T1 หุ้นคืออะไร? ไขข้อสงสัย เทรดหุ้นไม่พลาด!

เคยสงสัยไหมว่าเวลาเทรดหุ้นอยู่ดีๆ ก็เห็นตัวอักษรแปลกๆ ขึ้นมาข้างหลังชื่อหุ้น หรือบางทีอยู่ๆ ก็ซื้อหุ้นบางตัวไม่ได้ ต้องมีเงินสดเต็มจำนวนเท่านั้น หรือหนักกว่านั้นคือขายไปแล้ว เงินก็ยังใช้ซื้อตัวอื่นในวันเดียวกันไม่ได้อีก เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก แต่เป็นเหมือน “สัญญาณเตือน” หรือ “ป้ายบอกทาง” ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาตั้งไว้ให้พวกเรานักลงทุนนี่แหละครับ วันนี้ในฐานะคนคุ้นเคยกับเรื่องราวในตลาดหุ้น ผมจะมาเล่าให้ฟังแบบง่ายๆ สไตล์ชาวบ้าน ให้เข้าใจกันไปเลยว่า ไอ้เจ้าสัญญาณพวกนี้มันคืออะไรกันแน่ จะได้เทรดหุ้นอย่างสบายใจ ไม่ตกใจเวลาเจอเครื่องหมายพวกนี้

เรื่องแรกที่เจอบ่อยจนนักลงทุนเรียกติดปากว่า “หุ้นติดคุก” หรือ “หุ้นติดแคชบาลานซ์” จริงๆ แล้วมันคือมาตรการกำกับการซื้อขาย หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “เทรดดิ้ง อะเลิร์ท” (Trading Alert) นั่นแหละครับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเขามีมาตรการนี้ไว้เพื่อจัดการกับหุ้นที่มีพฤติกรรมการซื้อขายผิดปกติ ดูแล้วร้อนแรงเกินไป หรือมีการเก็งกำไรสูงลิ่วชนิดที่ไม่สัมพันธ์กับพื้นฐานของบริษัทเลย ลองนึกภาพตามนะครับว่า ถ้าปล่อยให้หุ้นบางตัวราคาพุ่งปรี๊ดๆ ด้วยการเก็งกำไรอย่างเดียว โดยที่บริษัทไม่ได้มีผลประกอบการที่ดีขึ้นเลย มันก็อาจจะเกิดฟองสบู่ พอฟองสบู่แตก คนที่เข้าซื้อตอนราคาแพงๆ ก็จะเจ็บหนัก ดังนั้น มาตรการนี้เลยมีไว้เพื่อ “ลดความร้อนแรง” และ “คุ้มครองนักลงทุน” ไม่ให้เราเผลอไปติดกับดักการเก็งกำไรจนเกินตัว

มาตรการนี้เขาแบ่งออกเป็น 3 ระดับครับ ยิ่งระดับสูงยิ่งเข้มข้นขึ้น
ระดับแรกคือ **ระดับที่ 1 (T1)** อันนี้แหละที่มาของคำว่า “ติดแคชบาลานซ์” หรือ “ติดคุก” พอหุ้นตัวไหนเข้าเกณฑ์นี้ แปลว่าการซื้อขายมันเริ่มผิดปกติแล้วครับ สิ่งที่คุณต้องทำถ้าอยากซื้อหุ้นตัวนี้คือ “ต้องใช้เงินสดเต็มจำนวนเท่านั้น” จะเอาวงเงินมาร์จิ้น (Margin) หรือวงเงินจากบัญชีอื่นๆ มาซื้อไม่ได้เลยครับ แถมหุ้นตัวนี้ก็เอาไปคำนวณเป็นวงเงินซื้อขายในบัญชีประเภทอื่นไม่ได้ด้วย ข้อจำกัดนี้เหมือนเป็นการบังคับให้เราคิดให้ดีก่อนซื้อ เพราะต้องควักเงินสดจ่ายทันที ไม่ใช่การใช้เครดิตหรือวงเงินที่มีอยู่ ถ้าหุ้นตัวไหนติด T1 แล้วยังมีพฤติกรรมร้อนแรงต่อ หรือเพิ่งหลุด T1 ไปไม่นานแล้วกลับมาซ่าอีก ก็จะถูกยกระดับไปเป็น T2 ครับ

พอเป็น **ระดับที่ 2 (T2)** เงื่อนไข “แคชบาลานซ์” ก็ยังอยู่เหมือนเดิมครับ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ “ห้ามเน็ตเซทเทิลเมนต์” (No Net Settlement) อันนี้สำคัญมากสำหรับนักเทรดสายซิ่งครับ ปกติถ้าคุณซื้อหุ้นตอนเช้า แล้วราคาขึ้นบ่ายๆ ขายทำกำไร เงินจากการขายส่วนใหญ่จะสามารถเอาไปซื้อหุ้นตัวอื่นต่อได้เลยในวันเดียวกันใช่ไหมครับ แต่ถ้าหุ้นตัวไหนติด T2 พอคุณขายออกไป เงินนั้นจะยังใช้ไม่ได้ในวันนั้นครับ ต้องรอถึงวันทำการถัดไปถึงจะใช้ได้ ข้อจำกัดนี้ทำให้การซื้อขายหมุนเวียนหลายๆ รอบในวันเดียวทำได้ยากขึ้น เป็นการเบรกนักเก็งกำไรระยะสั้นนั่นเองครับ ถ้าหุ้นตัวไหนติด T2 แล้วยังไม่หยุด หรือเพิ่งหลุด T2 แล้วกลับมาซ่าอีก ก็จะถูกยกระดับไปเป็น T3 ครับ

และระดับที่เข้มข้นที่สุดคือ **ระดับที่ 3 (T3)** พอเข้าสู่ระดับนี้ วันแรกที่ประกาศ หุ้นตัวนั้นจะถูก “พักการซื้อขายชั่วคราว” ไปเลย 1 วันทำการครับ เหมือนโดนโทษแบนชั่วคราว จะขึ้นเครื่องหมาย P (Pause) ต่อท้ายชื่อหุ้นไว้ พอพ้นวันแรกที่โดนพักแล้ว หุ้นตัวนั้นก็จะกลับมาซื้อขายได้ตามปกติ แต่! จะต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของระดับ T2 ทั้งหมดครับ คือต้องใช้แคชบาลานซ์ ห้ามนำไปคำนวณวงเงินซื้อขาย และห้ามเน็ตเซทเทิลเมนต์ มาตรการแต่ละระดับนี้จะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 3 สัปดาห์ครับ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาก็จะประเมินพฤติกรรมการซื้อขายเป็นระยะ ถ้ายังไม่เข้าที่เข้าทางก็อาจจะขยายเวลา หรือถ้าหนักขึ้นก็ยกระดับมาตรการได้เลยครับ เรื่องพวกนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเขาดูแลอยู่ครับ เพื่อให้การซื้อขายหุ้นเป็นไปอย่างยุติธรรม

นอกจากมาตรการที่คุมพฤติกรรมการซื้อขายแล้ว ยังมีเครื่องหมายเล็กๆ น้อยๆ ที่ปรากฏต่อท้ายชื่อหุ้นอีกด้วยครับ พวกนี้ไม่ใช่มาตรการลงโทษ แต่เป็นเหมือน “ป้ายบอกสิทธิประโยชน์” ที่จะบอกคุณว่า ถ้าซื้อหุ้นตัวนี้ตั้งแต่วันที่มีเครื่องหมายนี้ คุณจะ “ไม่ได้รับ” สิทธิประโยชน์บางอย่างที่บริษัทเขาประกาศไว้ เช่น ถ้าคุณอยากได้เงินปันผลจากหุ้นตัวหนึ่ง คุณก็ต้องซื้อและถือหุ้นตัวนั้นไว้ก่อนถึงวันขึ้นเครื่องหมาย XD (Excluding Dividend) ครับ ถ้าไปซื้อวันที่มีเครื่องหมาย XD หรือหลังจากนั้น คุณก็จะไม่ได้รับเงินปันผลรอบนั้นแล้ว เครื่องหมายอื่นๆ ที่ควรรู้จักก็มีหลายตัวครับ เช่น XR (Excluding Right) คือไม่ได้รับสิทธิในการจองซื้อหุ้นออกใหม่ XM (Excluding Meeting) คือไม่ได้รับสิทธิในการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น XW (Excluding Warrant) คือไม่ได้รับสิทธิในการรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น หรือที่เรียกง่ายๆ ว่าวอร์แรนต์ XS, XT, XI, XP, XA, XE, XN, XB ก็เป็นเครื่องหมายบอกการไม่ได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่เฉพาะเจาะจงไปอีก ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเขาก็มีประกาศแจ้งให้ทราบตลอดครับ การรู้ความหมายของเครื่องหมายเหล่านี้จะช่วยให้เราวางแผนการซื้อขายได้ถูกต้องตามสิทธิที่เราต้องการครับ

อีกกลุ่มเครื่องหมายที่สำคัญไม่แพ้กัน และเป็นเหมือน “สัญญาณเตือนภัย” ให้เราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ เครื่องหมายแจ้งเตือนความระมัดระวังในการลงทุนครับ เครื่องหมายพวกนี้จะบอกว่าบริษัทมีปัญหาบางอย่างที่อาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงิน ผลประกอบการ สภาพคล่อง หรือการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ครับ พอเห็นเครื่องหมายพวกนี้ปุ๊บ ก็ให้รู้เลยว่า “ต้องทำการบ้านหนักๆ” เลยครับ ต้องเข้าไปศึกษาข้อมูลของบริษัทนั้นๆ ให้ละเอียดมากๆ ก่อนตัดสินใจ เครื่องหมายในกลุ่มนี้ที่พบบ่อยๆ ก็มีหลายแบบครับ
**CB (Caution Business):** แปลว่าบริษัทมีปัญหาเรื่องธุรกิจ หรือสถานะทางการเงินครับ เช่น ขาดทุนต่อเนื่อง ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ หรือผิดนัดชำระหนี้
**CS (Caution Financial Statements):** แปลว่ามีปัญหาเรื่องงบการเงินครับ อาจจะเป็นเพราะผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบ หรือสำนักงาน ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) สั่งให้บริษัทแก้ไขงบการเงิน หรือต้องตรวจสอบเป็นพิเศษ
**CF (Caution Freefloat):** แปลว่าหุ้นตัวนี้มีจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย (ฟรีโฟลต) น้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดครับ พอฟรีโฟลตน้อย การซื้อขายก็อาจจะไม่คล่องตัว อยากซื้อก็อาจจะหาคนขายยาก อยากขายก็อาจจะหาคนซื้อยาก หรือราคาอาจจะผันผวนง่ายกว่าปกติ
**CC (Caution Non-Compliance):** แปลว่าบริษัทไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดครับ เช่น มีกรรมการตรวจสอบไม่ครบ หรือเป็นบริษัทที่มีสินทรัพย์ส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินสด (Cash Company) ซึ่งอาจเข้าข่ายไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการระดมทุน
หุ้นที่มีเครื่องหมายกลุ่มนี้ทั้งหมดจะต้องซื้อด้วยบัญชี “แคชบาลานซ์” เท่านั้นครับ เหมือนกับมาตรการ T1 เลย เครื่องหมายเหล่านี้จะคงอยู่จนกว่าบริษัทจะแก้ไขปัญหาได้ครับ แต่ก็มีกำหนดเวลาไว้นะครับ ถ้าแก้ไม่ได้ตามกำหนด ก็อาจนำไปสู่การ “เพิกถอน” ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนได้เลย นั่นแปลว่าคุณอาจจะขายหุ้นนั้นๆ ไม่ได้อีกต่อไป หรือทำได้ยากมากๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็มาจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงาน ก.ล.ต. นี่เองครับ เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุด

สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น “เทรดดิ้ง อะเลิร์ท” ที่คุมการเก็งกำไร เครื่องหมายบอก “สิทธิประโยชน์” หรือเครื่องหมาย “แจ้งเตือนความระมัดระวัง” ทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์หลักอย่างเดียวกันคือ ทำให้ตลาดหุ้นโปร่งใส เป็นธรรม และที่สำคัญที่สุดคือ “คุ้มครองนักลงทุน” อย่างพวกเรานี่แหละครับ การที่ หุ้นคือ เครื่องมือการลงทุนที่น่าสนใจ แต่การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง การรู้สัญญาณเตือนต่างๆ เหล่านี้ เหมือนกับการมีแผนที่และคู่มือในการเดินทางครับ ช่วยให้เราหลีกเลี่ยงอันตรายที่มองไม่เห็นได้

ดังนั้น ก่อนจะเคาะซื้อหุ้นตัวไหนในโปรแกรมซื้อขายที่คุณใช้อยู่ ไม่ว่าจะเป็น Finansia HERO หรือ Streaming ลองสังเกตดูสักนิดนะครับว่ามีเครื่องหมายอะไรต่อท้ายชื่อหุ้นไหม หรือมีประกาศจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เกี่ยวกับมาตรการกำกับหุ้นตัวนั้นๆ หรือเปล่า การใช้เวลาศึกษาข้อมูลเหล่านี้เพียงเล็กน้อย อาจช่วยให้คุณรอดพ้นจากความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น และเทรดหุ้นได้อย่างมั่นใจมากขึ้นครับ จำไว้เสมอว่า ข้อมูลคืออาวุธที่ทรงพลังที่สุดในตลาดหุ้นครับ! การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