Payment Gateway คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับธุรกิจออนไลน์ในไทย

เมื่อพูดถึงการขายสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์ สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือระบบชำระเงินที่เชื่อถือได้และปลอดภัย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกรรมเกิดขึ้นได้ราบรื่น ในโลกแห่งอีคอมเมิร์ซของไทย คำว่า “Payment Gateway” ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง เพราะมันคือตัวกลางที่ช่วยเชื่อมระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย และสถาบันการเงินให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลการชำระเงินได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกมุมมองเกี่ยวกับ Payment Gateway ตั้งแต่ความหมาย พื้นฐานการทำงาน กฎหมายกำกับดูแล จนถึงการเปรียบเทียบผู้ให้บริการรายใหญ่ในไทย เพื่อให้คุณเลือกใช้บริการได้อย่างเหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด
Payment Gateway คืออะไร และทำงานอย่างไร?
Payment Gateway หรือ “เกตเวย์ชำระเงิน” เป็นระบบที่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมการชำระเงินระหว่างร้านค้าออนไลน์กับธนาคารหรือผู้ให้บริการชำระเงิน โดยกระบวนการเริ่มต้นเมื่อลูกค้าคลิก “ชำระเงิน” หลังเลือกสินค้าเสร็จแล้ว ข้อมูลบัตรเครดิตหรือช่องทางชำระเงินอื่นๆ จะถูกส่งผ่าน Payment Gateway ไปยังผู้ให้บริการชำระเงิน (Payment Processor) เพื่อขออนุมัติธุรกรรม
ระบบจะตรวจสอบว่าข้อมูลบัตรถูกต้อง มียอดเงินเพียงพอ และไม่มีพฤติกรรมน่าสงสัย จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งไปยังธนาคารผู้ออกบัตรเพื่ออนุมัติ ถ้าทุกอย่างผ่านด้วยดี ธุรกรรมจะเสร็จสมบูรณ์ และร้านค้าจะได้รับเงินภายในไม่กี่วัน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดทางเทคนิค
งานหลักของ Payment Gateway จึงแบ่งได้เป็น 3 ด้านหลัก:
- การส่งต่อข้อมูลอย่างปลอดภัย: ใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัส (เช่น SSL/TLS) และการป้องกันข้อมูลตามมาตรฐาน PCI DSS เพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูลบัตร
- การตรวจสอบและอนุมัติเบื้องต้น: วิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของธุรกรรม เช่น ตรวจสอบ IP Address, พฤติกรรมลูกค้า, จำนวนการชำระเงินในช่วงเวลาสั้น ๆ เป็นต้น
- การจัดการต่างประเทศ: สำหรับผู้ประกอบการที่รับชำระเงินจากต่างประเทศ ระบบจะจัดการเรื่องการแปลงสกุลเงินและการชำระเงินข้ามแดนให้อัตโนมัติ

ความแตกต่างระหว่าง Payment Gateway ที่ธนาคารและผู้ให้บริการอิสระ (Non-Bank)
เมื่อเลือกใช้บริการ Payment Gateway ร้านค้ามักต้องเผชิญกับทางเลือกสองแบบหลัก: บริการจากธนาคารโดยตรง หรือจากบริษัทเทคโนโลยีที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank) ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียที่ต่างกันอย่างชัดเจน
Payment Gateway จากธนาคาร เช่น SCB Easy Pay จากธนาคารไทยพาณิชย์, K Payment Gateway จากธนาคารกสิกรไทย, Merchant iPay จากธนาคารกรุงเทพ หรือ Krungsri Biz Payment Gateway จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา มักมีข้อได้เปรียบในเรื่องความน่าเชื่อถือเนื่องจากชื่อเสียงของสถาบันการเงิน และการดูแลลูกค้าแบบตัวต่อตัวผ่านสาขาหรือเจ้าหน้าที่สัมพันธ์
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของบริการจากธนาคารคือกระบวนการติดตั้งที่ซับซ้อน มักต้องใช้เวลานาน หลายสัปดาห์ หรือแม้แต่เดือน ในการขออนุมัติ และระบบอาจไม่ยืดหยุ่นนักในด้านการเชื่อมต่อกับระบบเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ค่าธรรมเนียมก็อาจไม่โปร่งใส หรือไม่เหมาะสมกับร้านค้าขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs)
ในทางกลับกัน ผู้ให้บริการอิสระ (Non-Bank) เช่น Omise, 2C2P, GB PrimePay และ Pay Solutions เข้ามาเติมเต็มจุดนี้ได้ดี ให้บริการที่ยืดหยุ่น ติดตั้งได้รวดเร็ว ภายในไม่กี่วันเท่านั้น มี API ที่เขียนไว้ชัดเจน รองรับการเชื่อมต่อกับระบบ Shopify, WooCommerce, Magento และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้อย่างไม่ยุ่งยาก
นอกจากนี้ ผู้ให้บริการเหล่านี้มักนำเสนอช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น QR Code, Wallet (เช่น Rabbit LINE Pay, TrueMoney Wallet), โอนผ่านธนาคาร (Internet Banking), หรือแม้แต่การผ่อนชำระ (Installment) และพร้อมเพย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่ค่อยพบในระบบของธนาคารทั่วไป
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้จะเป็นผู้ให้บริการเอกชน แต่หากต้องการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องในไทย จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่กำกับโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ใช่เป็นธุรกิจที่ทำได้โดยเสรี
กฎระเบียบและข้อกำหนดจากธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) สำหรับผู้ให้บริการ Payment Gateway
การเข้าใจกรอบกฎหมายเป็นกุญแจสำคัญในการเลือกผู้ให้บริการที่มั่นคงและปลอดภัย โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ได้ออก พระราชบัญญัติการชำระเงินข้ามประเทศ พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นกรอบกฎหมายหลักที่ควบคุมการให้บริการระบบชำระเงินในไทย รวมถึง Payment Gateway ด้วย
ภายใต้กฎหมายนี้ ผู้ให้บริการทุกราย ไม่ว่าจะเป็นธนาคารหรือบริษัทเอกชน ต้องได้รับ ใบอนุญาต จากธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง ผู้ให้บริการจะต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล เช่น ISO 27001, ปฏิบัติตามข้อกำหนด PCI DSS (Payment Card Industry Data Security Standard) และส่งรายงานข้อมูลทางการเงินให้กับทางการเป็นระยะ
กฎหมายยังกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องรับผิดชอบในการป้องกัน การฟอกเงิน และ การสนับสนุนการก่อการร้าย (AML/CFT) โดยต้องตรวจสอบตัวตนของผู้ประกอบการที่ใช้บริการ (KYC) อย่างเข้มงวด รวมถึงมีการรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัย
นอกจากนี้ ข้อมูลของลูกค้าทุกคน ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าหรือผู้ซื้อ ต้องถูกเก็บไว้ ภายในประเทศไทย เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้รัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลได้เมื่อจำเป็น
ด้วยเหตุนี้ การเลือกใช้ Payment Gateway ที่ “มีใบอนุญาตจาก BOT” จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการเชื่อใจ แต่เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ เพราะหมายถึงว่าผู้ให้บริการนั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแล มีระบบจัดการที่โปร่งใส และสามารถย้อนกลับได้ในกรณีเกิดปัญหา
อ่านเพิ่มเติม: กฎหมายและระเบียบการเงินเกี่ยวกับระบบการชำระเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย
แนะนำ Payment Gateway ยอดนิยมในประเทศไทย
