Buy on Dip คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับกลยุทธ์ทำกำไรในตลาดหุ้น
ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวน หนึ่งในแนวทางที่นักลงทุนหลายคนให้ความสนใจและใช้กันอย่างแพร่หลายคือ “Buy on Dip” หรือการ “ซื้อเมื่อราคาย่อตัว” กลยุทธ์นี้ดึงดูดทั้งนักลงทุนมือใหม่และระดับมืออาชีพด้วยวิธีการที่ฟังดูง่าย แต่กลับซ่อนความซับซ้อนและความเฉียบขาดไว้เบื้องหลัง เมื่อราคาของสินทรัพย์อย่างหุ้น กองทุน หรือคริปโทเคอร์เรนซีปรับตัวลดลงชั่วคราว นักลงทุนที่ใช้แนวทางนี้จะมองว่านี่คือโอกาสในการสะสมของดีในราคาถูกลง โดยคาดหวังว่าราคาน่าจะฟื้นตัวขึ้นในอนาคต บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน ข้อดี ข้อควรระวัง ไปจนถึงเทคนิคขั้นสูงที่นักลงทุนไทยสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างชาญฉลาด

Buy on Dip คืออะไร? ทำความเข้าใจกลยุทธ์การลงทุนยอดนิยม
หากตีความคำว่า Buy on Dip ให้เข้าใจง่ายที่สุด ก็คือ “การซื้อตอนที่ราคาตก” หรือ “รับของตอนตลาดกำลังอ่อนแรง” โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนจะเลือกซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้นเดี่ยว กองทุนรวม หรือสินทรัพย์ดิจิทัล ที่เคยเคลื่อนตัวขึ้นมาอย่างมั่นคง แต่วันหนึ่งราคากลับปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากเหตุผลชั่วคราว เช่น การเทขายจากข่าวลบชั่วขณะ หรือความกังวลเรื่องเศรษฐกิจระยะสั้น นักลงทุนที่มองว่าเติบโตในระยะยาวจึงใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นจุดเข้าซื้อเพื่อลดต้นทุนโดยเฉลี่ย และเพิ่มโอกาสทำกำไรเมื่อรชื่อ “Dip” นี้ไม่ใช่การลดฮวบฮาบจนขาดปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน แต่เป็นแค่การพักตัวของราคาในตลาดที่ยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นอยู่
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การ Buy on Dip คือการซื้อในช่วงที่ตลาดกำลัง “หักมุม” ไม่ใช่ “ร่วงเหว” ความเข้าใจผิดระหว่างสองสิ่งนี้อาจทำให้ขาดทุนรุนแรงได้ หากไม่ใช่การย่อตัวตามปกติ แต่เป็นสัญญาณที่บริษัทหรือตลาดกำลังเข้าสู่ขาลงอย่างแท้จริง การแยกแยะตรงจุดนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนแนวทางนี้
ทำไม Buy on Dip ถึงได้รับความนิยมและมีอิทธิพลต่อตลาด?
ความนิยมของ Buy on Dip ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะดูเหมือนจะได้เปรียบเรื่องราคาเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อโครงสร้างและจิตวิทยาของตลาดในระดับหนึ่ง ทุกครั้งที่เกิดการปรับฐานเล็กน้อย นักลงทุนจำนวนมากเริ่มตระหนักและจับตาดูระดับราคาที่น่าสนใจ เมื่อพอเห็นสัญญาณว่าราคาย่อตัว แรงซื้อจะเข้ามาทันที ทำหน้าที่เหมือน “แนวรับ” ตามทางเทคนิค ซึ่งช่วยชะลอการร่วงลงและสร้างความมั่นใจให้กับผู้เล่นรายย่อย
ประโยชน์สำคัญอีกประการคือ การซื้อซ้ำในช่วงราคาย่อตัวช่วยให้นักลงทุนสามารถลดต้นทุนเฉลี่ย (Average Down หรือ Dollar-Cost Averaging) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อหุ้นบริษัทหนึ่งในราคา 100 บาทต่อหน่วย แล้วราคาตกลงเหลือ 80 บาท คุณซื้อเพิ่มอีก ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของพอร์ตลดลง เมื่อราคาดีดตัวกลับไปที่ 90 บาท คุณอาจยังไม่ถึงจุดคุ้มทุนหากซื้อเพียงครั้งเดียว แต่ถ้าคุณใช้โอกาสช่วง Dip ในการซื้อเพิ่ม คุณอาจมีกำไรได้แล้วทันที
ประวัติศาสตร์ตลาดพิสูจน์มาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 หรือช่วงโควิด-19 ในปี 2020 การที่ผู้ลงทุนกล้าเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดตกอยู่ในความตื่นตระหนก มักได้รับผลตอบแทนมหาศาลในภายหลัง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาเลือกสินทรัพย์ที่มีคุณภาพและมีฐานะพื้นฐานแข็งแกร่ง
ใครเหมาะกับกลยุทธ์ Buy on Dip? และอันตรายที่ต้องระวัง
กลยุทธ์นี้ไม่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุนและยังไม่มีพื้นฐานความเข้าใจด้านการวิเคราะห์ทั้งเชิงเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน ผู้ที่จะใช้กลยุทธ์นี้ได้ผลดี ควรมีลักษณะสำคัญดังนี้
- รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลางถึงสูง
- สามารถประเมินว่าราคาย่อตัวนั้นเป็นแค่สภาวะชั่วคราวหรือมีปัญหาพื้นฐานที่รุนแรง
- ติดตามข่าวสารและแนวโน้มตลาดอย่างสม่ำเสมอ
- มีวินัยในการลงทุน และไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์
แน่นอนว่ากลยุทธ์ใดก็ตามย่อมมีข้อจำกัด และ Buy on Dip ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น อันตรายที่ใหญ่ที่สุดคือการเข้า “รับคมมีด” หรือที่เรียกว่า Falling Knife — หรือพูดง่ายๆ คือการพยายามหยุดมีดที่กำลังตกลงพื้น ซึ่งหมายถึงการซื้อหุ้นตั้งแต่เริ่มต้นของแนวโน้มขาลง ทั้งที่ยังมีปัจจัยลบแฝงอยู่ เช่น บริษัทมีปัญหาหนี้สิน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค หรือนโยบายภาครัฐที่กระทบอย่างหนัก
นอกจากนี้ กลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงสูงมากเมื่อใช้ในตลาดขาลง (Downtrend) หรือเลื่อนตัวแบบ Sideway ที่ขาดโมเมนตั้มชัดเจน การจัดการความเสี่ยงด้วยจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) จึงสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้ “การซื้อตอนย่อตัว” กลายเป็น “การยึดถือหุ้นที่ลงไม่หยุด”
เทคนิคลับสู่ความสำเร็จ: 5 วิธีใช้ Buy on Dip ให้ได้ผล
การใช้ Buy on Dip ไม่ใช่แค่การรอจนราคาตกแล้วซื้อตามสัญชาตญาณ แต่ควรใช้เครื่องมือและกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความแม่นยำ นี่คือ 5 เทคนิคที่นักลงทุนแนวรุกควรรู้
1. ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) คือกฎเหล็ก
การไม่มี Stop Loss เหมือนขับรถโดยไม่คาดเข็มขัดนิรภัย หากคุณคาดการณ์ผิด ราคายังคงร่วงต่อเนื่อง คุณอาจขาดทุนหนักได้ ควรตั้งจุด Stop Loss จากข้อมูลเชิงเทคนิค เช่น ต่ำกว่าแนวรับของกราฟ หรือต่ำกว่าราคาที่คุณซื้อไป 5-10% ขึ้นอยู่กับความผันผวนของสินทรัพย์นั้น ๆ
2. ใช้แนวรับ (Support Levels) เพื่อหาระดับซื้อที่ปลอดภัย
การวิเคราะห์ กราฟราคา เพื่อระบุระดับ Support เป็นพื้นฐานสำคัญ ระดับที่เคยมีแรงซื้อเข้ามารองรับในอดีตมักจะกลับมาใช้ได้อีกครั้ง เช่น จุดต่ำสุดเดิม หรือพื้นที่ที่เคยเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว อย่าง Bullish Engulfing, Hammer หรือ Doji ร่วมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นก็ยิ่งให้ความมั่นใจมากขึ้น
