ถอดรหัสหุ้น Big Hit / HYBE: จาก IPO สู่ยักษ์ใหญ่บันเทิงระดับโลก – คู่มือนักลงทุนฉบับสมบูรณ์

ถอดรหัสหุ้น Big Hit / HYBE: จาก IPO สู่ยักษ์ใหญ่บันเทิงระดับโลก – คู่มือนักลงทุนฉบับสมบูรณ์

ในโลกแห่ง K-Pop ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและไม่หยุดนิ่ง หนึ่งบริษัทที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำหนดทิศทางของวงการได้อย่างโดดเด่น คือ Big Hit Entertainment ที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ **HYBE Corporation** บริษัทนี้เริ่มต้นจากค่ายเพลงขนาดเล็กในกรุงโซล แต่กลับกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก ด้วยความสำเร็จของวง **BTS** ที่ไม่เพียงพลิกโฉมอุตสาหกรรมดนตรีเกาหลี แต่ยังสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกการเงิน โดยเฉพาะเมื่อหุ้นของบริษัทถูกซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้

ย่านการเงินในกรุงโซล เกาหลีใต้ สถานที่ซึ่งหุ้น HYBE ถูกซื้อขายในตลาด KOSPI

ความสำคัญของตัวเลข “2” ในกรอบบทความนี้ อาจไม่ได้หมายถึงแค่ตัวเลขเท่านั้น แต่ยังสื่อถึงการเติบโตแบบทวีคูณ หรือการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ในอีกขั้นของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาจาก Big Hit สู่ HYBE หรือการขยายตัวจากศิลปินวงเดียวสู่แพลตฟอร์มความบันเทิงระดับโลก ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกเส้นทางของหุ้น HYBE ตั้งแต่ช่วงไอพีโอ (IPO) การเปลี่ยนแปลงองค์กร ปัจจัยที่มีผลต่อราคาหุ้น และกลยุทธ์การลงทุน พร้อมข้อมูลสำหรับนักลงทุนชาวไทยที่สนใจโอกาสในตลาดหุ้นเกาหลีใต้

การทบทวนการเสนอขายหุ้น IPO ของ Big Hit Entertainment

เหตุการณ์ที่ทำให้หุ้น Big Hit กลายเป็นจุดสนใจระดับประเทศคือการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป หรือ **IPO** เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 (2020) บริษัทตั้งราคาเสนอขายอยู่ที่ **135,000 วอนต่อหุ้น** แต่ในวันแรกของการซื้อขาย หุ้นเปิดตัวที่ **270,000 วอน** ซึ่งพุ่งขึ้นทันทีเป็นสองเท่าของราคาไอพีโอ ทำให้นักลงทุนจำนวนมากจับตาดูเหตุการณ์นี้อย่างตื่นตาตื่นใจ

การเปิดตัวในตลาดหลักทรัพย์ **KOSPI** เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ทำให้มูลค่าบริษัทอยู่ที่ประมาณ **9.6 ล้านล้านวอน** หรือราว **8.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ** ถือเป็นหนึ่งใน IPO ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตลาดทุนเกาหลีใต้ และสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนในศักยภาพของบริษัทที่มี BTS เป็นจุดขายหลัก

ผลการดำเนินงานในตลาดหลักทรัพย์และปฏิกิริยาของตลาด

ในวันแรกของการซื้อขาย ราคาหุ้นของ Big Hit ทำสถิติสูงสุดที่ **351,000 วอน** ซึ่งสูงกว่าราคาไอพีโอถึง 160% ก่อนจะปิดที่ **258,000 วอนต่อหุ้น** การพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงนี้เกิดจากแรงซื้ออย่างหนักจากนักลงทุนรายย่อยในเกาหลีใต้ ซึ่งมักเรียกกันว่า “มด” หรือ “retail investors” ที่ตื่นตัวกับศักยภาพของบริษัทที่มีฐานแฟนคลับระดับโลกรองรับ

ภาพประกอบที่แสดงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของบริษัท HYBE จากค่ายเพลงสู่แพลตฟอร์มบันเทิงระดับโลก

อย่างไรก็ดี ปฏิกิริยาในวันถัดมาเปิดเผยความไม่แน่นอนที่ซ่อนอยู่ ราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว สะท้อนความกังวลจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติที่มองว่า ราคาหุ้นอาจถูกประเมินสูงเกินไปเมื่อเทียบกับผลประกอบการในเชิงพื้นฐาน การผันผวนในช่วงต้นนี้จึงกลายเป็นภาพสะท้อนความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องจับตาอย่างระมัดระวัง

การเปรียบเทียบมูลค่าตลาดกับบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ของเกาหลี

หลังการ IPO สำเร็จ Big Hit กลายเป็นบริษัทบันเทิงที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในเกาหลี โดยแซงหน้า “Big 3” หรือค่ายยักษ์ใหญ่ดั้งเดิมอย่าง **SM Entertainment, YG Entertainment และ JYP Entertainment** ซึ่งเคยครองตลาดมาอย่างยาวนาน

ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาจากการมีศิลปินจำนวนมากหรือโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่เกิดจากโมเดลธุรกิจที่เน้นการใช้ **แพลตฟอร์มดิจิทัล** การสื่อสารกับแฟนคลับอย่างใกล้ชิด และการสร้าง IP ที่มีมูลค่าสูงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น BTS ไม่ได้เป็นเพียงวงดนตรี แต่เป็น “สินทรัพย์” ที่สามารถสร้างรายได้ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งกิจกรรม อัลบั้ม คอนเสิร์ต และสินค้าลิขสิทธิ์

จาก Big Hit สู่ HYBE: การปรับโฉมแบรนด์และวิสัยทัศน์องค์กร

ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 (2021) Big Hit Entertainment ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น **HYBE Corporation** การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่แค่การสลับชื่อ แต่เป็นการประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ว่าบริษัทไม่ต้องการเป็นเพียง “ค่ายเพลง” อีกต่อไป แต่ต้องการเป็น **”แพลตฟอร์มความบันเทิงและไลฟ์สไตล์ระดับโลก”** ที่ครอบคลุมทุกมิติของชีวิตแฟนคลับ

ชื่อ “HYBE” มาจากคำว่า “hybrid” ที่สื่อถึงการผสานกันระหว่างดนตรี ดิจิทัล เทคโนโลยี และชุมชน สะท้อนความต้องการในการสร้างระบบนิเวศที่สามารถรองรับศิลปิน แฟนคลับ และนักลงทุนได้อย่างครบวงจร

โครงสร้างธุรกิจที่หลากหลายของ HYBE

HYBE ถูกจัดโครงสร้างเป็นองค์กรที่มีความซับซ้อนแต่ชัดเจน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก:

– **HYBE HQ:** เป็นศูนย์กลางที่ดูแลธุรกิจหลัก แบ่งย่อยเป็น **Labels** (ค่ายเพลง), **Solutions** (การผลิตเนื้อหาและ IP) และ **Platforms** (เช่น Weverse)
– **HYBE America:** รับผิดชอบการขยายธุรกิจในภูมิภาคอเมริกาเหนือ โดยเน้นการพัฒนาศิลปินท้องถิ่นและการร่วมทุนกับค่ายเพลงในสหรัฐฯ เช่น การซื้อกิจการ Ithaca Holdings ที่ก่อตั้งโดย Scooter Braun
– **HYBE Japan:** มุ่งเน้นการเจาะตลาดญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดเพลงใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมพัฒนาศิลปินท้องถิ่นภายใต้โมเดลของ HYBE

โครงสร้างนี้ช่วยให้บริษัทสามารถกระจายความเสี่ยง และลดการพึ่งพาศิลปินจากตลาดใดตลาดหนึ่งโดยเฉพาะ

บริษัทย่อยหลักและศิลปิน (Weverse, Pledis, ADOR และอื่นๆ)

HYBE ใช้กลยุทธ์ **multi-label** โดยการเข้าซื้อกิจการหรือร่วมทุนกับค่ายเพลงอื่น ๆ เพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอศิลปิน ตัวอย่างบริษัทย่อยที่สำคัญ ได้แก่:

– **Weverse:** แพลตฟอร์มสื่อสารและอีคอมเมิร์ซที่เชื่อมโยงศิลปินกับแฟนคลับโดยตรง ไม่เพียงเป็นช่องทางแลกเปลี่ยนข้อความ แต่ยังขายตั๋ว, สินค้า OE และคอนเทนต์พิเศษ กลายเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท
– **Pledis Entertainment:** เจ้าของศิลปินอย่าง **SEVENTEEN** และ **fromis_9** ซึ่งมีชื่อเสียงในหมู่แฟนคลับ K-Pop
– **ADOR:** ค่ายที่ผลิตวง **NewJeans** ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่กลับกลายเป็นจุดศูนย์กลางของข้อพิพาทในภายหลัง
– **Source Music:** ต้นสังกัดของ **LE SSERAFIM**
– **KOZ Entertainment:** ค่ายของแรปเปอร์ชื่อดัง **Zico**

การมีศิลปินหลากหลายกลุ่มทำให้ HYBE สามารถเข้าถึงกลุ่มแฟนคลับที่แตกต่างกันไปในหลายภูมิภาค และช่วยลดการพึ่งพา BTS ที่เคยครองสัดส่วนรายได้มากถึง **87.7%** ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563

ผลกระทบของ BTS: อิทธิพลและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า **BTS คือหัวใจ** ของความสำเร็จ HYBE ตั้งแต่การเปิดตัววงในปี 2556 การทะยานสู่เวทีโลก และการสร้างรายได้ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอัลบั้ม ทัวร์คอนเสิร์ต หรือผลิตภัณฑ์ลิขสิทธิ์ ความสำเร็จกระแสหลักของวงทำให้หุ้น HYBE ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติอย่างกว้างขวาง

ปัญหาการเกณฑ์ทหารของสมาชิก BTS และบททดสอบต่อราคาหุ้น

หนึ่งในประเด็นที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนมากที่สุดคือ **การเกณฑ์ทหาร** ของสมาชิก BTS ซึ่งเป็นภารกิจที่ทุกชายหนุ่มชาวเกาหลีต้องปฏิบัติตามกฎหมาย

เริ่มตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา สมาชิกทยอยเข้ารับราชการ มีผลให้กิจกรรมของวงลดลงอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการทัวร์ การปล่อยอัลบั้ม และการปรากฏตัวในสื่อ ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่อรายได้ของ HYBE โดยตรง เช่น การลดลงของปริมาณสินค้าที่ขายได้ และการยกเลิกกิจกรรมที่วางแผนไว้

อย่างไรก็ตาม HYBE ได้วางแผนรับมือล่วงหน้า โดยเน้นการปล่อยเพลงเดี่ยวของสมาชิก การใช้คอนเทนต์ที่บันทึกไว้ก่อนหน้า และการผลักดันศิลปินคนอื่น ๆ ให้ขึ้นมาเป็นตัวชูโรง เช่น SEVENTEEN และ NewJeans ที่ยังคงมีอิทธิพลอย่างต่อเนื่องในตลาดโลก

กลยุทธ์ของ HYBE ในการก้าวข้าม “การพึ่งพา BTS”

การพึ่งพาศิลปินเพียงกลุ่มเดียวเป็นความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ที่ HYBE ตระหนักดี ดังนั้น บริษัทจึงเร่งดำเนินแผนการกระจายความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ ผ่าน 3 แนวทางหลัก:

– **การขยายพอร์ตโฟลิโอศิลปิน:** ซื้อค่ายเพลง สร้างวงใหม่ และพัฒนาศิลปินจากหลายประเทศ เช่น &TEAM ในญี่ปุ่น หรือวงในสหรัฐฯ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
– **การพัฒนา Weverse:** เพิ่มบทบาทของแพลตฟอร์มให้เป็นศูนย์กลางของชุมชนแฟนคลับทุกกลุ่ม ไม่ใช่แค่ BTS รวมถึงเปิดให้ศิลปินจากค่ายอื่นนอกเครือ HYBE เข้ามาให้บริการด้วย
– **การลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่เพลง:** ขยายเข้าสู่ธุรกิจเกม อีคอมเมิร์ซ ไฟล์ม ซีรีส์ และการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตคอนเทนต์

หากกลยุทธ์เหล่านี้บรรลุผลสำเร็จ HYBE จะสามารถเปลี่ยนจาก “บริษัทที่มี BTS” เป็น “ระบบความบันเทิงที่ไม่ขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่ง”

พัฒนาการล่าสุดและข้อพิพาทเกี่ยวกับหุ้น HYBE

แม้ภาพรวมจะดูรุ่งเรือง แต่ HYBE ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งภายนอกและภายในที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยตรง โดยเฉพาะ **ข้อพิพาทภายใน** ที่กลายเป็นข่าวใหญ่ในปี 2567

การวิเคราะห์ข้อพิพาท ADOR กับ Min Hee-jin

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ **มิน ฮีจิน (Min Hee-jin)** อดีตซีอีโอของ **ADOR** บริษัทย่อยที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ NewJeans เข้าสู่ภาวะขัดแย้งกับ HYBE เรื่องเริ่มจากข้อเรียกร้องเกี่ยวกับ **สิทธิ์ในการถือหุ้น (stock options)** และการพยายามแยกตัวของ ADOR ออกจากกลุ่มบริษัท

สถานการณ์ทวีความรุนแรงเมื่อในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 สมาชิกวง **NewJeans** ประกาศยุติสัญญากับ ADOR ทำให้หุ้นของ HYBE ดิ่งลงทันที **กว่า 30% ในวันเดียว** มูลค่าตลาดสูญหายไปประมาณ **423 ล้านดอลลาร์สหรัฐ** ตามรายงานจากสื่อระดับโลก

แม้ศาลจะเข้ามาแทรกแซงเพื่อระงับการขายหุ้นของมิน ฮีจิน แต่กระบวนการทางกฎหมายยังดำเนินอยู่จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2568 เหตุการณ์นี้เปิดเผยจุดอ่อนของบริษัทในเรื่อง **การจัดการองค์กรและธรรมาภิบาล (corporate governance)** และส่งสัญญาณเตือนนักลงทุนว่า ความขัดแย้งภายในอาจส่งผลร้ายแรงกว่าที่คาดคิด

ข้อกล่าวหาการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายในและความโปร่งใสของตลาด

นอกจากเรื่อง ADOR แล้ว HYBE ยังเคยถูกตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์เกาหลี (Financial Services Commission) เกี่ยวกับ **ข้อกล่าวหาการซื้อขายโดยใช้ข้อมูลภายใน (insider trading)** ซึ่งยังไม่ได้รับการยืนยันชัดเจน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทเสียหาย

ความโปร่งใสในการบริหารจัดการ รวมถึงการตัดสินใจภายในของบริษัท จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะแม้ผลประกอบการจะดี แต่หากหลักการกำกับดูแลกิจการอ่อนแอ ก็อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระยะยาว

วิธีการประเมินมูลค่าการลงทุนและศักยภาพของหุ้น HYBE

การประเมินมูลค่าหุ้น HYBE ไม่ใช่แค่ดูตัวเลขกำไรขาดทุน แต่ต้องมองภาพรวมของระบบนิเวศที่บริษัทพยายามสร้าง

รูปแบบการทำกำไรและแรงผลักดันการเติบโตในอนาคต

ปัจจุบัน HYBE มีแหล่งรายได้หลากหลาย แบ่งออกเป็น:

– การผลิตอัลบั้ม (ดิจิทัลและฟิสิคัล)
– รายได้จากการทัวร์และคอนเสิร์ต
– การขายสินค้าลิขสิทธิ์ (MERCH)
– ค่าลิขสิทธิ์ (Licensing)
– รายได้จาก Weverse (สมัครสมาชิก คอนเทนต์พิเศษ อีคอมเมิร์ซ)
– ธุรกิจที่ไม่ใช่เพลง (เกม พอดแคสต์ วิดีโอดิจิทัล)

ในด้านการเงิน HYBE ได้รับ **อันดับเครดิต A+** จากบริษัทจัดอันดับ สะท้อนความมั่นคงทางการเงิน โครงสร้างทุนที่แข็งแรง และการจัดการหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ปี 2567 บริษัทรายงานรายได้เพิ่มขึ้น **3.56%** แต่กำไรสุทธิลดลงถึง **94.99%** ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าบริษัทกำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านทุนและค่าใช้จ่าย

แรงขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคตจึงขึ้นอยู่กับ:

– ความสามารถในการผลักดันศิลปินใหม่ให้ประสบความสำเร็จ
– การขยาย Weverse ให้ครอบคลุมทั่วโลก
– การสร้างรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่เพลง
– การรักษาความสัมพันธ์กับแฟนคลับผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างยั่งยืน

การขยายตัวสู่ระดับโลกและแนวโน้มของตลาด

K-Pop ยังคงเติบโตทั่วโลก และ HYBE อยู่ในตำแหน่งที่ดีในการรับประโยชน์จากเทรนด์นี้ โดยเฉพาะการตั้งสำนักงานในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น การซื้อกิจการค่ายเพลงท้องถิ่น และการผลักดันศิลปินที่เข้าถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นได้

นอกจากนี้ แนวโน้มการใช้เทคโนโลยี เช่น AI และ AR เพื่อสร้างประสบการณ์แบบดิจิทัล ก็เป็นโอกาสสำคัญที่ HYBE สามารถนำหน้าคู่แข่งได้ หากบริษัทสามารถแปลงฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นให้กลายเป็น “ชุมชนดิจิทัล” ที่ชำระเงินได้อย่างต่อเนื่อง

คู่มือนักลงทุนชาวไทยสำหรับการซื้อหุ้น HYBE

สำหรับนักลงทุนชาวไทยที่ต้องการลงทุนในหุ้น HYBE (KRX: 352820) สามารถทำได้ผ่าน **โบรกเกอร์ต่างประเทศ** ที่ให้บริการซื้อขายหุ้นเกาหลีใต้

การเลือกโบรกเกอร์และแพลตฟอร์มการซื้อขายที่เหมาะสม

โบรกเกอร์ที่นักลงทุนไทยนิยมใช้ ได้แก่:

– **BOOM Mobile Trading:** แพลตฟอร์มที่มีใบอนุญาตจาก SFC ฮ่องกง รองรับหุ้นกว่า 50,000 รายการทั่วโลก รวมถึงตลาดเกาหลีใต้ มีค่าธรรมเนียมต่ำสุดที่ **0.50%** และรองรับการซื้อผ่านแอปพลิเคชัน
– **Tiger Brokers:** แพลตฟอร์มชื่อดังที่มีผู้ใช้ทั่วโลก ให้บริการซื้อขายหุ้นเกาหลีด้วยค่าธรรมเนียมที่แข่งขันได้ ใช้ผ่านแอป Tiger Trade ที่ใช้งานง่าย

สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบว่าโบรกเกอร์ดังกล่าวนั้นรองรับการซื้อหุ้นใน KOSPI โดยตรง และมีระบบการแปลงสกุลเงินที่ปลอดภัย

ขั้นตอนการซื้อและข้อควรพิจารณา

1. **เปิดบัญชี:** ลงทะเบียนกับโบรกเกอร์ ผ่านกระบวนการยืนยันตัวตน (KYC) และส่งเอกสารตามที่กำหนด
2. **โอนเงิน:** โอนเงินจากธนาคารไทยไปยังบัญชีโบรกเกอร์ ซึ่งจะถูกแปลงเป็นดอลลาร์สหรัฐ หรือวอนเกาหลี (ขึ้นอยู่กับระบบ)
3. **สั่งซื้อ:** ค้นหาสัญลักษณ์หุ้น **KRX:352820** แล้วสั่งซื้อตามจำนวนที่ต้องการ

**ข้อควรพิจารณา:**

– **อัตราแลกเปลี่ยน:** ความผันผวนของค่าเงินอาจส่งผลต่อผลตอบแทน
– **ค่าธรรมเนียม:** ตรวจสอบค่าธรรมเนียมการซื้อขาย การถอนเงิน และการแปลงสกุลเงิน
– **ภาษีและกฎหมาย:** นักลงทุนไทยต้องยื่นภาษีรายได้จากต่างประเทศ และรับผิดชอบต่อการจัดเก็บข้อมูลการลงทุนด้วยตนเอง

บทสรุป: ความท้าทายและแนวโน้มของ HYBE

HYBE Corporation คือตัวอย่างของบริษัทที่ประสบความสำเร็จได้จากความคิดริเริ่มและกลยุทธ์ธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร ตั้งแต่การสร้างปรากฏการณ์ BTS การเปลี่ยนชื่อสู่ HYBE และการขยายตัวสู่ตลาดโลก แต่เส้นทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยความท้าทาย

ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ยังคงมีอยู่ จากการพึ่งพาศิลปินเดิม การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่รุนแรง และความเสี่ยงจากข้อพิพาทภายใน นักลงทุนจึงต้องวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ทั้งโอกาสจาก Weverse ศิลปินใหม่ และการเติบโตของธุรกิจใหม่ ๆ ควบคู่กับการจับตาความโปร่งใสและการบริหารองค์กร

การลงทุนใน HYBE จึงไม่ใช่เพียงการซื้อ “หุ้น K-Pop” แต่คือการเดิมพันกับ **อนาคตของแพลตฟอร์มความบันเทิงระดับโลก** ที่ต้องพิสูจน์ตนเองว่าสามารถอยู่ได้แม้ไม่มี “ดาวเด่น” ดวงเดียว

หุ้น Big Hit/HYBE คืออะไร และมีประวัติความเป็นมาอย่างไร?

Big Hit Entertainment ก่อตั้งขึ้นในปี 2548 โดยบัง ชีฮยอก และโด่งดังจากการเป็นต้นสังกัดของวง K-Pop ระดับโลก BTS ในปี 2564 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็น HYBE Corporation เพื่อสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างขึ้นในการเป็นแพลตฟอร์มความบันเทิงและไลฟ์สไตล์ระดับโลก HYBE มีหุ้นซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เกาหลี (KOSPI) ภายใต้สัญลักษณ์ KRX:352820.

ราคาหุ้น Big Hit/HYBE ในวัน IPO เป็นอย่างไร และปัจจุบันมีกราฟหุ้นเป็นอย่างไร?

หุ้น Big Hit Entertainment เสนอขาย IPO ในราคา 135,000 วอนต่อหุ้น ในวันที่ 15 ตุลาคม 2563 และเปิดตัวที่ 270,000 วอนต่อหุ้น ซึ่งเป็นสองเท่าของราคา IPO ทันที. ในวันแรกของการซื้อขาย ราคาหุ้นพุ่งขึ้นสูงสุดถึง 351,000 วอน ก่อนจะปิดที่ 258,000 วอนต่อหุ้น. ส่วนกราฟหุ้นปัจจุบันและราคาล่าสุดสามารถตรวจสอบได้จากแพลตฟอร์มการซื้อขายหลักทรัพย์หรือเว็บไซต์ทางการเงินต่างๆ โดยปัจจุบัน (ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2568) หุ้น HYBE ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 285,500 วอน โดยมีช่วงราคา 52 สัปดาห์อยู่ที่ 157,700 – 323,000 วอน.

BTS มีผลกระทบต่อราคาหุ้น HYBE อย่างไร และการเกณฑ์ทหารจะส่งผลอย่างไรบ้าง?

BTS มีผลกระทบอย่างมากต่อราคาหุ้น HYBE เนื่องจากเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 87.7% ของรายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563. ความนิยมและการทำกิจกรรมของ BTS มีความสัมพันธ์โดยตรงกับมูลค่าบริษัทและการรับรู้ของนักลงทุน การเกณฑ์ทหารของสมาชิก BTS เป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อรายได้และราคาหุ้น เนื่องจากกิจกรรมของวงอาจลดลง อย่างไรก็ตาม HYBE ได้วางกลยุทธ์ลดความเสี่ยงด้วยการขยายศิลปินและแพลตฟอร์ม Weverse.

หุ้น HYBE ซื้อขายที่ตลาดหลักทรัพย์ใด และนักลงทุนชาวไทยสามารถซื้อได้อย่างไร?

หุ้น HYBE ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เกาหลี (KOSPI) ภายใต้สัญลักษณ์ KRX:352820. นักลงทุนชาวไทยสามารถซื้อหุ้น HYBE ได้ผ่านโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ เช่น BOOM Mobile Trading หรือ Tiger Brokers ซึ่งรองรับการลงทุนในตลาดเกาหลี นักลงทุนจะต้องเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศกับโบรกเกอร์ดังกล่าว โอนเงิน และดำเนินการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์.

HYBE Corporation มีบริษัทย่อยหรือศิลปินอื่น ๆ นอกเหนือจาก BTS อะไรบ้าง?