เมื่อรู้แล้วว่าระบบมีความสำคัญและต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบ การเลือกผู้ให้บริการที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจ กลุ่มเป้าหมาย และงบประมาณ ต่อไปนี้คือรายชื่อผู้ให้บริการชั้นนำที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในประเทศไทย อธิบายแบบตรงไปตรงมา
1. Omise
เริ่มต้นด้วย Omise ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการอิสระที่ได้รับความนิยมสูงสุด ทั้งในหมู่ร้านค้า SME และสตาร์ตอัพ ข้อดีของ Omise คือการเชื่อมต่อที่ง่ายผ่าน API, รองรับภาษาไทยในระบบหลังบ้าน และมีช่องทางการชำระเงินครบถ้วนทั้งบัตรเครดิต, QR, e-Wallet, เคาน์เตอร์เซอร์วิส และพร้อมเพย์
ค่าธรรมเนียมโดยทั่วไปสำหรับธุรกรรมในประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 3.3% + 10 บาท สำหรับบัตรเครดิต ค่อนข้างสูงกว่าบางคู่แข่ง แต่คุ้มค่ากับฟีเจอร์ครบเครื่องและความเสถียรของระบบ
2. 2C2P
2C2P หรือที่รู้จักในชื่อเก่าว่า “เทิร์นคีย์ เพย์เมนท์” เป็นผู้เล่นเก่าแก่ในวงการ มีฐานลูกค้ารายใหญ่หลายราย โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องการขยายไปต่างประเทศ เพราะ 2C2P มีเครือข่ายการเชื่อมต่อกับธนาคารและผู้ให้บริการทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ระบบรองรับหลายภาษาและหลายสกุลเงิน แต่ข้อเสียคือหน้าต่างการชำระเงิน (Checkout Page) จะนำไปยังหน้าเว็บของ 2C2P แทนที่จะอยู่ในเว็บไซต์ร้านค้า อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกสับสนได้
3. GB PrimePay
GB PrimePay เหมาะกับร้านค้าที่ต้องการความโปร่งใสในค่าธรรมเนียม โดยเสนออัตราแบบคงที่ เช่น 2.9% สำหรับบัตรเครดิตในประเทศ (ไม่มีค่าธรรมเนียมคงที่เพิ่มเติม) และยังมีบริการตรวจสอบการชำระเงินด้วยภาพ (Proof of Payment) ซึ่งช่วยลดปัญหายอดเงินไม่เข้า
ระบบก็มี API ที่ใช้งานง่าย และให้การสนับสนุนทีมภาษาไทย ซึ่งสำคัญมากสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ที่ต้องการคำแนะนำแบบเรียลไทม์
4. SCB Easy Pay
สำหรับใครที่เปิดบัญชีกับธนาคารไทยพาณิชย์ การใช้ SCB Easy Pay อาจดูสะดวก เพราะไม่ต้องเปิดบัญชีต่างหากสำหรับรับเงิน ระบบเชื่อมต่อกับ SCB Business Online โดยตรง
จุดแข็งคือชื่อเสียงของธนาคารและระบบบริการลูกค้า แต่กระบวนการสมัครค่อนข้างยืดยาว ใช้เวลานาน และอาจต้องขอข้อมูลเพิ่มเติมหลายขั้นตอน รวมถึงค่าธรรมเนียมก็ไม่เปิดเผยชัดเจนนัก
5. K Payment Gateway (ธนาคารกสิกรไทย)
ผู้ใช้ K-Bank คงคุ้นเคยกับระบบนี้ดี เหมาะกับร้านค้าที่ต้องการความมั่นคงสูง จากการอยู่ภายใต้ธนาคารขนาดใหญ่
ข้อจำกัดหลักคือความยืดหยุ่นของระบบ เช่น การตั้งค่าหลายอย่างต้องทำผ่านเจ้าหน้าที่ หรือรอการอนุมัติจากธนาคาร และอาจไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่าง Installment หรือ e-Wallet ได้ทันทีเหมือนผู้ให้บริการอิสระ
6. Rabbit LINE Pay & TrueMoney Wallet
แม้จะไม่ใช่ Payment Gateway แบบดั้งเดิม แต่ระบบชำระเงินผ่าน e-Wallet เหล่านี้ได้รับความนิยมสูงมาก โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ ที่ใช้ LINE และทรูมันนี่อยู่แล้ว
ข้อดีคือการทำธุรกรรมรวดเร็ว ไม่ต้องกรอกข้อมูลบัตรบ่อย ๆ แต่ข้อเสียคือจำกัดเฉพาะผู้ใช้งานในเครือข่ายนั้น ร้านค้าจึงควรมีระบบชำระเงินหลายช่องทาง
ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกใช้ Payment Gateway
การเลือกผู้ให้บริการไม่ควรถูกตัดสินแค่จาก “ใครถูกกว่า” แต่ต้องดูภาพรวมที่สมดุลระหว่างต้นทุน ความปลอดภัย และฟีเจอร์ในการใช้งาน คุณควรวางแผนให้ครอบคลุมปัจจัยเหล่านี้:
1. ค่าธรรมเนียมและโครงสร้างต้นทุน
ค่าธรรมเนียมมีหลายรูปแบบ: ค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรม (เช่น 3% + 10 บาท), ค่าธรรมเนียมรายเดือน, ค่าติดตั้ง, ค่ารองรับข้ามประเทศ เป็นต้น ควรระวังผู้ให้บริการที่โฆษณาอัตราต่ำ แต่มีค่าซ่อนเร้นอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นในภายหลัง
2. ช่องทางการชำระเงินที่รองรับ
ร้านค้าที่ต้องการขยายฐานลูกค้าควรเลือกผู้ให้บริการที่รองรับหลากหลายช่องทาง เช่น บัตรเครดิต, QR PromptPay, เคาน์เตอร์, e-Wallet, และ Installment ยิ่งรองรับมาก โอกาสที่ลูกค้าจะเซฟยอดสั่งซื้อก็ยิ่งสูง
3. ความปลอดภัยและมาตรฐาน
ตรวจสอบว่าผู้ให้บริการมีใบรับรอง PCI DSS หรือไม่ มีระบบป้องกันการทุจริต (Fraud Detection) อย่างไร และมีมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลตามเกณฑ์ใดบ้าง
4. ความง่ายในการติดตั้งและ API
หากคุณใช้เว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้นเอง หรือใช้แพลตฟอร์มอย่าง Shopify ควรตรวจสอบว่ามีเอกสาร API ที่ชัดเจน และมีตัวอย่างโค้ดให้ดาวน์โหลดหรือไม่
5. การบริการลูกค้าและเวลาตอบสนอง
เมื่อระบบล่ม หรือเกิดปัญหาการชำระเงิน คุณต้องการทีมสนับสนุนที่ตอบเร็วและพูดภาษาไทยได้ ควรพิจารณาความเร็วของแชท เบอร์ติดต่อ หรืออีเมลที่ให้บริการ
6. ความเสถียรและความน่าเชื่อถือ
ระบบล่มเพียงครั้งเดียว อาจทำให้สูญเสียยอดขายเป็นจำนวนหลายหมื่นหรือหลายแสนบาท ควรเลือกผู้ให้บริการที่มี SLA (Service Level Agreement) ชัดเจน และมีประวัติการให้บริการที่ดี
7. การรองรับธุรกิจเฉพาะทาง
หากคุณขายสินค้าดิจิทัล (Digital Goods), เกม, หรือบริการที่มีการเรียกเก็บเงินซ้ำ (Subscription) ตรวจสอบว่าผู้ให้บริการรองรับฟีเจอร์ดังกล่าวหรือไม่ เช่น Recurring Billing, Virtual Terminal หรือระบบ Refund อัตโนมัติ
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Payment Gateway
Payment Gateway กับ Payment Processor ต่างกันอย่างไร?
Payment Gateway ทำหน้าที่รับข้อมูลการชำระเงินจากเว็บไซต์และส่งต่ออย่างปลอดภัย ขณะที่ Payment Processor เป็นบุคคลที่สามที่ประมวลผลธุรกรรมกับธนาคารและอนุมัติการชำระเงิน โดยทั้งสองระบบมักถูกรวมอยู่ในบริการเดียวกัน
ต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการติดตั้ง Payment Gateway?
ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ โดยทั่วไป ผู้ให้บริการอิสระใช้เวลา 1–3 วัน ขณะที่ธนาคารอาจใช้ 1–4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับเอกสารและขั้นตอนการตรวจสอบ
ธุรกิจขนาดเล็กสามารถใช้ Payment Gateway ได้หรือไม่?
ได้แน่นอน โดยเฉพาะผู้ให้บริการอิสระ เช่น Omise หรือ GB PrimePay ที่ออกแบบมาสำหรับ SMEs และไม่ต้องมีปริมาณธุรกรรมสูงในการสมัคร
ถ้าลูกค้าชำระเงินแล้วแต่ไม่ได้รับสินค้า ควรจัดการอย่างไร?
ร้านค้าควรตั้งระบบแจ้งสถานะอัตโนมัติผ่านอีเมล และติดต่อแจ้งลูกค้า หากมีการร้องขอปฏิเสธการชำระเงิน (Chargeback) ระบบ Payment Gateway จะแจ้งเตือน และคุณต้องตอบกลับด้วยหลักฐานการจัดส่ง หรือสื่อสารกับลูกค้าเพื่อแก้ไข
ค่าธรรมเนียมต่ำที่สุดสำหรับ Payment Gateway ในไทยคือเท่าไร?
โดยทั่วไปอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกรรมในประเทศเริ่มต้นที่ 2.5–3.5% + ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ 10–15 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณธุรกรรมและประเภทช่องทางที่ใช้