3. เชื่อมโยงกับ EMA และ Fibonacci ยืนยันจุดกลับตัว
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Exponential (EMA) โดยเฉพาะ EMA20, EMA50 หรือ EMA200 มักเป็น “แนวรับพลวัต” ที่ราคามักหยุดตรงนี้ก่อนจะดีดตัวขึ้น ขณะที่ Fibonacci Retracement ช่วยหาระดับสัดส่วนทองคำที่นักวิเคราะห์นิยมใช้ โดยเฉพาะ 38.2%, 50% และ 61.8% ซึ่งมักกลายเป็นจุดที่ราคาย่อมตัวแล้วหันกลับมา
4. ใช้ RSI และ Bollinger Bands ยืนยันภาวะขายมากเกินไป
RSI ที่ต่ำกว่า 30 บ่งชี้ว่าหุ้นหรือสินทรัพย์นั้นอยู่ในภาวะ Oversold หรือ “ขายมากเกินไป” ซึ่งอาจเป็นสัญญาณการฟื้นตัว ส่วน Bollinger Bands เมื่อราคาแตะหรือลดต่ำกว่าเส้นล่าง (Lower Band) มักจะเกิดการ “ยืดตัวกลับ” อย่างแรง เพราะตลาดเคลื่อนที่ด้วยความผันผวน ทั้งสองเครื่องมือนี้สามารถใช้ร่วมกันเพื่อยืนยันจุดเข้าซื้อได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
5. ทยอยซื้อ (Dollar-Cost Averaging) ช่วยกระจายความเสี่ยง
การซื้อทั้งหมดในคราวเดียวมีความเสี่ยงสูง เพราะไม่มีใครรู้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน วิธีที่ปลอดภัยกว่าคือแบ่งเงินออกเป็น 2-3 ช่วง แล้วเข้าซื้อเมื่อราคาลดได้ถึงระดับที่วางแผนไว้ วิธีนี้ช่วยลดต้นทุนโดยเฉลี่ย และลดแรงกดดันทางจิตใจจากการคาดเดาจุดต่ำสุดที่แม่นยำ

ผสมผสานพลัง: Buy on Dip กับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
ไม่ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะดีแค่ไหน หากละเลยปัจจัยพื้นฐาน ก็ยังคงเสี่ยงต่อการลงทุนใน “หุ้นเป่า” หรือ “หุ้นที่ไม่มีอนาคต” ปีเตอร์ ลินช์ เคยกล่าวไว้ว่า “การซื้อหุ้นถูกๆ ที่บริษัทป่วย ก็เหมือนซื้อตั๋วที่ไม่สามารถลุ้นรางวัลใหญ่ได้ แม้จะถูกแค่ไหน ก็ยังแพ้”
ก่อนจะตัดสินใจ Buy on Dip ควรทบทวนข้อมูลพื้นฐาน เช่น:
- งบกำไร-ขาดทุนและงบดุล: บริษัทมีรายได้เติบโตหรือไม่? มีหนี้หรือไม่?
- อัตราส่วนทางการเงิน: PE, PB, ROE, PEG อยู่ในระดับที่น่าสนใจหรือเปล่า?
- อุตสาหกรรมที่บริษัทอยู่: เป็นแนวโน้มที่เติบโตหรือเสื่อมถอย?
- ทีมผู้บริหาร: มีแผนงานชัดเจนหรือไม่?
การย่อตัวของราคาในหุ้นที่มีพื้นฐานดีมักเป็นผลจากอารมณ์ตลาดมากกว่าข้อมูลจริง การซื้อในจุดนี้จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับการซื้อหุ้นที่ปัญหาทางธุรกิจกำลังทวีความรุนแรง
กลยุทธ์ขั้นสูง: Buy The Dip, Sell The Rip
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มกำไรไม่ใช่แค่ตามแนวโน้ม แต่ “โกยทั้งขาขึ้นและขาลง” กลยุทธ์ “Buy The Dip, Sell The Rip” คือการพัฒนาจากแนวทางเดิม โดยไม่เพียงแต่ซื้อเมื่อย่อตัว แต่ยังขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นอย่างแรงในระยะสั้น (Rip = Surge)
แนวทางนี้เหมาะกับ:
- ตลาดขาขึ้นที่มีความผันผวนสูง เช่น หุ้น growth หรือคริปโต
- นักลงทุนที่มีเวลาติดตามตลาดใกล้ชิด
- ผู้ที่ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ได้คล่อง ทั้ง RSI, MACD, Volume, และ K-Line
ตัวอย่างเช่น ซื้อหุ้นเมื่อร่วงลงมาแตะ EMA50 และ RSI เข้าสู่โซนขายมากเกินไป แล้วขายทันทีเมื่อราคาทะยานขึ้นแตะแนวต้านหรือเกิด Overbought วิธีนี้ช่วยควบคุมกำไรและลดความเสี่ยงของการถือหุ้นในจังหวะที่แรงซื้อเริ่มหมด
ตัวอย่างจริง: Buy on Dip ในตลาดหุ้นไทย
สถานการณ์ที่ตลาดหุ้นไทยเคยเผชิญ เช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตการเงินโลก หรือช่วงต้นปี 2563 เมื่อ COVID-19 ระบาดหนัก เป็นบทเรียนสำคัญให้เห็นถึงพลังของ “การกล้าซื้อในวิกฤต”
ดัชนี SET Index ร่วงอย่างหนักในแต่ละเหตุการณ์ แต่หุ้นพื้นฐานดีหลายตัว เช่น กลุ่มธนาคาร ค้าปลีก หรือพลังงาน กลับฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งภายในเวลาไม่ถึงปี นักลงทุนที่ซื้อในช่วงปลายปี 2562 ถึงต้นปี 2563 และถือต่อมาจนถึงปี 2564-2565 ได้รับผลตอบแทนหลายเท่าตัว
กุญแจสำคัญคือ การดูว่า Dip นั้นเกิดจากปัจจัยภายนอกหรือปัญหาภายในบริษัท หากเป็นเพียง “ลมชั่วคราว” โอกาสที่หุ้นจะกลับมาแรงก็มีสูง
จิตวิทยาการลงทุน: ธำมรงค์ของความสำเร็จ
กลยุทธ์ Buy on Dip ไม่ใช่แค่เรื่องของเลขและการวิเคราะห์ แต่เป็นการต่อสู้กับ “มือที่มองไม่เห็น” — อารมณ์ของมนุษย์อย่าง ความกลัว ความโลภ และความมั่นใจเกินเหตุ
- FOMO — เมื่อเห็นคนอื่นเริ่มซื้อ แล้วกลัวพลาดโอกาส จึงซื้อทั้งที่กราฟยังไม่แสดงสัญญาณชัดเจน
- Loss Aversion — กลัวการขาดทุนจนไม่กล้าซื้อ เฝ้ารอ “ให้ลงอีกนิด” แต่ราคาดีดกลับก่อน
- Confirmation Bias — เห็นแต่ข่าวที่ดี มองข้ามข้อมูลลบ จนไม่ได้ตั้ง Stop Loss
ความสำเร็จในระยะยาวไม่ได้เกิดจากการ “เดาแม่น” แต่เกิดจาก “วินัย” ที่เข้มงวด การมีแผนซื้อขายชัดเจน การเขียนบันทึกการลงทุน และการไม่เปลี่ยนแผนเพราะข่าวชั่วคราว คือกุญแจสำคัญที่สุด
บทสรุป: กลยุทธ์แห่งผู้กล้า ไม่ใช่ผู้ที่ไม่รู้
Buy on Dip เป็นกลยุทธ์ที่มีแนวโน้มจะให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงไม่น้อย การที่นักลงทุนสามารถใช้กลยุทธ์นี้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพราะ “โชคดี” แต่เพราะมีทั้งความรู้ การวางแผน และวินัยที่ดี
หากคุณกำลังจะใช้แนวทางนี้ อย่าลืม:
- ศึกษาเทคนิคให้เชี่ยวชาญ ทั้ง Support, EMA, RSI, และ Fibonacci
- วิเคราะห์พื้นฐานให้แน่ใจว่า Dip นั้นไม่ใช่การล่มสลายของบริษัท
- ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง และพิจารณาการทยอยซื้อแทนการทุ่มทั้งหมด
- ควบคุมจิตใจ อย่าซื้อเพราะ “เขาทำกัน” หรือ “กลัวพลาด”
ตลาดจะมี Dip ใหม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน ผู้ที่เตรียมตัวล่วงหน้าต่างหาก ที่จะคว้าโอกาสได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกลยุทธ์ Buy on Dip
Buy on Dip คืออะไร และแตกต่างจากการ “ติดดอย” อย่างไร?
Buy on Dip คือการซื้อสินทรัพย์เมื่อราคาลดลงชั่วคราว โดยคาดหวังว่าจะฟื้นตัวในอนาคต ในขณะที่ “ติดดอย” หมายถึง การที่นักลงทุนซื้อสินทรัพย์ในราคาสูงสุดและราคาลดลงต่อเนื่อง ไม่สามารถขายทำกำไรได้ การ Buy on Dip ที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการวิเคราะห์ที่แม่นยำ เพื่อไม่ให้กลายเป็นการติดดอย
กลยุทธ์ Buy on Dip เหมาะสำหรับนักลงทุนประเภทไหน?
กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน สามารถยอมรับความเสี่ยงได้สูง และเน้นการลงทุนระยะสั้นถึงกลาง หรือต้องการเพิ่มตำแหน่งในสินทรัพย์ที่เชื่อมั่นในระยะยาว
เราจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือ “Dip” จริงๆ ไม่ใช่ “Falling Knife”?
การแยกแยะระหว่าง “Dip” กับ “Falling Knife” ต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทว่ายังคงแข็งแกร่งหรือไม่, ตรวจสอบภาพรวมของตลาดและแนวโน้มหลัก, และใช้เครื่องมือทางเทคนิคเพื่อหาแนวรับสำคัญและสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน การมี Stop Loss เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความเสี่ยงหากการประเมินผิดพลาด
การใช้ Stop Loss ในกลยุทธ์ Buy on Dip มีความสำคัญอย่างไร?
Stop Loss มีความสำคัญอย่างยิ่งในการจำกัดความเสี่ยงและป้องกันการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น หากราคาของสินทรัพย์ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องสวนทางกับการคาดการณ์ การตั้ง Stop Loss ช่วยให้นักลงทุนสามารถออกจากตลาดได้ทันท่วงที ก่อนที่การขาดทุนจะบานปลาย
Indicator (อินดิเคเตอร์) ตัวไหนบ้างที่นิยมใช้ควบคู่กับ Buy on Dip?
อินดิเคเตอร์ที่นิยมใช้ร่วมกับ Buy on Dip ได้แก่:
- RSI (Relative Strength Index): ใช้ระบุภาวะ Oversold (ขายมากเกินไป)
- EMA (Exponential Moving Average): ใช้เป็นแนวรับแบบพลวัต
- Fibonacci Retracement: ใช้หาระดับการย่อตัวที่สำคัญ
- Bollinger Bands: ใช้ยืนยันสัญญาณซื้อเมื่อราคาแตะขอบล่าง
- Price Action / K-Line Patterns: ใช้สังเกตรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกการกลับตัว
การแบ่งรับหลายไม้ (Multiple Entries) ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างไรในการ Buy on Dip?
การแบ่งรับหลายไม้ช่วยลดความเสี่ยงโดยการทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์เป็นส่วนๆ แทนที่จะลงทุนทั้งหมดในครั้งเดียว หากราคาปรับลดลงต่อ นักลงทุนยังมีโอกาสซื้อเพิ่มในราคาที่ต่ำลง ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของพอร์ตลดลงและลดความเสี่ยงจากการเข้าซื้อผิดจังหวะ
Buy on Dip สามารถใช้ได้กับทุกแนวโน้มตลาดหรือไม่?
Buy on Dip เหมาะกับการใช้งานในตลาดที่เป็นขาขึ้น (Uptrend) ที่มีโอกาสที่ราคาจะฟื้นตัวหลังจากการย่อตัวระยะสั้น ไม่เหมาะกับตลาดที่เป็นขาลง (Downtrend) หรือตลาด Sideway ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า
ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมีความสำคัญอย่างไรเมื่อใช้กลยุทธ์ Buy on Dip?
ปัจจัยพื้นฐานมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นตัวยืนยันว่าการลดลงของราคาเป็นเพียงชั่วคราว ไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงของบริษัท การลงทุนในบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง (เช่น งบการเงินดี, มีศักยภาพในการเติบโต) จะเพิ่มโอกาสที่ราคาจะฟื้นตัวและสร้างกำไรได้ในระยะยาว
มีกรณีศึกษาความสำเร็จของการ Buy on Dip ในตลาดหุ้นไทยบ้างไหม?
มีหลายกรณีศึกษาในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีการปรับฐานครั้งใหญ่ เช่น วิกฤตการเงินต่างๆ หรือช่วง COVID-19 หุ้นของบริษัทชั้นนำที่มีพื้นฐานดีหลายตัวได้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังการปรับฐาน ผู้ที่เข้าซื้อในช่วง “Dip” เหล่านั้นมักจะได้รับผลตอบแทนที่สูงตามมาในระยะยาว
กลยุทธ์ Buy The Dip, Sell The Rip คืออะไร และแตกต่างจาก Buy on Dip ปกติอย่างไร?
Buy The Dip, Sell The Rip เป็นกลยุทธ์ที่ก้าวไปอีกขั้นจาก Buy on Dip ปกติ โดยไม่เพียงแค่ซื้อเมื่อราคาย่อตัว แต่ยังขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นถึงจุดสูงสุด (Rip) ด้วย เป็นการทำกำไรทั้ง

ymbproperties_co
Website: https://ymbproperties.com
You must be logged in to post a comment