HYBE ดำเนินกลยุทธ์ multi-label และมีบริษัทย่อยหลายแห่งที่ดูแลศิลปินชื่อดัง อาทิ:

  • Weverse: แพลตฟอร์มแฟนคลับและอีคอมเมิร์ซที่สำคัญ.
  • Pledis Entertainment: ต้นสังกัดของ SEVENTEEN, fromis_9.
  • ADOR: ต้นสังกัดของ NewJeans.
  • Source Music: ต้นสังกัดของ LE SSERAFIM.
  • KOZ Entertainment: ต้นสังกัดของ Zico.

การมีศิลปินและค่ายเพลงที่หลากหลายช่วยให้ HYBE กระจายแหล่งรายได้และลดการพึ่งพาศิลปินกลุ่มเดียว.

รายได้หลักของ HYBE Corporation มาจากส่วนใดบ้าง และบริษัทมีแผนการขยายธุรกิจในอนาคตอย่างไร?

รายได้หลักของ HYBE มาจากหลายส่วน ได้แก่ การผลิตเพลงและอัลบั้ม, คอนเสิร์ตและทัวร์, สินค้าลิขสิทธิ์ (MD), ธุรกิจลิขสิทธิ์ (Licensing), และที่สำคัญคือรายได้จากแพลตฟอร์ม Weverse. บริษัทมีแผนการขยายธุรกิจในอนาคตด้วยการเข้าสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ผ่านการซื้อกิจการค่ายเพลงและการสร้างศิลปินใหม่ๆ รวมถึงการลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่เพลง เช่น เกม, วิดีโอคอนเทนต์ และอีคอมเมิร์ซ.

HYBE Entertainment ที่อยู่ สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ไหนในเกาหลีใต้?

HYBE Corporation มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้.

มีความขัดแย้งหรือข่าวลือสำคัญใด ๆ เกี่ยวกับ HYBE Corporation ที่นักลงทุนควรรู้หรือไม่?

HYBE เคยเผชิญกับความขัดแย้งสำคัญ เช่น ข้อพิพาทระหว่าง HYBE กับ Min Hee-jin อดีต CEO ของ ADOR ซึ่งเป็นต้นสังกัดของ NewJeans ข้อพิพาทนี้เกี่ยวข้องกับสิทธิ์ในหุ้นและถูกกล่าวหาว่าพยายามแยก ADOR ออกจาก HYBE [2 – ADOR/Min Hee-jin]. สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าตลาดของ HYBE ลดลงอย่างมากถึง 423 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนพฤศจิกายน 2567 [1 – ADOR/Min Hee-jin]. ข้อพิพาทนี้ยังคงอยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย ณ เดือนกันยายน 2568 [3 – ADOR/Min Hee-jin].

การลงทุนในหุ้น HYBE มีความเสี่ยงและโอกาสอะไรบ้าง?

โอกาส: HYBE มีศักยภาพการเติบโตจากฐานแฟนคลับทั่วโลก, การขยายแพลตฟอร์ม Weverse, กลยุทธ์ multi-label ที่หลากหลายศิลปิน และการลงทุนในธุรกิจบันเทิงที่ไม่ใช่เพลง. บริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและได้รับเครดิตเรทติ้ง A+ [1 – Financial Performance].

ความเสี่ยง: การพึ่งพาศิลปินกลุ่มเดียว (BTS), ผลกระทบจากการเกณฑ์ทหารของสมาชิก, การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม K-Pop, ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน, และข้อพิพาทภายในหรือข้อกล่าวหาต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของนักลงทุน [1 – ADOR/Min Hee-jin].

HYBE Corporation มีแผนจะลดการพึ่งพารายได้จาก BTS ในระยะยาวอย่างไร?

HYBE มีแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อลดการพึ่งพารายได้จาก BTS โดย:

  • **ขยายพอร์ตโฟลิโอศิลปิน:** สร้างและซื้อกิจการค่ายเพลงที่มีศิลปินหลากหลาย เพื่อกระจายแหล่งรายได้.
  • **พัฒนาแพลตฟอร์ม Weverse:** ทำให้ Weverse เป็นแพลตฟอร์มหลักที่สร้างรายได้จากคอนเทนต์, สินค้า และบริการสำหรับศิลปินทั้งหมดของ HYBE และศิลปินภายนอก.
  • **ลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่เพลง:** เช่น เกม, วิดีโอคอนเทนต์, อีคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างกระแสรายได้ใหม่ๆ.

กลยุทธ์เหล่านี้มุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับอนาคต.