เคยสงสัยไหมว่าบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตวีซ่าที่เราใช้กันอยู่ทุกวันเนี่ย…เบื้องหลังมันคืออะไร? แล้วถ้าจะลงทุนใน ‘หุ้นวีซ่า’ ตัวบริษัทแม่ของบัตรพวกนี้ มันน่าสนใจแค่ไหนกันเชียว? วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงิน ขอพาไป ‘ส่อง’ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่แห่งวงการชำระเงินดิจิทัลอย่าง วีซ่า อิงค์ (Visa Inc.) หรือที่นักลงทุนคุ้นเคยในชื่อ ‘หุ้น V’ ที่ลิสต์อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) กันแบบเจาะลึกครับ

วีซ่าไม่ใช่ธนาคารที่ออกบัตรให้เราโดยตรงนะครับ แต่เขาคือ ‘ตัวกลาง’ หรือ ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ ระบบชำระเงินดิจิทัลระดับโลก คิดภาพง่ายๆ คือเป็นเครือข่ายขนาดมหึมาที่เชื่อมต่อผู้คน ร้านค้า ธนาคาร และสถาบันการเงินทั่วโลกเข้าด้วยกัน ผ่านระบบที่เรียกว่า VisaNet ซึ่งมีประสิทธิภาพสุดๆ สามารถประมวลผลธุรกรรมได้เป็นแสนๆ ล้านรายการในพริบตาเดียว ลองนึกภาพบัตรวีซ่ากว่า 3.5 พันล้านใบที่หมุนเวียนอยู่ในมือผู้คนทั่วโลกสิครับ นั่นคือขอบเขตของอาณาจักรวีซ่าเลยนะ
ทีนี้มาดูกันว่า ‘หุ้นวีซ่า’ ทำเงินจากอะไรเป็นหลัก? รายได้หลักๆ ของวีซ่ามาจาก 4 ก้อนใหญ่ๆ ครับ โดยอิงจากข้อมูล 9 เดือนล่าสุด สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2567:
1. รายได้จากบริการ (Service revenue): ราว 33% ได้จากการอำนวยความสะดวกในการชำระเงิน
2. รายได้จากการประมวลผลข้อมูล (Data processing revenue): ราว 36% มาจากการจัดการและส่งผ่านข้อมูลการทำธุรกรรมผ่านเครือข่าย
3. รายได้จากการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ (International transaction revenue): ราว 25% ส่วนนี้สำคัญมาก เพราะมักจะมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า เป็นรายได้ที่เกิดขึ้นเวลาเราเอาบัตรวีซ่าไปใช้จ่ายที่ต่างประเทศ หรือซื้อของออนไลน์จากเว็บไซต์ต่างประเทศนั่นแหละครับ
4. รายได้อื่นๆ (Other revenue): ราว 6% มาจากบริการเสริมอื่นๆ
รวมๆ แล้ว รายได้ทั้งหมดอยู่ที่กว่า 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 9 เดือนนั้นนะ (หลังหักส่วนลดหรือ ‘สิ่งจูงใจลูกค้า’ ที่วีซ่าให้ธนาคารคู่ค้าไป) ซึ่งรายได้ของวีซ่าก็ยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องนะ จากข้อมูลล่าสุด 12 เดือนที่ผ่านมา (ถึง 30 กันยายน 2567) ก็โตขึ้น 10.02% เลยทีเดียว

มองไปข้างหน้า ทำไม ‘หุ้นวีซ่า’ ถึงยังน่าสนใจ? ปัจจัยหลักๆ มาจากเทรนด์ที่คนทั่วโลกหันมาใช้การชำระเงินแบบดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นแตะจ่าย จ่ายออนไลน์ หรือแม้แต่ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล แทนเงินสดแบบเดิมๆ การขยายตัวในประเทศกำลังพัฒนาก็เป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญ เพราะประชากรจำนวนมากเพิ่งเข้าถึงบริการทางการเงินและเริ่มใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น นอกจากนี้ ธุรกรรมข้ามพรมแดนก็เป็นอีกส่วนที่มีศักยภาพเติบโตสูง โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว การเดินทางและการค้าระหว่างประเทศก็กลับมาคึกคัก วีซ่าเองก็ลงทุนมหาศาลในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในวงการ FinTech
สำหรับใครที่สนใจลงทุนใน ‘หุ้นวีซ่า’ ย้อนกลับไปดูประวัติก็ไม่ธรรมดานะครับ วีซ่าเข้าตลาดหุ้นครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2551 ด้วยราคา IPO 44 ดอลลาร์ต่อหุ้น (ซึ่งถ้าปรับตามการแตกหุ้นและเงินปันผลแล้ว เทียบเท่าประมาณ 14.13 ดอลลาร์) ตั้งแต่นั้นมา ‘หุ้นวีซ่า’ ก็ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 1,000% ซึ่งดีกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนี S&P 500 และดาวโจนส์มากๆ เลย และวีซ่าก็จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เคยมีการแตกหุ้น 4 ต่อ 1 เมื่อปี 2558 ด้วยนะ เหมือนเค้กก้อนเดิม แต่หั่นเป็น 4 ชิ้นเล็กๆ ราคาต่อชิ้นก็ถูกลง ทำให้คนเข้าถึงง่ายขึ้น
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมองว่า ‘หุ้นวีซ่า’ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยหลายสำนักให้คำแนะนำ ‘ซื้อ’ นะครับ จากข้อมูลเดือนกันยายน 2564 ค่าเฉลี่ยเป้าหมายราคาอยู่ที่ 280.00 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าราคาปัจจุบันอยู่พอสมควรเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม เหรียญมีสองด้าน…สำหรับ ‘หุ้นวีซ่า’ เองก็มีประเด็นที่ต้องจับตาดูเหมือนกัน โดยเฉพาะประเด็นทางกฎหมายในสหรัฐอเมริกา ที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องวีซ่า ด้วยข้อกล่าวหาว่าวีซ่าผูกขาดตลาดบัตรเดบิตอย่างผิดกฎหมาย ข้อกล่าวหาหลักคือ วีซ่าใช้ข้อได้เปรียบในการสร้างเครือข่ายข้อตกลงที่สกัดกั้นการแข่งขัน ทำให้ธนาคารและธุรกิจไม่มีทางเลือกในการใช้บริการประมวลผลธุรกรรมบัตรเดบิตอื่นๆ และการกระทำเหล่านี้ทำให้ผู้ค้าและธนาคารต้องแบกรับต้นทุนที่สูงเกินจริง แล้วต้นทุนนั้นก็มักจะถูกผลักภาระมาที่เราๆ ผู้บริโภคนี่แหละ ข่าวนี้เคยทำให้ราคา ‘หุ้นวีซ่า’ ร่วงลงไปพอสมควรเลยนะครับในตอนที่มีข่าวออกมา
วีซ่าเองก็แถลงตอบโต้ว่า คดีนี้ “ไม่มีมูลความจริง” และจะดำเนินการต่อสู้อย่างเต็มที่ โดยยืนยันว่าบริษัทเป็นเพียงหนึ่งในผู้แข่งขันในตลาดบัตรเดบิตที่กำลังเติบโต และผู้บริโภคเลือกใช้บริการของวีซ่าเพราะเครือข่ายมีความปลอดภัย ไว้วางใจได้ และมีการป้องกันการฉ้อโกงระดับโลก ซึ่งเป็นจุดแข็งสำคัญของวีซ่าจริงๆ ครับ
สรุปแล้ว ถ้าคุณมองหาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีการเงิน (FinTech) ที่ค่อนข้างมั่นคง มีการเติบโตต่อเนื่องตามกระแสสังคมไร้เงินสด และมีศักยภาพในการขยายตัวไปในตลาดใหม่ๆ ‘หุ้นวีซ่า’ หรือ V ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจตัวหนึ่งในพอร์ตการลงทุนของคุณครับ แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาถึงประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมายที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบในอนาคตได้
⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะประเด็นด้านกฎหมายที่กำลังเกิดขึ้น และหากสภาพคล่องทางการเงินของคุณไม่สูงมากนัก ควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนลงทุนใน ‘หุ้นวีซ่า’ หรือหุ้นตัวไหนๆ ก็ตามนะครับ การลงทุนระยะยาวและกระจายความเสี่ยงยังคงเป็นหลักการสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามครับ