IC Markets รีวิว: สิ่งที่นักเทรดชาวไทยต้องรู้! ประสบการณ์ผู้ใช้จริงและข้อดีข้อเสียของแพลตฟอร์ม

IC Markets คือหนึ่งในโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์และ CFD ชั้นนำของโลก ที่เติบโตอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2007 ด้วยชื่อเสียงในเรื่องสเปรดต่ำ การดำเนินคำสั่งซื้อขายที่รวดเร็ว และการรองรับแพลตฟอร์มการซื้อขายหลากหลาย ทำให้มีนักเทรดจากทั่วโลกกว่า 200 ประเทศให้ความไว้วางใจ บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของ IC Markets อย่างละเอียด ตั้งแต่โครงสร้างการกำกับดูแลไปจนถึงข้อมูลการฝากถอนเงิน การวิเคราะห์ต้นทุน และข้อดีข้อเสียที่นักเทรดชาวไทยควรรู้ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจก่อนเริ่มต้นเส้นทางการลงทุน
IC Markets คืออะไร? ทำความรู้จักโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ชั้นนำระดับโลก
IC Markets ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศออสเตรเลีย และได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการซื้อขายอนุพันธ์ชั้นนำของโลก โดยให้บริการทั้งฟอเร็กซ์และ CFD บนผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ตั้งแต่คู่สกุลเงิน ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้น ไปจนถึงคริปโตเคอร์เรนซี สิ่งที่ทำให้ IC Markets โดดเด่น คือการเน้นสภาพแวดล้อมการซื้อขายที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดที่ให้ความสำคัญกับสเปรดแคบและการดำเนินคำสั่งอย่างมั่นคง
ข้อมูลล่าสุดในเดือนเมษายน 2024 ระบุว่าปริมาณการซื้อขายของ IC Markets สูงถึง 1.64 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพของโบรกเกอร์รายนี้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัลระดับนานาชาติมากมายจากการให้บริการที่ยอดเยี่ยมและเทคโนโลยีทันสมัย ทำให้เป็นตัวเลือกแรกๆ ของนักเทรดมืออาชีพทั่วโลก

การกำกับดูแลและความปลอดภัยของ IC Markets ในประเทศไทย: มั่นใจในการฝากเงิน
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกโบรกเกอร์คือความปลอดภัยของเงินทุน สำหรับ IC Markets นั้นผู้ใช้สามารถมั่นใจได้ระดับสูง เนื่องจากถูกกำกับดูแลโดยหน่วยงานทางการเงินที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายแห่ง ได้แก่:
- Australian Securities and Investments Commission (ASIC): สำหรับลูกค้าทั่วโลกที่สมัครผ่าน IC Markets Global
- Cyprus Securities and Exchange Commission (CySEC): สำหรับลูกค้าที่อยู่ในยุโรป
- Financial Services Authority (FSA) ของเซเชลส์: รองรับลูกค้าในบางภูมิภาค
- Securities Commission of the Bahamas (SCB)
นอกจากการได้รับใบอนุญาตแล้ว IC Markets ยังใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยด้านการเงินอย่างเข้มงวด โดยแยกเงินทุนของลูกค้าออกจากเงินทุนดำเนินงานของบริษัท และเก็บรักษาไว้ในบัญชีแยกประเภทกับธนาคารพาณิชย์ชั้นนำระดับโลก เช่น ANZ, National Australia Bank และ Commonwealth Bank ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยป้องกันไม่ให้เงินของผู้ใช้ถูกนำไปใช้ในกรณีที่บริษัทประสบปัญหาทางการเงิน
นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบบัญชีอย่างสม่ำเสมอจากบริษัทตรวจสอบภายนอก โดยเน้นความโปร่งใสและเป็นไปตามข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับ นักเทรดชาวไทยจึงสามารถมั่นใจได้ว่า เงินทุนของตนเองอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และมีมาตรฐานทางการเงินที่เข้มงวด ข้อมูลการกำกับดูแลเพิ่มเติมสามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ IC Markets
ผลิตภัณฑ์การซื้อขายของ IC Markets: ตลาดหลักทรัพย์, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์ และคริปโตเคอร์เรนซี
จุดแข็งอีกหนึ่งอย่างของ IC Markets คือความหลากหลายของผลิตภัณฑ์การซื้อขาย CFD ที่ครอบคลุมเกือบทุกกลุ่มสินทรัพย์หลักในตลาดการเงิน ทำให้นักเทรดสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
- ฟอเร็กซ์ (Forex): มีคู่เงินให้เลือกมากกว่า 60 คู่ ทั้งคู่หลัก, คู่ย่อย และคู่สกุลเงินเอกลักษณ์ โดยสเปรดเริ่มต้นเพียง 0.0 pip
- ดัชนี (Indices): ซื้อขาย CFD บนดัชนีชั้นนำโลก เช่น S&P 500, NASDAQ 100, FTSE 100, DAX และ Nikkei 225
- สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities): รวมถึงน้ำมันดิบ Brent และ WTI, ก๊าซธรรมชาติ, ทองคำ, เงิน และสินค้าเกษตรอื่นๆ
- หุ้น (Stocks): CFD บนหุ้นบริษัทชั้นนำจากสหรัฐฯ เช่น Apple, Amazon, Tesla รวมถึงบริษัทในยุโรปและเอเชีย
- คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrencies): มีให้เลือกทั้ง Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), Ripple (XRP), Cardano (ADA) และเหรียญยอดนิยมอื่นๆ
- พันธบัตร (Bonds): รวมถึง CFD บนสินทรัพย์หนี้รัฐบาล เช่น Bund, Treasury Futures
- ฟิวเจอร์ส (Futures): ซื้อขาย CFD บนสัญญาล่วงหน้าสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี และพลังงาน
ความครอบคลุมนี้ช่วยให้นักเทรดชาวไทยสามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนทั่วโลกได้ในที่เดียว โดยไม่ต้องเปิดบัญชีกับหลายโบรกเกอร์ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในการบริหารจัดการพอร์ตอย่างชาญฉลาด
เลือกแพลตฟอร์มการซื้อขายที่เหมาะสมกับคุณ: MT4, MT5 หรือ cTrader?
IC Markets รองรับแพลตฟอร์มการซื้อขายสามตัวหลัก ซึ่งแต่ละตัวมีจุดเด่นและเหมาะกับสไตล์การเทรดที่ต่างกัน:
- MetaTrader 4 (MT4): แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกฟอเร็กซ์ มีข้อดีเรื่องการใช้งานง่าย รองรับ Expert Advisor (EA) หรือหุ่นยนต์เทรดจำนวนมาก และสามารถปรับแต่งกราฟได้หลากหลาย จึงเหมาะกับนักเทรดทั่วไป นักเทรดรายย่อย และผู้ที่ใช้กลยุทธ์อัตโนมัติ
- MetaTrader 5 (MT5): พัฒนามาจาก MT4 มีฟีเจอร์ที่ล้ำกว่า เช่น ระบบคำสั่งซื้อขายที่หลากหลาย ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคครบครัน และรองรับการซื้อขายหุ้นและฟิวเจอร์ส ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักเทรดมือใหม่ที่ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูง หรือผู้ที่ต้องการซื้อขายบนหลายตลาด
- cTrader: ออกแบบมาเพื่อการเทรดแบบ ECN โดยเฉพาะ มีหน้าตาที่ทันสมัย เรียบง่าย และเน้นความเร็วในการดำเนินคำสั่ง โดยเฉพาะการใช้งาน cAlgo ที่สามารถเขียน Algorithm เองได้ ถือเป็นตัวเลือกยอดนิยมของนักเทรดมืออาชีพ นัก Day Trading และ Scalper ที่ต้องการความเร็วสูงสุด
ทั้งสามแพลตฟอร์มสามารถใช้งานได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ และบนแอปพลิเคชันมือถือ (iOS และ Android) ช่วยให้คุณสามารถติดตามและบริหารพอร์ตได้ทุกที่ทุกเวลา
IC Markets ประเภทบัญชี深度解析: Raw Spread กับ Standard เลือกแบบไหนดี?
IC Markets ให้บริการบัญชีซื้อขายหลักสองประเภท ซึ่งแต่ละแบบตอบโจทย์ความต้องการของนักเทรดคนละกลุ่ม:
- บัญชี Raw Spread: เป็นบัญชีที่เน้นต้นทุนต่ำที่สุด เหมาะกับนักเทรดระดับสูงหรือผู้ที่ซื้อขายบ่อย สเปรดเริ่มต้นเพียง 0.0 pip โดยเฉพาะในคู่เงิน EUR/USD แต่จะมีการเก็บค่าคอมมิชชั่น $3.50 ต่อล็อตต่อหนึ่งด้าน (หรือ $7.00 ต่อล็อตไป-กลับ) ค่าใช้จ่ายนี้คุ้มค่ามากสำหรับผู้ที่มี volume สูง เพราะช่วยลดต้นทุนโดยรวมอย่างมาก เหมาะกับนัก Scalping EA และ High-Frequency Trading
- บัญชี Standard: ไม่มีการเก็บค่าคอมมิชชั่น เพิ่มเติม แต่สเปรดจะกว้างกว่าเล็กน้อย โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 0.6 – 1.0 pip ซึ่งยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์ทั่วไป เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่หรือผู้ที่ต้องการความเรียบง่ายในการคำนวณต้นทุน โดยไม่ต้องกังวลกับค่าคอมมิชชั่นในแต่ละคำสั่ง
ควรเลือกแบบไหน? ถ้าคุณเปิดคำสั่งซื้อขายบ่อยหรือใช้ EA บัญชี Raw Spread จะคุ้มค่ากว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะประหยัดต้นทุนในระยะยาว แต่ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้นหรือเทรดแบบ Position Trading แบบไม่เปิดบ่อยนัก บัญชี Standard น่าจะตอบโจทย์มากกว่า เนื่องจากคำนวณง่ายและไม่ยุ่งยาก เปรียบเทียบรายละเอียดบัญชีเพิ่มเติมได้ที่หน้าเปรียบเทียบบัญชีของ IC Markets Global
ทั้งนี้ นักเทรดทุกคนต้องใช้ ฝากขั้นต่ำ จำนวน 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเปิดบัญชีจริง
คู่มือการฝากและถอนเงิน IC Markets สำหรับนักเทรดไทย: วิธี, ความเร็ว และค่าธรรมเนียม
การบริหารเงินทุนเป็นเรื่องสำคัญ IC Markets รองรับวิธีการ ถอนเงิน (ถอนเงิน) และฝากเงินที่หลากหลาย สะดวก และส่วนใหญ่ไม่มีค่าธรรมเนียมจากโบรกเกอร์
วิธีฝากเงินที่แนะนำสำหรับนักเทรดไทย:
- บัตรเครดิต/เดบิต (Visa/Mastercard): ทำรายการทันที ไม่มีค่าธรรมเนียม สะดวกที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้น
- Skrill และ Neteller: เป็น e-Wallet ยอดนิยมในหมู่นักเทรดออนไลน์ ทำรายการทันที ไม่มีค่าธรรมเนียม และสามารถใช้เป็นสื่อกลางระหว่างธนาคารไทยกับโบรกเกอร์
- การโอนเงินผ่านธนาคาร (Bank Transfer): เหมาะกับการโอนเงินจำนวนมาก แต่อาจใช้เวลา 1-2 วันทำการ และบางธนาคารอาจมีค่าธรรมเนียม
- TrueMoney Wallet หรือ QR Payment: มีรายงานว่าบางช่องทางรองรับการฝากผ่าน TrueMoney โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับนักเทรดไทย
วิธีถอนเงินที่รองรับ:
- การโอนเงินผ่านธนาคาร: ใช้เวลา 2–5 วันทำการ ไม่มีค่าธรรมเนียมจาก IC Markets แต่ธนาคารปลายทางอาจคิดค่าธรรมเนียม
- Skrill/Neteller: ถอนเร็ว ภายใน 1 วันทำการ ไม่มีค่าธรรมเนียม แนะนำอย่างยิ่ง
- บัตรเครดิต/เดบิต: ถอนเข้าบัตรเดียวกับที่ใช้ฝาก ใช้เวลา 3–5 วันทำการ
ขั้นตอนการฝากถอน:
- เข้าสู่ระบบผ่าน Client Portal ของ IC Markets
- เลือกเมนู “ฝากเงิน” หรือ “ถอนเงิน”
- เลือกวิธีการที่ต้องการ
- กรอกจำนวนเงินและข้อมูลที่จำเป็น
- ยืนยันคำสั่งผ่านอีเมล หรือ SMS
ความเร็วเฉลี่ยในการ ถอนเงิน (ถอนเงิน) อยู่ที่ 1–5 วันทำการ โดย e-Wallet จะเร็วที่สุด คำถามยอดนิยมอย่าง “ic market ถอนเงินกี่วันได้” คำตอบคือส่วนใหญ่แล้วจะได้รับเงินภายใน 2–3 วันหากใช้ Skrill หรือ Neteller
ส่วนในแง่ของ “IC market ถอนเงินสูงสุด” นั้น IC Markets ไม่มีการจำกัดวงเงิน ถอนเงิน (ถอนเงิน) สูงสุด อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการ e-Wallet หรือธนาคารของคุณอาจมีการจำกัดตามนโยบายของตัวเอง เช่น Skrill อาจจำกัดการถอนต่อวันที่ 10,000 ยูโร หรือประมาณ 390,000 บาท
สเปรดและค่าธรรมเนียมของ IC Markets: วิเคราะห์ต้นทุนการซื้อขายจริง
เมื่อพูดถึงต้นทุน IC Markets จัดว่าเป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำที่สุดในตลาด โดยเฉพาะสำหรับนักเทรดที่เน้น volume และความถี่
- สเปรด: บัญชี Raw Spread เริ่มต้นที่ 0.0 pip ในคู่เงินหลัก เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY เป็นต้น ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม ส่วนบัญชี Standard จะมีสเปรดเฉลี่ย 0.6–1.0 pip ซึ่งยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์ทั่วไป
- ค่าคอมมิชชั่น: มีเฉพาะในบัญชี Raw Spread โดยคิด $3.50 ต่อล็อตต่อหนึ่งด้าน หรือ $7.00 ต่อล็อตไป-กลับ สำหรับฟอเร็กซ์และโลหะมีค่า ส่วน CFD อื่นๆ เช่น ดัชนีหรือคริปโตเคอร์เรนซี จะไม่มีค่าคอมมิชชั่น
- ค่า Swap หรือ Rollover: คิดเมื่อคุณถือออเดอร์ข้ามคืน ซึ่งอาจเป็นค่าใช้จ่ายหรือรายได้ ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงิน แต่ IC Markets มีบริการ บัญชีอิสลาม (Swap-Free) สำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายนี้
- ค่าธรรมเนียมแฝง: ไม่มีค่าธรรมเนียมในการฝาก-ถอน (เว้นแต่ผู้ให้บริการภายนอกคิด), ไม่มีค่าธรรมเนียมการไม่ใช้งาน ไม่มีค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงบัญชี ช่วยให้นักเทรดสามารถควบคุมต้นทุนได้เต็มที่
โดยรวมแล้ว โครงสร้างค่าธรรมเนียมของ IC Markets เหมาะกับนักเทรดที่เน้นประสิทธิภาพสูง และต้องการลดต้นทุนการซื้อขายให้น้อยที่สุด ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีทั้งสำหรับนักเทรดมืออาชีพและผู้ที่ใช้กลยุทธ์อัตโนมัติ เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมและรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ FXLeaders
การบริการลูกค้าของ IC Markets: การสนับสนุนสำหรับผู้ใช้ชาวไทยและช่องทางการติดต่อ
IC Markets ให้บริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันทำการ (จันทร์–ศุกร์) มีหลายช่องทางในการติดต่อ:
- แชทสด (Live Chat): วิธีที่เร็วที่สุด ได้รับคำตอบภายในไม่กี่นาที เหมาะกับคำถามด่วน
- อีเมล: เหมาะกับคำขอที่ซับซ้อน เช่น การยืนยัน KYC หรือปัญหาทางเทคนิค ได้รับการตอบกลับโดยทั่วไปภายใน 24 ชั่วโมง
- โทรศัพท์: มีสายสำหรับลูกค้าทั่วโลก สามารถโทรเข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือโดยตรง
แม้ว่า IC Markets จะมีทีมสนับสนุนที่รวดเร็วและมืออาชีพ แต่การสนับสนุนภาษาไทยยังไม่ครอบคลุมทุกช่องทาง นักเทรดชาวไทยจึงควรเตรียมใจไว้ว่า อาจต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเพื่อความชัดเจนและรวดเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ทางโบรกเกอร์กำลังขยายบริการให้เข้ากับตลาดเอเชียมากขึ้น จึงเป็นไปได้ว่าในอนาคตจะมีทีมสนับสนุนภาษาไทยเพิ่มขึ้น
ช่องทาง Support ไทย (泰語支持) อาจมีจำกัด แต่คุณสามารถใช้แหล่งข้อมูลจากชุมชนนักเทรดไทยหรือกลุ่ม Facebook ที่แบ่งปันประสบการณ์การใช้งาน IC Markets เพื่อช่วยเหลือกันได้เช่นกัน
IC Markets ข้อดีและข้อเสีย: การประเมินที่ครอบคลุมสำหรับผู้ใช้ชาวไทย
มาถึงจุดตัดสินใจ ลองมาดูข้อดีและข้อเสียของ IC Markets อย่างเป็นกลาง:
ข้อดี (Pros):
- สเปรดต่ำเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบัญชี Raw Spread ที่เริ่มต้นที่ 0.0 pip
- การดำเนินคำสั่งซื้อขายรวดเร็ว ใช้เซิร์ฟเวอร์ระดับโลกอย่าง Equinix NY4 ช่วยให้ latency ต่ำสุด
- รองรับแพลตฟอร์มครบวงจร ได้แก่ MT4, MT5 และ cTrader ใช้งานบนทุกอุปกรณ์
- ผลิตภัณฑ์การซื้อขายหลากหลาย ครอบคลุมสินทรัพย์หลักเกือบทั้งหมด
- ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานชั้นนำ เช่น ASIC, CySEC ทำให้มั่นใจเรื่องความปลอดภัย
- ไม่มีค่าธรรมเนียมการฝาก, ถอน (โดยตรง), และไม่มีค่าไม่ใช้งาน
- รองรับทุกกลยุทธ์การเทรด รวมถึง Scalping, Day Trading และ EA
ข้อเสีย (Cons):
- ไม่มีโบนัสต้อนรับหรือโปรโมชั่นเหมือนโบรกเกอร์บางราย
- การสนับสนุนภาษาไทยยังไม่ครอบคลุมทุกช่องทาง
- อาจดูสับสนสำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องค่าคอมมิชชั่นและ Raw Spread
- ไม่มีการประกันเงินทุนแบบ 100% สำหรับลูกค้าต่างประเทศ เหมือนในยุโรป
โดยรวมแล้ว IC Markets เป็นโบรกเกอร์ที่เหมาะกับนักเทรดที่มีประสบการณ์ หรือผู้ที่ต้องการสภาพแวดล้อมการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพสูง และต้นทุนต่ำ แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องภาษา แต่เรื่องของการดำเนินคำสั่งและความเร็วถือว่าเหนือกว่าโบรกเกอร์ส่วนใหญ่
IC Markets คู่มือปฏิบัติสำหรับผู้ใช้ชาวไทย: กลยุทธ์การซื้อขายท้องถิ่นและวิธีแก้ปัญหาทั่วไป
สำหรับนักเทรดชาวไทย คุณสามารถเพิ่มโอกาสความสำเร็จได้ด้วยการเข้าใจบริบทท้องถิ่นและเตรียมพร้อมต่อปัญหาที่อาจพบ:
กลยุทธ์ที่แนะนำ:
- เน้นจัดการความเสี่ยง: ใช้ Stop Loss ทุกครั้ง กำหนดอัตราความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 1-2% ของพอร์ต
- เลือกสินทรัพย์ที่คุ้นเคย: เช่น Gold (XAU/USD) หรือคู่เงินที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีน เช่น USD/CNH
- ใช้ EA อย่างระมัดระวัง: ทดสอบในบัญชีทดลองก่อน และเลือก EA ที่ออกแบบมาสำหรับสเปรดต่ำ
- ติดตามข่าวเศรษฐกิจ: โดยเฉพาะข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT), ข้อมูลแรงงานสหรัฐฯ (NFP), และอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง
ปัญหาที่อาจพบและวิธีแก้ไข:
- การยืนยันตัวตนล่าช้า: ส่งเอกสารชัดเจน ไม่เบลอ เช่น สำเนาบัตรประชาชน ใบแจ้งยอดธนาคาร (ไม่เกิน 6 เดือน)
- เงินถอนล่าช้า: ตรวจสอบสถานะใน Client Portal ก่อน หากเกิน 3 วันทำการ ให้ติดต่อฝ่ายสนับสนุน
- ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ: ใช้ Google Translate กับแชทสด หรือใช้ชุมชนนักเทรดไทยเป็นแหล่งข้อมูลเสริม
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. IC Markets เป็นโบรกเกอร์ที่ถูกกฎหมายหรือไม่? ได้รับการกำกับดูแลโดยหน่วยงานใดบ้าง?
ใช่ IC Markets เป็นโบรกเกอร์ที่ถูกกฎหมายและได้รับการกำกับดูแลโดยหน่วยงานทางการเงินชั้นนำหลายแห่ง ได้แก่ Australian Securities and Investments Commission (ASIC), Cyprus Securities and Exchange Commission (CySEC), Financial Services Authority (FSA) of Seychelles และ Securities Commission of the Bahamas (SCB) ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ถึงมาตรฐานการดำเนินงานและความปลอดภัยของเงินทุน
2. ใน IC Markets ถอนเงินใช้เวลานานแค่ไหน? มีวิธีการถอนเงินแบบใดบ้าง?
โดยทั่วไป การ ถอนเงิน (ถอนเงิน) ใน IC Markets จะใช้เวลาประมาณ 1-5 วันทำการ ขึ้นอยู่กับวิธีการที่เลือก เช่น การโอนเงินผ่านธนาคารอาจใช้เวลา 2-5 วันทำการ ส่วน Skrill/Neteller อาจใช้เวลาภายใน 1 วันทำการ วิธีการถอนเงินที่รองรับ ได้แก่ การโอนเงินผ่านธนาคาร, บัตรเครดิต/เดบิต, Skrill, Neteller เป็นต้น
3. IC Markets มี ฝากขั้นต่ำ เท่าไหร่? รองรับวิธีการฝากเงินแบบใดบ้าง?
IC Markets กำหนด ฝากขั้นต่ำ ไว้ที่ 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการเปิดบัญชีจริง วิธีการฝากเงินที่รองรับได้แก่ บัตรเครดิต/เดบิต, Skrill, Neteller, การโอนเงินผ่านธนาคาร และอาจมีตัวเลือกการชำระเงินท้องถิ่นอื่นๆ
4. IC Markets มี Support ไทย (泰語支持) หรือไม่? ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าได้อย่างไร?
IC Markets มีฝ่ายบริการลูกค้าที่ให้บริการตลอด 24/5 ผ่านแชทสด อีเมล และโทรศัพท์ อย่างไรก็ตาม การสนับสนุน Support ไทย (泰語支持) อาจไม่สมบูรณ์ในทุกช่องทาง และนักเทรดอาจต้องสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเป็นหลักหากต้องการความช่วยเหลือที่รวดเร็วและครอบคลุม
5. IC Markets มีบัญชีประเภทใดบ้าง? บัญชี Raw Spread และ Standard แตกต่างกันอย่างไร?
IC Markets มีบัญชีหลักสองประเภท ได้แก่ Raw Spread และ Standard บัญชี Raw Spread มีสเปรดต่ำสุด (เริ่มต้น 0.0 pip) แต่มีค่าคอมมิชชั่น ($3.50 ต่อล็อตต่อข้าง) เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีปริมาณสูง ส่วนบัญชี Standard ไม่มีค่าคอมมิชชั่น แต่มีสเปรดที่กว้างกว่า (เริ่มต้นประมาณ 0.6 pip) เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่หรือผู้ที่ซื้อขายในปริมาณไม่มาก
6. สเปรดการซื้อขายของ IC Markets สูงหรือไม่? มีค่าธรรมเนียมแฝงหรือไม่?
สเปรดของ IC Markets ถือว่าต่ำและแข่งขันได้มาก โดยเฉพาะบัญชี Raw Spread ที่เริ่มต้นจาก 0.0 pip ไม่มีค่าธรรมเนียมแฝงส่วนใหญ่ โดยไม่มีค่าธรรมเนียมในการฝาก/ถอนเงินหลัก และไม่มีค่าธรรมเนียมการไม่ใช้งาน มีเพียงค่าคอมมิชชั่นสำหรับบัญชี Raw Spread และค่า Swap/Rollover สำหรับตำแหน่งข้ามคืน
7. จะเปิดบัญชีซื้อขายใน IC Markets ได้อย่างไร? ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง?
การเปิดบัญชีกับ IC Markets สามารถทำได้ง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์ทางการ คุณจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวและยืนยันตัวตนด้วยเอกสาร เช่น สำเนาบัตรประชาชน/พาสปอร์ต และเอกสารยืนยันที่อยู่ (เช่น บิลค่าสาธารณูปโภคหรือใบแจ้งยอดธนาคาร) ที่ออกให้ภายใน 3-6 เดือนล่าสุด
8. IC Markets มีบัญชีทดลอง (Demo Account) หรือไม่? ใช้งานอย่างไร?
มี IC Markets มีบัญชีทดลองฟรี ให้บริการสำหรับ MT4, MT5 และ cTrader คุณสามารถสมัครได้บนเว็บไซต์ และใช้เงินเสมือนจริงในการฝึกฝนการซื้อขาย ทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์ม และทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ โดยไม่มีความเสี่ยง
9. MetaTrader 4 (MT4) และ cTrader แพลตฟอร์มการซื้อขายไหนดีกว่ากัน?
ทั้ง MT4 และ cTrader เป็นแพลตฟอร์มที่ยอดเยี่ยม แต่มีจุดเด่นต่างกัน MT4 ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ใช้งานง่าย และรองรับ EA มากมาย เหมาะสำหรับนักเทรดทั่วไปและผู้ใช้ EA cTrader มีอินเทอร์เฟซที่ทันสมัยกว่า เน้นการซื้อขายแบบ ECN และเหมาะสำหรับ Scalping และ Day Trading ที่ต้องการความเร็วและความโปร่งใส นักเทรดควรเลือกตามความถนัดและสไตล์การเทรดของตนเอง
10. IC Markets เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่หรือไม่? มีแหล่งข้อมูลการศึกษาหรือไม่?
IC Markets อาจเหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่ที่มีความเข้าใจพื้นฐานการเทรดมาบ้างแล้ว เนื่องจากเน้นสเปรดต่ำและประสิทธิภาพ แพลตฟอร์ม Standard เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แม้ว่า IC Markets จะมีแหล่งข้อมูลการศึกษาบ้าง เช่น บทความและวิดีโอ แต่ก็อาจไม่ได้ครอบคลุมเท่าโบรกเกอร์ที่เน้นการฝึกอบรมโดยเฉพาะ มือใหม่ควรใช้บัญชีทดลองเพื่อฝึกฝนและเรียนรู้ก่อนลงทุนจริง