็นกระจกที่สะท้อนความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมหนัก เทคโนโลยี และการส่งออก
ส่วนภาคบริการ ซึ่งในหลายประเทศมีสัดส่วนสูงถึง 70-80% ของ GDP ครอบคลุมธุรกิจตั้งแต่การเงิน การค้าปลีก การท่องเที่ยว โทรคมนาคม ไปจนถึงบริการด้านสุขภาพและเทคโนโลยีสารสนเทศ การวัดกิจกรรมในภาคบริการผ่าน Services PMI จึงช่วยให้เห็นภาพรวมของความต้องการภายในประเทศและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
เมื่อนำทั้งสองดัชนีมารวมกันในรูปแบบของ Composite PMI จะได้ภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศนั้นๆ อย่างครอบคลุมและทันต่อเหตุการณ์ ทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถประเมินทิศทางเศรษฐกิจได้ก่อนที่ข้อมูลทางการอื่นๆ จะออกมา
องค์ประกอบหลักของดัชนี PMI
PMI ไม่ใช่ตัวเลขที่คำนวณจากข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลรวมที่ถ่วงน้ำหนักจากห้าปัจจัยหลัก ซึ่งแต่ละข้อมาจากการสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในแต่ละบริษัท โดยพวกเขาจะถูกถามว่ากิจกรรมในแต่ละด้านเพิ่มขึ้น ลดลง หรือคงที่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า คำตอบเหล่านี้จะถูกแปลงเป็นคะแนนและรวมกันเพื่อคำนวณเป็นค่าดัชนีสุดท้าย

องค์ประกอบสำคัญที่ใช้คำนวณ PMI มีดังนี้:
– **คำสั่งซื้อใหม่ (New Orders):** เป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักมากที่สุด เพราะสะท้อนถึงอุปสงค์ในอนาคต หากคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น แสดงว่าธุรกิจกำลังมีงานเข้า และมีแนวโน้มขยายตัว
– **การผลิต (Production):** วัดระดับกิจกรรมในโรงงานหรือศูนย์บริการ บ่งบอกว่าภาคเอกชนกำลังใช้กำลังการผลิตมากน้อยเพียงใด
– **การจ้างงาน (Employment):** สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงจำนวนพนักงานในองค์กร หากบริษัทเริ่มจ้างงานเพิ่ม แสดงถึงความมั่นใจในอนาคต
– **สต็อกสินค้า (Inventories):** วัดระดับสินค้าคงคลังทั้งวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป หากสต็อกลดลงอย่างรวดเร็ว อาจหมายถึงอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น แต่หากเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป อาจบ่งชี้ถึงยอดขายที่ชะลอตัว
– **ระยะเวลาการส่งมอบสินค้าของซัพพลายเออร์ (Supplier Deliveries):** เมื่อซัพพลายเออร์ส่งสินค้าล่าช้า มักเกิดจากความต้องการที่สูงหรือปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเป็นสัญญาณของเศรษฐกิจที่คึกคัก แต่หากการส่งเร็วขึ้น อาจแปลว่าอุปสงค์อ่อนตัว
การวิเคราะห์แต่ละองค์ประกอบแยกกันช่วยให้เห็นภาพว่า อะไรคือแรงขับเคลื่อนหลักที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของดัชนี ไม่ว่าจะเป็นอุปสงค์ที่แข็งแกร่งหรือปัญหาซัพพลายเชน
วิธีการตีความค่า PMI: การขยายตัว vs. การหดตัว
การอ่านค่า PMI นั้นไม่ซับซ้อน จุดสำคัญคือเลข **50** ซึ่งเป็นเกณฑ์แบ่งระหว่างการขยายตัวและการหดตัว
– **ค่า PMI > 50:** หมายถึง การขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ยิ่งสูงกว่า 50 มากเท่าไร แสดงว่าโมเมนตัมทางเศรษฐกิจยิ่งแข็งแรง เช่น ค่า 55 แสดงถึงการขยายตัวที่ดีมาก
– **ค่า PMI < 50:** หมายถึง การหดตัว หรือชะลอตัว ยิ่งต่ำกว่า 50 มากเท่าไร ยิ่งบ่งชี้ถึงความอ่อนแอ เช่น ค่า 45 แสดงว่าภาคเศรษฐกิจนั้นกำลังถดถอยอย่างมีนัยสำคัญ
- **ค่า PMI = 50:** หมายถึง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ภาคเศรษฐกิจอยู่ในภาวะทรงตัว
นอกจากค่าตัวเลขแล้ว การเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า (MoM) ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน หากค่า PMI จาก 48 เพิ่มขึ้นเป็น 49 แสดงว่าการหดตัวเริ่มชะลอตัว ซึ่งอาจเป็นสัญญาณฟื้นตัว แต่หากค่าจาก 52 ลดลงเป็น 50.5 ก็อาจเป็นสัญญาณว่าโมเมนตัมการขยายตัวเริ่มอ่อนแรง
ความสำคัญของ PMI ต่อเศรษฐกิจและการลงทุน
PMI มีบทบาทสำคัญในหลายด้าน เพราะเป็นข้อมูลที่ออกมาเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ และสะท้อนความเชื่อมั่นของภาคเอกชนโดยตรง ทั้งธนาคารกลาง นักเศรษฐศาสตร์ และนักลงทุนต่างใช้ดัชนีนี้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ
สำหรับธนาคารกลาง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ค่า PMI เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินว่าเศรษฐกิจกำลังร้อนแรงหรือเย็นตัว ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อนโยบายการเงิน หาก PMI แสดงการขยายตัวต่อเนื่องและอยู่ในระดับสูง อาจทำให้ธนาคารกลางกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดการฟองสบู่ ในทางกลับกัน หาก PMI ต่ำกว่า 50 เป็นเวลานาน อาจกระตุ้นให้มีการลดดอกเบี้ยหรือผ่อนคลายมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นักลงทุนใช้ PMI เพื่อประเมินทิศทางของตลาดหุ้นและสกุลเงิน ตัวอย่างเช่น ค่า PMI ของสหรัฐที่ออกมาสูงกว่าคาด อาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้น และดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแรง ทำให้มีโอกาสสูงที่ Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป
PMI กับตลาดการเงิน: ผลกระทบต่อหุ้น, ฟอเร็กซ์ และพันธบัตร
การประกาศตัวเลข PMI ในแต่ละเดือนมักสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจอยู่ในจุดเปลี่ยน
– **ตลาดหุ้น (Equities):** ค่า PMI ที่สูงกว่า 50 โดยเฉพาะที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ถือเป็นข่าวดี เพราะสะท้อนว่าบริษัทต่างๆ มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ผลประกอบการน่าจะดีขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม หากค่า PMI สูงมากจนก่อให้เกิดความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและนโยบายดอกเบี้ยที่เข้มงวดขึ้น ก็อาจทำให้ตลาดหุ้นปรับฐานได้เช่นกัน
– **ตลาดฟอเร็กซ์ (Forex):** สกุลเงินมักเคลื่อนไหวตามทิศทางของ PMI ตัวอย่างเช่น ยูโรอาจแข็งค่าเมื่อ Eurozone Manufacturing PMI ออกมาดีกว่าคาด ในขณะที่เงินเยนอาจอ่อนค่าหาก Japanese PMI บ่งชี้ถึงการชะลอตัว นักลงทุนต่างชาติมักมองหาประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเพื่อลงทุน ทำให้ความต้องการสกุลเงินเพิ่มขึ้น
– **ตลาดพันธบัตร (Bonds):** ผลกระทบต่อพันธบัตรอาจซับซ้อนกว่า เพราะเกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยในอนาคต หาก PMI แข็งแกร่ง อาจทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะดันผลตอบแทนพันธบัตรให้สูงขึ้นและราคาพันธบัตรลดลง แต่หาก PMI อ่อนแอ ราคาพันธบัตรอาจปรับตัวขึ้น เนื่องจากคาดว่าจะมีการผ่อนคลายการเงิน
ข้อมูล PMI จาก S&P Global และ ISM จึงเป็นแหล่งข้อมูลที่นักลงทุนทั่วโลกพึ่งพาอย่างหนักในการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและตลาด
PMI อีกความหมาย: Positive Material Identification (การระบุชนิดวัสดุที่เป็นบวก)
นอกเหนือจากด้านเศรษฐกิจแล้ว PMI ยังมีความหมายที่สำคัญมากในอุตสาหกรรมวิศวกรรมและผลิต นั่นคือ **Positive Material Identification (การระบุชนิดวัสดุที่เป็นบวก)** ซึ่งเป็นกระบวนการตรวจสอบเพื่อยืนยันองค์ประกอบทางเคมีของวัสดุโลหะที่ใช้ในโครงสร้างหรืออุปกรณ์สำคัญ
ในอุตสาหกรรมที่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ภัยพิบัติ เช่น โรงกลั่นน้ำมัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี พลังงานนิวเคลียร์ หรือการบินและอวกาศ การใช้วัสดุที่ไม่ตรงตามมาตรฐานอาจทำให้เกิดการรั่วไหล ระเบิด หรือความล้มเหลวของชิ้นส่วนที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม PMI ในบริบทนี้จึงเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว
วัตถุประสงค์และวิธีการของ PMI (การระบุชนิดวัสดุ)
เป้าหมายหลักของ Positive Material Identification คือการยืนยันว่าวัสดุที่ใช้ในกระบวนการผลิต ติดตั้ง หรือซ่อมบำรุง มีองค์ประกอบทางเคมีตรงกับที่ระบุไว้ในเอกสารหรือมาตรฐาน เช่น ASTM, ASME หรือ ISO โดยเฉพาะกับโลหะผสม (alloys) ที่มีคุณสมบัติพิเศษด้านความทนทานต่อความร้อน ความดัน หรือการกัดกร่อน
กระบวนการนี้ช่วยป้องกันปัญหาที่เรียกว่า “material mix-up” หรือการนำวัสดุผิดประเภทมาใช้งาน เช่น ท่อสแตนเลสเกรด 304 แทน 316 ที่ทนต่อการกัดกร่อนได้ดีกว่า ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายในระยะยาว
เทคนิคที่ใช้ในการตรวจสอบมีดังนี้:
– **X-ray Fluorescence (XRF):** เป็นวิธีการที่ไม่ทำลายชิ้นงาน (Non-Destructive Testing) และใช้กันอย่างแพร่หลาย เครื่อง XRF จะปล่อยรังสีเอกซ์ไปยังพื้นผิวของวัสดุ แล้ววัดรังสีที่สะท้อนกลับเพื่อระบุธาตุต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และสามารถพกพาไปใช้งานในไซต์งานได้
– **Optical Emission Spectrometry (OES):** เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ธาตุที่มีน้ำหนักเบา เช่น คาร์บอน ซัลเฟอร์ และฟอสฟอรัส ซึ่ง XRF อาจไม่สามารถวัดได้แม่นยำ วิธีนี้ใช้กระแสไฟฟ้าสร้างพลาสมาที่พื้นผิวโลหะ และวัดสเปกตรัมของแสงที่ปล่อยออกมาเพื่อระบุองค์ประกอบ
การเลือกใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับประเภทของวัสดุ ความแม่นยำที่ต้องการ และสภาพแวดล้อมในการทดสอบ แต่ไม่ว่าจะใช้เทคนิคไหน การทำ PMI ก็ถือเป็นมาตรฐานที่จำเป็นเพื่อรับรองความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของโครงสร้างและอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมหนัก
สรุป: PMI ดัชนีสำคัญที่ต้องจับตา
PMI เป็นตัวย่อที่สะท้อนความหลากหลายของความรู้ในยุคปัจจุบัน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเงิน อุตสาหกรรม และวิชาชีพ ความหมายที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจสุขภาพเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะในภาคการผลิตและบริการ
ในขณะเดียวกัน PMI ในความหมายของ Positive Material Identification ก็มีบทบาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำและความปลอดภัยสูง ความเข้าใจที่ถูกต้องในแต่ละบริบทจะช่วยให้เราใช้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงความสับสน และตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ PMI (FAQs)
PMI ย่อมาจากอะไรได้บ้างนอกเหนือจากดัชนีเศรษฐกิจ?
PMI ย่อมาจากหลายความหมาย ที่พบบ่อยที่สุดคือ “Purchasing Managers’ Index” (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ) และ “Positive Material Identification” (การระบุชนิดวัสดุที่เป็นบวก) นอกจากนี้ยังมี “Project Management Institute” (สถาบันการจัดการโครงการ) และในบริบททางการแพทย์อาจหมายถึง “Posterior Myocardial Infarction” (กล้ามเนื้อหัวใจตายส่วนหลัง) หรือ “Point of Maximal Impulse” (จุดที่คลำชีพจรได้ชัดเจนที่สุด).
ค่า PMI ที่ต่ำกว่า 50 หมายถึงอะไรและส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจ?
