Relative Strength Index (RSI): ตัวชี้วัดโมเมนตัมที่นักเทรดควรรู้

ในโลกของการลงทุนและการซื้อขายสินทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินค้าโภคภัณฑ์ การวิเคราะห์ทางเทคนิคกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักเก็งกำไรและนักลงทุนมองเห็นทิศทางของราคาได้อย่างมีเหตุผล และหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกใช้อย่างกว้างขวางที่สุดคือ **Relative Strength Index (RSI)** — ดัชนีที่เน้นวัด “โมเมนตัม” หรือความเร็วของการเคลื่อนตัวของราคา เพื่อบ่งชี้จุดที่ตลาดอาจกลับตัวจากการซื้อหรือขายมากเกินไป
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจ RSI อย่างลึกซึ้ง — ตั้งแต่หลักการคำนวณ วิธีตีความ ไปจนถึงกลยุทธ์การใช้งานจริงในตลาด พร้อมตัวอย่างการประยุกต์ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจเทรด
RSI คืออะไร? ทำความรู้จักกับผู้ให้กำเนิดและวิธีคำนวณเบื้องต้น
Relative Strength Index หรือ RSI คือตัวชี้วัดประเภท *Oscillator* ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย **J. Welles Wilder Jr.** นักวิเคราะห์ทางเทคนิคชื่อดัง และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1978 ผ่านหนังสือชื่อ *“New Concepts in Technical Trading Systems”* ซึ่งถือเป็นตำราเบื้องต้นสำหรับนักเทคนิคยุคใหม่
จุดประสงค์หลักของ RSI คือการวัดพลังและทิศทางของกระแสราคาในช่วงเวลาหนึ่ง โดยแปลงข้อมูลราคาปิดของสินทรัพย์ให้กลายเป็นตัวเลขที่เคลื่อนไหวในช่วง 0 ถึง 100 เส้นค่ากลางที่สำคัญคือ 50 ซึ่งแบ่งแนวโน้มออกเป็นสองฝั่ง: ด้านบน 50 แสดงถึงโมเมนตัมขาขึ้น ด้านล่าง 50 สะท้อนโมเมนตัมขาลง

การคำนวณ RSI พิจารณาจากค่าเฉลี่ยของ “กำไร” และ “ขาดทุน” ในการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด ปกติแล้วนิยมใช้ **14 ช่วงเวลา** (อาจเป็นวัน ชั่วโมง หรือนาที ขึ้นอยู่กับกรอบเวลาที่ใช้)
สูตรหลักของ RSI ดูเหมือนซับซ้อน แต่เมื่อเข้าใจพื้นฐาน ก็สามารถนำไปใช้ได้อย่างมั่นใจ:
\[
\text{RSI} = 100 – \left( \frac{100}{1 + \text{RS}} \right)
\]
โดยที่:
– **RS (Relative Strength)** = ค่าเฉลี่ยของกำไร / ค่าเฉลี่ยของขาดทุน
ในช่วงเริ่มต้น (14 ช่วงแรก) จะใช้การเฉลี่ยอย่างง่ายของกำไรและขาดทุน ส่วนในช่วงถัดไปจะใช้ *ค่าเฉลี่ยแบบมีน้ำหนัก (Smoothed Moving Average)* เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงราบรื่นขึ้น
ค่า 14 ที่นิยมใช้ถือว่าเป็นมาตรฐาน แต่นักเทรดส่วนใหญ่เลือกปรับค่า RSI ตามสไตล์การซื้อขายของตัวเอง — เช่น นักเทรดรายวันอาจใช้ RSI(7) เพื่อให้ไวต่อการเปลี่ยนแปลงราคา ส่วนนักลงทุนระยะกลางอาจใช้ RSI(21) หรือแม้แต่ RSI(50) เพื่อลดสัญญาณรบกวน
ตีความ RSI อย่างมืออาชีพ: จาก Overbought ถึง Divergence
การอ่านค่า RSI ไม่ใช่แค่ดูว่ามันเกิน 70 หรือใต้ 30 แล้วตัดสินใจขายหรือซื้อ แต่ต้องเข้าใจ “บริบท” ของตลาดควบคู่กันไปด้วย หากใช้เพียงแค่ระดับตัวเลขโดยไม่พิจารณาแนวโน้มหรือโครงสร้างราคา อาจทำให้ตกหลุมพรางของ “สัญญาณหลอก” ได้ง่าย
สภาวะ Overbought และ Oversold: ควรใช้เมื่อใด?
ระดับพื้นฐานที่ใช้กันมาอย่างยาวนานคือ:
– **RSI > 70:** บ่งบอกถึงภาวะ *Overbought* — แรงซื้อมากเกินไป ราคาอาจเริ่มปรับฐาน
– **RSI < 30:** บ่งบอกถึงภาวะ *Oversold* — แรงขายมากเกินไป ราคาอาจฟื้นตัว
แต่ข้อควรระวังคือ ในตลาดที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยแนวโน้มแรง (Trending Market) เช่น ขาขึ้นรุนแรงในช่วงฟองสบู่หรือขาลงรุนแรงระหว่างวิกฤต RSI อาจค้างอยู่ในโซน Overbought หรือ Oversold ได้นานนับสัปดาห์หรือแม้แต่เดือน
เช่น ในช่วงที่หุ้นเทสลา (Tesla) พุ่งแรงในปี 2020–2021 RSI ขึ้นไปแตะ 80–90 หลายครั้งติดต่อกัน แต่ราคากลับยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ใครที่ขายแค่เพราะ RSI เกิน 70 จึงพลาดจังหวะกำไรมากมาย
ด้วยเหตุนี้ นักเทรดมืออาชีพจึงมักปรับ “เกณฑ์” ตามความเหมาะสม เช่น ใช้ **80/20 แทน 70/30 สำหรับสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง** หรือใช้เพียงเป็น “ตัวเตือน” แทนการตัดสินใจทันที
Divergence — สัญญาณกลับตัวที่แม่นยำที่สุดของ RSI
หนึ่งในความสามารถเด่นของ RSI คือการระบุ **Divergence** หรือความไม่สอดคล้องระหว่างแนวโน้มของราคาและโมเมนตัมที่แท้จริง
– **Bullish Divergence (สัญญาณซื้อ):** ราคาทำ “จุดต่ำสุดใหม่” (Lower Low) แต่ RSI กลับทำ “จุดต่ำสุดที่สูงขึ้น” (Higher Low) แสดงว่าแรงขายเริ่มหมด แรงซื้อกำลังสะสม
– **Bearish Divergence (สัญญาณขาย):** ราคาทำ “จุดสูงสุดใหม่” (Higher High) แต่ RSI ทำ “จุดสูงสุดที่ต่ำลง” (Lower High) บ่งบอกว่าแรงซื้อเริ่มแผ่ว ความเบื่อหน่ายเริ่มครอบงำ
Divergence มักเกิดขึ้นก่อนการกลับตัวจริงหลายช่วงเวลา — บางครั้งเป็นสัญญาณล่วงหน้า 2–3 วัน ซึ่งทำให้นักเทรดที่ตั้งรับได้ทัน สามารถเข้าตลาดได้ในจุดที่มีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward) ดี
นอกจากนั้นยังมี **Hidden Divergence** ซึ่งใช้ระบุแนวโน้มที่ “ยังไม่จบ” มากกว่าจะเป็นสัญญาณกลับตัว:
– **Hidden Bullish Divergence:** ราคาเกิด Higher Low แต่ RSI ทำ Lower Low — แสดงถึงการย่อตัวในแนวโน้มขาขึ้น พร้อมไปต่อ
– **Hidden Bearish Divergence:** ราคาเกิด Lower High แต่ RSI ทำ Higher High — บ่งบอกว่าแนวโน้มขาลงยังเข้มแข็ง
Failure Swings: สัญญาณจากต้นฉบับที่มักถูกละเลย
Wilder เองย้ำในหนังสือต้นฉบับว่า **Failure Swing** เป็นหนึ่งในสัญญาณ RSI ที่ “มีน้ำหนัก” และแม่นยำมาก เพราะมันสะท้อนถึงความล้มเหลวของฝ่ายควบคุมราคานั้น ไม่ว่าจะเป็นแรงซื้อหรือแรงขาย
– **Bullish Failure Swing:**
1. RSI ตกลงใต้ 30 (Oversold)
2. ดีดกลับขึ้นเกิน 30
3. ย่อตัวลงอีกครั้ง แต่ไม่ต่ำกว่า 30
4. ทะลุ High เดิม — สัญญาณซื้อชัดเจน
– **Bearish Failure Swing:**
1. RSI ขึ้นเกิน 70 (Overbought)
2. ปรับตัวลงต่ำกว่า 70
3. ดีดกลับขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่เกิน 70
4. ร่วงต่ำกว่า Low เดิม — สัญญาณขายชัดเจน
สัญญาณนี้มีอัตราความสำเร็จสูง โดยเฉพาะในสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวในลักษณะ “สวิง” (Swing Trading) เพราะสะท้อนจิตวิทยาตลาดที่เปลี่ยนแปลงจริง ๆ
ข้อจำกัดของ RSI และวิธีหลีกเลี่ยงความผิดพลาด
แม้ว่า RSI จะทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่ “ไม้กายสิทธิ์” ที่ใช้แก้ปัญหาทุกอย่าง มีข้อควรระวังหลัก ๆ ดังนี้:
– **ให้สัญญาณผิดบ่อยในตลาดข้าง (Sideways Market):** ในตลาดที่ไม่มีเทรนด์ชัดเจน RSI จะโยนจาก 30 ไป 70 อย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การเทรดผิดหลายครั้ง
– **ไม่ทันกับแนวโน้มรุนแรง:** เน้นย้ำอีกครั้งว่า RSI เป็น *Oscillator* ที่ “คาดหวัง” การกลับตัว แต่ใน *Trending Market* การกลับตัวอาจมาช้าหรือไม่มาเลย
– **การพึ่งพาเพียงตัวเดียว:** การใช้ RSI โดด ๆ โดยไม่ดูกราฟราคาหรือเครื่องมืออื่น คือหนึ่งในความผิดพลาดที่ทำให้นักเทรดใหม่ขาดทุนอย่างหนัก
**ทางแก้:** ต้อง “กรอง” สัญญาณ RSI ด้วยบริบทอื่น เช่น การวิเคราะห์ *Price Action* เส้นแนวรับ-แนวต้าน หรือการใช้ร่วมกับเครื่องมือที่บอกทิศทางแนวโน้ม เช่น Moving Average หรือ MACD
การใช้ RSI ร่วมกับเครื่องมืออื่น — เพิ่มความน่าเชื่อถือให้สัญญาณ
ไม่มีเครื่องมือใดเดียวที่ “สมบูรณ์แบบ” การผสมผสาน RSI กับเครื่องมืออื่นช่วยเพิ่มความแม่นยำ และลดความเสี่ยงจากสัญญาณเท็จ
– **RSI + Moving Average:** ใช้ MA เป็น “เข็มทิศ” ของแนวโน้ม — หากราคาอยู่เหนือ MA200 แสดงแนวโน้มขาขึ้น จึงควรเน้น “ซื้อ” เมื่อ RSI ย่อลงใกล้ 30 แทนที่จะ “ขาย”
– **RSI + MACD:** MACD ช่วยยืนยันโมเมนตัม ในขณะที่ RSI ช่วยบอกจังหวะเข้าตลาด — เช่น เมื่อ MACD มีแนวโน้มตัดขึ้น และ RSI กำลังออกจากโซน Oversold คือจังหวะซื้อดี
– **RSI + Bollinger Bands:** เมื่อราคาแตะขอบบนของ Bollinger Bands และ RSI > 70 อาจเป็นสัญญาณ Overbought ที่แข็งแรง กลับกัน หากแตะขอบล่างและ RSI < 30 อาจบ่งชี้ถึงโอกาสฟื้นตัว
- **RSI + Stochastic Oscillator:** ใช้ทั้งสองตัวตรวจสอบกันและกัน — หากทั้งคู่อยู่ในโซน Overbought และเริ่มโค้งตัวลง โอกาสกลับตัวจะสูงกว่าการมีเพียงตัวเดียว
ปรับแต่ง RSI ให้เหมาะกับสไตล์: 14 จริงหรือดีที่สุด?
แม้ Wilder จะแนะนำให้ใช้ RSI แบบ 14 ช่วงเวลา แต่นักเทรดในปัจจุบันต่างค้นหาค่าที่ “เหมาะกับตัวเอง” มากกว่า “ตามต้นฉบับ”
– **RSI(7) หรือ RSI(9):** ไวต่อการเปลี่ยนแปลงราคา ดีสำหรับนักเทรดรายวันหรือการเทรดระยะสั้น แต่มีสัญญาณหลอกเพิ่มขึ้น
– **RSI(21) หรือ RSI(28):** ช้ากว่า เหมาะกับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว หรือผู้ที่ไม่ต้องการเข้าเทรดบ่อย ๆ
– **RSI(14) แบบ Smoothing เพิ่มเติม:** ใช้ในกลยุทธ์ที่ต้องการกรองสัญญาณ เช่น การใช้ค่าเฉลี่ยของ RSI อีกที (RSI of RSI)
นอกจากนี้ **Andrew Cardwell** นักวิเคราะห์ชื่อดัง ได้เสนอแนวคิดใหม่ในการตีความ RSI ตามแนวโน้ม:
– ใน **แนวโน้มขาขึ้น:** ดูที่ 40 และ 80 แทน 30 และ 70 — หาก RSI ย่อมาที่ 40-50 แล้วเด้งกลับ ถือว่าเป็นโอกาส “ซื้อตามเทรนด์” (Buy the Dip)
– ใน **แนวโน้มขาลง:** ใช้ 20 และ 60 — หาก RSI ดีดถึง 50-60 แล้วร่วงต่อ อาจเป็นจุด “ขายตามแนวโน้ม” (Sell the Rally)
ตัวอย่างกลยุทธ์การใช้งาน RSI ที่น่าสนใจ
1. การเทรดตามภาวะ Overbought/Oversold (แบบมีเงื่อนไข):
เข้าซื้อเมื่อ RSI ต่ำกว่า 30 และคืนค่ากลับมาเกิน 30 โดยราคาไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ (หรือมีรูปแบบกลับตัว เช่น Hammer, Bullish Engulfing)
เข้าขายเมื่อ RSI เหนือ 70 แล้วตกลงต่ำกว่า 70 โดยราคาไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ (หรือมี Doji, Shooting Star)
2. ใช้ Divergence ควบคู่กับระดับสำคัญ:
เมื่อราคาแตะแนวรับสำคัญและเกิด Bullish Divergence — ความน่าเชื่อถือสูง
หรือเมื่อแตะแนวต้านและเกิด Bearish Divergence — เป็นจุดพลิกแนวโน้มได้
3. ใช้ RSI เพื่อยืนยันทิศทางเทรนด์:
หาก RSI มัก “ไม่ยอม” ต่ำกว่า 50 ในระยะยาว — แสดงว่าตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
หาก RSI ไม่ค่อยเกิน 50 — แสดงว่าแนวโน้มยังเป็นขาลง
สรุป: RSI คือเครื่องมือ ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
RSI เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในโลกการเทรด เพราะเข้าใจง่าย ใช้งานได้หลากหลาย และให้สัญญาณที่มองเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ความเรียบง่ายนั้นกลับเป็นดาบสองคม หากใช้ไม่เป็น หรือใช้เพียงผิวเผิน ก็อาจนำไปสู่ความสูญเสียที่รุนแรงได้
กุญแจสำคัญในการใช้ RSI คือ “การปรับตัวให้เข้ากับตลาด” ไม่ใช่ให้ตลาดมาเข้ากับ RSI ต้องรู้ว่าเมื่อใดควรใช้ ตอนไหนควรละเว้น และต้องรู้จักใช้ร่วมกับข้อมูลอื่น ๆ เพื่อสร้างระบบที่มีตรรกะและสามารถทดสอบได้
ไม่มีเครื่องมือใดที่ทำกำไรได้ตลอดเวลา แต่เมื่อคุณเข้าใจจุดแข็งและข้อจำกัดของ RSI อย่างแท้จริง มันจะกลายเป็นหนึ่งใน “ผู้ช่วยมือขวา” ที่ขาดไม่ได้ในการวิเคราะห์ตลาดของคุณ
RSI ที่ดีควรอยู่ที่ระดับเท่าไหร่?
ไม่มีระดับ RSI ใดที่ถือว่า “ดีที่สุด” สำหรับทุกสถานการณ์ โดยทั่วไปแล้ว RSI ต่ำกว่า 30 บ่งชี้ถึงภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัว ในขณะที่ค่าเกิน 70 บ่งชี้ถึงภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และอาจตามด้วยการปรับตัวลง อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาร่วมกับแนวโน้มและบริบทของตลาดเสมอ เพราะในช่วงเทรนด์แรง RSI อาจค้างอยู่ในโซนเหล่านี้ได้นานโดยไม่กลับตัวทันที
RSI 7 กับ RSI 14 แตกต่างกันอย่างไร?
ความแตกต่างหลักอยู่ที่จำนวนช่วงเวลาที่ใช้ในการคำนวณ:
- RSI 7: ใช้ข้อมูลเพียง 7 ช่วงเวลา ทำให้มีความไวสูง เคลื่อนไหวเร็ว และให้สัญญาณบ่อย จึงเหมาะกับนักเทรดระยะสั้น เช่น Day Trading หรือ Scalping แต่ก็มีโอกาสเกิดสัญญาณเท็จมากกว่า
- RSI 14: ใช้ข้อมูล 14 ช่วงเวลา เป็นค่าเริ่มต้นที่ J. Welles Wilder แนะนำ มีความสมดุลระหว่างความไวและความน่าเชื่อถือ เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ในกรอบเวลาหลายแบบ ทั้งรายวันและรายสัปดาห์
RSI สามารถใช้ทำนายการกลับตัวของแนวโน้มได้หรือไม่?
ใช่ ได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อเกิด Divergence (ความขัดแย้ง) ระหว่างการเคลื่อนไหวของราคาและค่า RSI เช่น ราคาขึ้นต่อเนื่องแต่ RSI เริ่มลดลง หรือในรูปแบบ Failure Swing ซึ่ง Wilder เองถือว่ามีความน่าเชื่อถือสูง อย่างไรก็ตาม RSI ไม่ควรใช้เพียงตัวเดียว การยืนยันด้วยเครื่องมืออื่นหรือลักษณะ Price Action จะช่วยเพิ่มความแม่นยำได้มาก
ควรตั้งค่า RSI เท่าไหร่ดีที่สุด?
ค่า RSI ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและประเภทของสินทรัพย์ที่วิเคราะห์ ค่า 14 ยังคงเป็นมาตรฐานและปลอดภัยที่สุดสำหรับการเริ่มต้น ถ้าคุณเป็นนักเทรดเร็ว อาจลองใช้ 7 หรือ 9 แต่ต้องพร้อมรับมือกับสัญญาณหลอกมากขึ้น สำหรับนักเทรดแนวสวิงหรือระยะยาว อาจปรับเป็น 21 หรือ 28 เพื่อลดสัญญาณรบกวน สิ่งสำคัญคือการ “ทดสอบ” และปรับให้เหมาะสมกับระบบเทรดของตัวเองในแต่ละตลาด