สเปรด (Spread) คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์

สเปรด (Spread) คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์

ภาพกราฟิกตลาดการเงินสมัยใหม่ แสดงการเคลื่อนไหวของราคาและคำว่าสเปรด

ในโลกของการลงทุนและตลาดการเงิน เครื่องมือและแนวคิดต่าง ๆ ถูกใช้เพื่อช่วยวิเคราะห์ ตัดสินใจ และบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในคำศัพท์ที่คุณจะพบบ่อยที่สุด คือ “สเปรด” ไม่ว่าคุณจะซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ลงทุนในตราสารหนี้ หรือใช้กลยุทธ์ซับซ้อนในตลาดอนุพันธ์ ความเข้าใจที่ชัดเจนในเรื่องของสเปรดช่วยให้คุณประเมินต้นทุน ประสิทธิภาพของการซื้อขาย และแม้กระทั่งสุขภาพของตลาดโดยรวมได้อย่างลึกซึ้ง บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของสเปรดในบริบทต่าง ๆ เพื่อให้คุณสามารถประยุกต์ใช้ความรู้นี้ได้อย่างมีเป้าหมายและประสบความสำเร็จมากขึ้นในเส้นทางการลงทุน

สเปรดในการซื้อขาย Forex และการเทรดทั่วไป

ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex) เป็นหนึ่งในสถานที่ที่คำว่า “สเปรด” ได้รับการใช้มากที่สุด และถือเป็นหัวใจหลักของการคำนวณต้นทุนในการทำธุรกรรม ความเข้าใจในสเปรดอาจดูเรียบง่ายในตอนแรก แต่เมื่อดำเนินการจริง ผลต่างเล็กน้อยเพียงไม่กี่พิพส์ก็สามารถส่งผลต่อผลกำไรในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกับนักเทรดความถี่สูงหรือกลยุทธ์แบบสกาลป์พิง

สเปรดคืออะไร?

สเปรด หรือที่ภาษาตลาดเรียกกันว่า “ค่าสเปรด” คือ ความต่างของราคาที่คุณสามารถขายได้ (Bid Price) กับราคาที่คุณต้องจ่ายเมื่อซื้อ (Ask Price) ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการซื้อคู่เงิน EUR/USD คุณจะต้องซื้อในราคาที่ตลาด “เสนอขาย” หรือ Ask ส่วนเมื่อคุณต้องการขายกลับ คุณจะได้ราคาที่ตลาด “เสนอซื้อ” หรือ Bid ราคา Ask มักจะสูงกว่าราคา Bid เสมอ ซึ่งส่วนต่างนี้คือสิ่งที่เรียกว่า “สเปรด” และเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้หลักของโบรกเกอร์ เปรียบเสมือนค่าธรรมเนียมแฝงที่คุณต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิดหรือปิดตำแหน่ง

สเปรดที่แคบ หมายถึง ต้นทุนการทำธุรกรรมต่ำ การซื้อขายจึงมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในทางกลับกัน สเปรดที่กว้าง แสดงถึงต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากสภาพคล่องต่ำหรือความไม่แน่นอนในตลาด เช่น ในช่วงประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ

การคำนวณสเปรด

สเปรดในตลาด Forex ส่วนใหญ่จะถูกวัดจากหน่วยที่เรียกว่า “พิพ” (Pip) ซึ่งเป็นตัวย่อของ “Percentage in Point” และใช้เพื่อบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงขั้นต่ำของราคา สำหรับคู่เงินหลัก เช่น EUR/USD หรือ GBP/USD 1 พิพ ตรงกับการเปลี่ยนแปลงที่ตำแหน่งทศนิยมที่สี่ เช่น จาก 1.1050 เป็น 1.1051 ถือว่าเพิ่มขึ้น 1 พิพ เว้นแต่คู่เงินที่มีเยน (JPY) การเปลี่ยนแปลง 1 พิพ จะอยู่ที่ทศนิยมตำแหน่งที่สอง เช่น USD/JPY จาก 150.20 เป็น 150.21

สูตรคำนวณสเปรดจึงง่ายมาก:

สเปรด = ราคา Ask – ราคา Bid

หาก EUR/USD มีราคา Ask ที่ 1.1052 และ Bid ที่ 1.1050 ค่าสเปรดคือ 0.0002 หรือ 2 พิพ

ประเภทของสเปรด: คงที่ vs. แปรผัน

โบรกเกอร์แต่ละรายจะเสนอสเปรดที่แตกต่างกันไป ซึ่งโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่

สเปรดคงที่ (Fixed Spread)
สเปรดคงที่คือการที่ค่าสเปรดไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าตลาดจะนิ่งหรือผันผวนอย่างรุนแรง เช่น ราคาอาจคงอยู่ที่ 2 พิพ เสมอ ข้อดีของรูปแบบนี้คือ เทรดเดอร์สามารถวางแผนกลยุทธ์และคาดการณ์ต้นทุนได้อย่างแม่นยำ จึงเหมาะกับเทรดเดอร์มือใหม่ หรือผู้ที่ต้องการความเสถียร แต่ข้อจำกัดคือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ข่าวด่วน โบรกเกอร์อาจไม่สามารถรักษาราคาแบบคงที่ได้ ทำให้เกิด “รีโควท” หรือการขอให้ยืนยันราคาใหม่ ซึ่งอาจขัดขวางความเร็วในการเข้าตลาด

สเปรดแปรผัน (Variable Spread)
สเปรดแปรผันจะปรับตัวตามสภาพตลาด โดยสะท้อนอุปสงค์ อุปทาน และระดับความผันผวนในเวลาจริง ยิ่งตลาดมีสภาพคล่องสูง เช่น ช่วงเวลาซ้อนทับของตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก สเปรดมักจะแคบ แต่ในช่วงประกาศข่าว NFP หรืออัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง สเปรดอาจพุ่งสูงขึ้น 5-10 เท่า ข้อดีคือ ไม่มีรีโควท เพราะราคาอัพเดตแบบเรียลไทม์ ทำให้เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ และสามารถอ่านสถานการณ์ตลาดได้ดี

สเปรดสำคัญต่อเทรดเดอร์อย่างไร?

สำหรับเทรดเดอร์รายวันหรือผู้ที่ซื้อขายบ่อย ๆ สเปรดคือต้นทุนประจำของการซื้อขาย แม้กำไรต่อครั้งอาจเพียง 5-10 พิพ แต่ถ้าสเปรดสูงถึง 3 พิพ คุณจะต้องทำกำไรให้ได้อย่างน้อย 3 พิพ ก่อนที่จะเริ่มทำกำไรจริง กลยุทธ์เช่น “สกาลป์พิง” ที่เน้นการซื้อขายในไม่กี่วินาที จึงให้ความสำคัญกับสเปรดมากเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ สเปรดยังสะท้อน “สภาพคล่อง” ของคู่เงินที่คุณซื้อขาย พิจารณาได้ว่า คู่เงินหลัก เช่น EUR/USD หรือ USD/JPY มักมีสเปรดแคบ เพราะมีปริมาณการซื้อขายสูง ในทางกลับกัน คู่เงินรอง (Cross Pairs) หรือคู่เงินแปลก อาจมีสเปรดกว้างและซ่อนความเสี่ยงจากการจัดการคำสั่ง

สเปรดในตลาดตราสารหนี้

ภาพประกอบตลาดตราสารหนี้และแนวคิดเรื่องสเปรด แสดงกราฟความแตกต่างของอัตราผลตอบแทน

ในตลาดตราสารหนี้ สเปรดใช้ในความหมายที่ต่างออกไป ไม่ใช่แค่ส่วนต่างราคา แต่เป็นส่วนต่าง “อัตราผลตอบแทน” ระหว่างตราสารสองตัวที่มีความเสี่ยงหรือโครงสร้างแตกต่างกัน เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ระดับมืออาชีพที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในสถาบันการเงิน

Credit Spread คืออะไร?

Credit Spread หรือ “สเปรดด้านเครดิต” คือ ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีอายุครบกำหนดใกล้เคียงกัน เนื่องจากพันธบัตรรัฐบาลถือเป็นตราสารปลอดความเสี่ยง (ในทางทฤษฎี) บริษัทเอกชนจึงต้องเสนอผลตอบแทนที่สูงกว่าเพื่อดึงดูดนักลงทุนให้รับความเสี่ยงที่มากกว่า

เช่น หากพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลสหรัฐให้ผลตอบแทน 4.0% ขณะที่หุ้นกู้อายุ 10 ปีของบริษัทเอกชนให้ 5.5% นั่นหมายถึง Credit Spread เท่ากับ 1.5% หรือ 150 basis points (bps)

Credit Spread กว้างขึ้น บ่งบอกว่า ตลาดกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงหนี้ผิดนัดของบริษัทเอกชนมากขึ้น ส่วน Credit Spread แคบ สะท้อนถึงความมั่นใจในตลาดและความเสี่ยงที่ต่ำลง นักลงทุนจึงยอมรับผลตอบแทนเพิ่มที่น้อยลงได้

Yield Spread คืออะไร?

Yield Spread หรือ “สเปรดด้านผลตอบแทน” เป็นคำที่กว้างกว่า โดยใช้เปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนระหว่างตราสารหนี้สองตัวที่มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านอายุครบกำหนด อันดับเครดิต หรือประเภทของผู้ออกตราสาร

ตัวอย่างสำคัญคือ “Yield Curve Spread” เช่น ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้น 2 ปี และระยะยาว 10 ปี หาก Yield Spread แคบลง หรือกลายเป็น “กลับด้าน” (Inverted Curve) มักตีความว่า ตลาดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวในอนาคต เป็นสัญญาณที่นักเศรษฐศาสตร์ติดตามอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดเฉพาะทาง เช่น:

  • Z-Spread (Zero-Volatility Spread): ใช้วัดส่วนต่างของผลตอบแทนที่จำเป็นเพื่อให้ราคาตราสารหนี้เท่ากับมูลค่าปัจจุบันของเงินปันผลในอนาคต โดยใช้เส้นอัตราดอกเบี้ยปลอดความเสี่ยง
  • OAS (Option-Adjusted Spread): คล้ายกับ Z-Spread แต่ปรับค่าเผื่อความเสี่ยงจากออปชันแฝง เช่น พันธบัตรที่ผู้ออกมีสิทธิ์ไถ่ถอนก่อนกำหนด (Callable Bond) ซึ่งอาจลดคุณค่าให้กับนักลงทุน

ความสำคัญของ Credit และ Yield Spread

Credit และ Yield Spread ไม่ได้เป็นเพียงข้อมูลทางเทคนิค แต่ยังเป็น “เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ” ชั้นยอด

  • บ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ: เมื่อสเปรดระหว่างพันธบัตรรัฐบาลและเอกชนพุ่งขึ้น สินเชื่ออาจชะลอ บริษัทกู้เงินยากขึ้น สะท้อนว่าความเชื่อมั่นลดลง
  • ช่วยประเมินราคาตราสารหนี้: นักลงทุนใช้สเปรดเพื่อตัดสินว่าหุ้นกู้ตัวใด “ดีเกินราคา” หรือ “ถูกเกินไป” เมื่อเทียบกับภาวะตลาด
  • ส่งผลต่อต้นทุนเงินกู้: ธนาคารและบริษัทใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ยในการออกหุ้นกู้ใหม่

ในแวดวงการเงินนักวิเคราะห์จะจับตาอัตราสเปรดอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เพื่อการลงทุน แต่เพื่ออ่านทิศทางของเศรษฐกิจโลกอย่างแม่นยำ

สเปรดในกลยุทธ์การเทรดขั้นสูง

เมื่อพูดถึงตลาดอนุพันธ์ เช่น ออปชันและฟิวเจอร์ส คำว่า “สเปรด” ได้ขยายความหมายไปยัง “กลยุทธ์การซื้อขาย” ที่รวมคำสั่งหลายรายการเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างผลตอบแทนเฉพาะเจาะจงในสถานการณ์ตลาดที่คาดการณ์ไว้ ขณะเดียวกันก็จำกัดความเสี่ยง

กลยุทธ์ Butterfly Spread

Butterfly Spread เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางเลือกที่นิยมใช้ในตลาดออปชัน โดยประกอบด้วยการซื้อและขายออปชันประเภทเดียวกัน เช่น Call หรือ Put จำนวนสามชุดที่มีราคาใช้สิทธิ (Strike Price) แตกต่างกัน แต่มีวันหมดอายุเดียวกัน

โครงสร้างพื้นฐานของกลยุทธ์นี้มักเป็น:

  • ซื้อ 1 สัญญา Call ที่ Strike ต่ำ
  • ขาย 2 สัญญา Call ที่ Strike กลาง
  • ซื้อ 1 สัญญา Call ที่ Strike สูง

ผลลัพธ์ที่ได้คือ กำไรสูงสุดเมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงอยู่ใกล้กับราคาStrike กลาง แต่ขาดทุนจำกัดหากตลาดขยับมากเกินไป กลยุทธ์นี้จึงเหมาะกับตลาดที่คาดว่าจะ “นิ่ง” หรือเคลื่อนไหวในกรอบแคบ

กลยุทธ์ Calendar Spread

Calendar Spread (หรือเรียกอีกอย่างว่า Time Spread) เน้นการใช้ “เวลาหมดอายุ” เป็นตัวแปรหลัก โดยการซื้อสัญญาออปชันหรือฟิวเจอร์สที่มีวันหมดอายุต่างกัน แต่ในราคา Strike และสินทรัพย์อ้างอิงเดียวกัน

ตัวอย่าง: ซื้อหนึ่งสัญญา Call ที่หมดอายุในสามเดือน และขายอีกหนึ่งสัญญา Call ที่หมดอายุในหนึ่งเดือน

เหตุผลหลักที่ใช้กลยุทธ์นี้ คือ การได้ประโยชน์จาก “ค่าเวลา” (Time Decay) หรือ “ความผันผวนแฝง” (Implied Volatility) ที่เปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา เช่น หากคุณคาดว่าสินทรัพย์จะไม่เคลื่อนตัวในระยะสั้น แต่จะผันผวนในระยะกลาง การขายสัญญาที่หมดอายุเร็วจะได้ประโยชน์จากค่าเวลาที่ลดลงอย่างรวดเร็ว

สรุป

คำว่า “สเปรด” อาจฟังดูเรียบง่ายในตอนต้น แต่เมื่อขยายบริบทไปยังตลาดต่าง ๆ จะเห็นว่ามันมีบทบาทที่หลากหลายและลึกซึ้งกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการซื้อขายใน Forex, ตัวชี้วัดความเสี่ยงในตลาดตราสารหนี้ หรือกลไกของกลยุทธ์ซับซ้อนในออปชัน การเข้าใจสเปรดอย่างถ่องแท้จึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือ “กุญแจ” สู่การตัดสินใจลงทุนที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ

การเลือกโบรกเกอร์ที่ให้สเปรดต่ำ การอ่านความหมายของ Credit Spread เพื่อคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ หรือการใช้กลยุทธ์ Calendar Spread เพื่อจัดการกับเวลาและความผันผวน ทั้งหมดนี้ล้วนต้องอาศัยพื้นฐานความเข้าใจที่มั่นคงเกี่ยวกับ “สเปรด” ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์รายย่อยหรือผู้จัดการกองทุน มันคือหนึ่งในแนวคิดที่คุณต้องติดตามอย่างสม่ำเสมอ เพราะมันไม่เพียงสะท้อนต้นทุน แต่ยังสะท้อน “จังหวะ” และ “สุขภาพ” ของตลาดการเงินทั้งระบบ

สเปรด (Spread) ใน Forex คืออะไร?

สเปรดใน Forex คือส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Ask) ของคู่สกุลเงินใดๆ ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมหลักที่โบรกเกอร์เรียกเก็บจากการทำธุรกรรมของคุณ ยิ่งสเปรดแคบเท่าไร ต้นทุนการเทรดก็จะยิ่งต่ำลงเท่านั้น

ทำไมสเปรดถึงสำคัญสำหรับเทรดเดอร์?

สเปรดเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการเทรดโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลยุทธ์การเทรดที่มีความถี่สูง การทำความเข้าใจประเภทและขนาดของสเปรดจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคำนวณต้นทุน วางแผนกลยุทธ์ และเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของตนได้

Credit Spread แตกต่างจาก Yield Spread อย่างไร?

Credit Spread คือส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างหุ้นกู้ภาคเอกชนกับพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุใกล้เคียงกัน เพื่อชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิต ส่วน Yield Spread คือส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างตราสารหนี้สองชนิดที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน ซึ่งอาจรวมถึง Credit Spread ด้วย แต่ Yield Spread ครอบคลุมบริบทที่กว้างกว่า เช่น ความแตกต่างด้านอายุหรือสภาพคล่อง

สเปรดแบบคงที่ (Fixed Spread) และสเปรดแบบแปรผัน (Variable Spread) มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

  • Fixed Spread: ข้อดีคือต้นทุนคาดการณ์ง่าย ไม่มีรีโควทในช่วงตลาดปกติ ข้อเสียคืออาจเกิดรีโควทบ่อยในตลาดผันผวนสูง
  • Variable Spread: ข้อดีคือสะท้อนสภาพคล่องตลาดจริง สเปรดอาจแคบมากในตลาดปกติและไม่มีรีโควท ข้อเสียคือคาดการณ์ต้นทุนยาก สเปรดอาจกว้างขึ้นมากในช่วงตลาดผันผวนหรือมีข่าวสำคัญ

สเปรดในกลยุทธ์การเทรดอนุพันธ์คืออะไร?

ในกลยุทธ์การเทรดอนุพันธ์ เช่น ออปชันและฟิวเจอร์ส สเปรดหมายถึงการรวมคำสั่งซื้อและขายสัญญาหลายชุดเข้าด้วยกัน (เช่น Butterfly Spread, Calendar Spread) โดยมีราคาใช้สิทธิ วันหมดอายุ หรือสินทรัพย์อ้างอิงที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เฉพาะเจาะจงภายใต้เงื่อนไขตลาดที่คาดการณ์ไว้