ค่า PMI ที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคส่วนนั้นๆ กำลังมีการหดตัวหรือชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หากค่านี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งอาจนำไปสู่การลดการลงทุน การว่างงานที่เพิ่มขึ้น และการบริโภคที่ลดลง.
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) มีความน่าเชื่อถือแค่ไหนในการพยากรณ์เศรษฐกิจ?
PMI ถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดชั้นนำที่น่าเชื่อถือสูงในการพยากรณ์เศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นการสำรวจจากผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญในการมองเห็นแนวโน้มทางธุรกิจล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ควรใช้ PMI ร่วมกับตัวชี้วัดอื่นๆ เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ครบถ้วนและแม่นยำยิ่งขึ้น.
PMI Test หรือ Positive Material Identification มีความสำคัญอย่างไรในอุตสาหกรรม?
PMI Test มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับรองความถูกต้องของวัสดุโลหะที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการใช้วัสดุที่อาจนำไปสู่ความล้มเหลวของอุปกรณ์ การหยุดชะงักของการผลิต หรืออุบัติเหตุร้ายแรง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น ปิโตรเคมี การบิน และพลังงาน.
เราจะใช้ข้อมูล PMI ในการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นหรือฟอเร็กซ์ได้อย่างไร?
นักลงทุนสามารถใช้ PMI เป็นสัญญาณในการคาดการณ์ทิศทางตลาด ค่า PMI ที่แข็งแกร่งมักหนุนตลาดหุ้นและสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ในขณะที่ค่าที่อ่อนแออาจส่งผลตรงกันข้าม อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาข้อมูล PMI ควบคู่ไปกับปัจจัยอื่นๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และนโยบายเศรษฐกิจ.
PMI มีความเกี่ยวข้องกับ Project Management Institute (สถาบันการจัดการโครงการ) หรือไม่?
ใช่ PMI ในบริบทของ “Project Management Institute” เป็นองค์กรวิชาชีพที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกด้านการบริหารจัดการโครงการ พวกเขาให้การรับรองวิชาชีพ เช่น PMP (Project Management Professional) และพัฒนามาตรฐานสำหรับการจัดการโครงการ แม้จะเป็นคนละความหมายกับดัชนีเศรษฐกิจ แต่ก็เป็นหนึ่งในความหมายที่สำคัญของตัวย่อ PMI.
มี PMI ประเภทใดบ้างที่แตกต่างกัน และแต่ละประเภทวัดอะไร?
ในบริบทของดัชนีเศรษฐกิจ PMI หลักๆ คือ Manufacturing PMI (วัดกิจกรรมในภาคการผลิต) และ Services PMI (วัดกิจกรรมในภาคบริการ) นอกจากนี้ยังมี Composite PMI ที่เป็นการรวมกันของทั้งสองภาคส่วน เพื่อให้ภาพรวมของเศรษฐกิจโดยรวม.
PMI ทางการแพทย์หมายถึงอะไร และใช้ในบริบทใด?
ในทางการแพทย์ PMI สามารถหมายถึง “Point of Maximal Impulse” ซึ่งเป็นตำแหน่งบนหน้าอกที่สามารถคลำสัมผัสการเต้นของหัวใจได้ชัดเจนที่สุด หรือ “Posterior Myocardial Infarction” ซึ่งหมายถึงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายส่วนหลัง เป็นต้น ขึ้นอยู่กับบริบททางการแพทย์ที่ใช้งาน.
หน่วยงานใดบ้างที่เป็นผู้รวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล PMI ทั่วโลก?
หน่วยงานหลักที่รวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล PMI ทั่วโลก ได้แก่ Institute for Supply Management (ISM) สำหรับสหรัฐอเมริกา และ S&P Global (เดิมคือ IHS Markit) สำหรับหลายประเทศในยุโรป เอเชีย และส่วนอื่นๆ ของโลก นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานภาครัฐหรือสถาบันวิจัยในบางประเทศที่รวบรวมข้อมูลของตนเอง.
ค่า PMI ที่ประกาศออกมาในแต่ละเดือนมีความสำคัญต่อการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางอย่างไร?
ธนาคารกลางใช้ค่า PMI เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการประเมินสถานะและแนวโน้มของเศรษฐกิจ หาก PMI บ่งชี้ถึงการขยายตัวที่แข็งแกร่ง อาจเป็นสัญญาณของภาวะเงินเฟ้อที่กำลังจะมาถึง ซึ่งอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุม ในทางกลับกัน PMI ที่อ่อนแออาจบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ.