สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน! กลับมาพบกันอีกครั้งในคอลัมน์เศรษฐศาสตร์รอบตัวที่พยายามจะหยิบเรื่องเงินๆ ทองๆ หรือแนวคิดซับซ้อน มาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย เหมือนนั่งคุยกับเพื่อนข้างบ้านนะครับ วันนี้ผมอยากชวนคุยเรื่องที่ดูเหมือนจะไกลตัว แต่จริงๆ แล้วใกล้เรากว่าที่คิด นั่นคือเรื่องของ “อัตราแลกเปลี่ยน” (Exchange rate) ที่เงินในกระเป๋าเราไปวิ่งเล่นกับเงินของคนชาติอื่น กับอีกเรื่องคือ “หลักคิดพื้นฐาน” ที่บรรดาบริษัททั้งหลายเขาใช้ทำมาหากินกัน
คุณเคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมบางทีไปเที่ยวต่างประเทศ ค่าเงินบ้านเราก็แข็งโป๊ก แลกได้เยอะจัง แต่บางทีก็อ่อนปวกเปียก แลกได้น้อยซะงั้น หรือทำไมสินค้าบางอย่างถึงแพงขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้ขึ้นราคาที นี่แหละครับ ปัจจัยหนึ่งมันมาจากเรื่องของ “อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ” หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า ค่าเงิน นั่นแหละครับ ตัวเลขเหล่านี้มันวิ่งขึ้นวิ่งลงตลอดเวลา เหมือนกราฟหุ้นที่เราเห็นในจอ ซึ่งการเคลื่อนไหวของมันนี่แหละ ที่ส่งผลกระทบกับชีวิตเราไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

สมมติว่าเพื่อนของคุณที่อยู่แคนาดา อยากจะส่งเงินมาให้คุณที่เมืองไทยจำนวนหนึ่ง ลองนึกภาพดูสิครับ ถ้าเขามีเงินอยู่สัก 700 ดอลลาร์แคนาดา (CAD) แล้วอยากแปลงเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ก่อนส่งมาให้ หรือคุณอาจจะรับเป็นเงินไทย แต่ต้นทางต้องผ่านการแปลงสกุลเงินเหล่านี้แหละ จากข้อมูลล่าสุดที่ผมไปหามาเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๘ (วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๘ เวลาประมาณตีหนึ่งตามเวลาสากล UTC) เงินจำนวน 700 ดอลลาร์แคนาดานี้ มีค่าประมาณ ๔๙๒.๐๐๓๐๓ ดอลลาร์สหรัฐฯ ครับ แปลง่ายๆ ก็คือ ๑ ดอลลาร์แคนาดา มีค่าประมาณ ๐.๗๐๒๘๖๑ ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนถ้ามองกลับกัน ๑ ดอลลาร์สหรัฐฯ จะมีค่าประมาณ ๑.๔๒๒๗๖ ดอลลาร์แคนาดาครับ
ตัวเลขพวกนี้เขาเรียกว่า “อัตรากลางตลาด” (Mid-Market Rate) นะครับ ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนจริงที่ไม่มีการบวกค่าธรรมเนียมแฝงของธนาคารหรือผู้ให้บริการต่างๆ เข้าไป ลองนึกภาพเวลาเราไปแลกเงินตามร้านแลกเงิน หรือแลกผ่านธนาคาร เรามักจะได้อัตราที่ไม่ใช่ตัวเลขกลางเป๊ะๆ ใช่ไหมครับ นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการแลกเงินของเราสูงขึ้น การที่เราเห็นตัวเลขกลางตลาดนี้ มันช่วยให้เรารู้มูลค่าที่แท้จริงของเงินเรา และเลือกใช้บริการโอนเงินระหว่างประเทศที่โปร่งใส คิดค่าธรรมเนียมต่ำได้ครับ
แล้วแนวโน้มของค่าเงินมันเป็นยังไงบ้าง? ถ้าลองมองย้อนไปดู ๑ ปีที่ผ่านมา (เทียบกับวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๘) ค่าเงินดอลลาร์แคนาดาเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้ม “ลดลง” ไปประมาณร้อยละ ๔.๘๒ ครับ นั่นหมายความว่า ถ้าปีก่อนคุณมีเงิน 700 ดอลลาร์แคนาดา แลกเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ อาจจะได้มากกว่า ๔๙๒ ดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันนี้หน่อยหนึ่ง

ทีนี้มาดูแนวโน้มระยะสั้นลงมาอีกนิด ในช่วง ๓๐ วันที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์แคนาดาเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ มีการแกว่งตัวอยู่ระหว่าง ๐.๗๒๗๗ ถึง ๐.๗๓๖๗ โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ ๐.๗๓๑๓ ซึ่งในช่วง ๓๐ วันนี้ ค่าเงินดอลลาร์แคนาดา “แข็งค่าขึ้น” เล็กน้อยประมาณร้อยละ ๐.๔๗ ส่วนในช่วง ๙๐ วันที่ผ่านมา การแกว่งตัวกว้างขึ้นหน่อย อยู่ระหว่าง ๐.๗๐๑๕ ถึง ๐.๗๓๖๗ ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ ๐.๗๒๓๕ และโดยรวม “แข็งค่าขึ้น” ประมาณร้อยละ ๓.๑๙ ครับ ตัวเลขเหล่านี้บอกเราว่า ค่าเงินมันไม่เคยอยู่นิ่งจริงๆ ครับ ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา ตามปัจจัยเศรษฐกิจโลก การเมือง หรือแม้แต่ข่าวสารต่างๆ
ถ้าเราสลับมามองที่ดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับดอลลาร์แคนาดา จากข้อมูลช่วงเวลาหนึ่ง (ประมาณ ๒๑:๔๓ น.) ๑ ดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าประมาณ ๑.๓๙๗ ดอลลาร์แคนาดาครับ แนวโน้ม ๓๐ วันที่ผ่านมาก็มีการเปลี่ยนแปลงครับ อยู่ระหว่าง ๑.๓๗๗๒ ถึง ๑.๓๙๗๖ ค่าเฉลี่ย ๑.๓๘๖๕ โดยรวม “แข็งค่าขึ้น” ประมาณร้อยละ ๐.๕๒ ส่วนแนวโน้ม ๙๐ วันที่ผ่านมาอยู่ระหว่าง ๑.๓๗๗๒ ถึง ๑.๔๔๙๓ ค่าเฉลี่ย ๑.๔๑๔๐ โดยรวมกลับ “อ่อนค่าลง” ไปประมาณร้อยละ -๑.๕๖ ครับ เห็นไหมครับว่าทิศทางในระยะสั้นกับระยะยาวมันอาจจะไม่เหมือนกันเสมอไป
การที่เราติดตามแนวโน้มของค่าเงินแบบนี้ แม้เราจะไม่ได้เทรดค่าเงินโดยตรง แต่ก็มีประโยชน์นะครับ เช่น ถ้าคุณมีแผนจะต้องโอนเงินไปต่างประเทศ หรือมีญาติจะส่งเงินมาให้ การรู้แนวโน้มคร่าวๆ อาจช่วยให้คุณเลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการทำธุรกรรม เพื่อให้ได้เงินในสกุลปลายทางมากขึ้น หรือจ่ายน้อยลงครับ เครื่องมือแปลงสกุลเงินออนไลน์ หรือแอปพลิเคชันมือถือสมัยนี้ก็ช่วยให้เราติดตามอัตราแลกเปลี่ยนได้ง่ายขึ้นมากๆ ครับ สะดวกเหมือนมีกระดานแลกเงินย่อมๆ อยู่ในมือเลย
นั่นคือเรื่องของ “ตลาดเงิน” ที่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนสกุลเงินข้ามพรมแดนนะครับ ทีนี้เรามาลองเปลี่ยนบรรยากาศ ย้ายจากเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่วิ่งไปมาทั่วโลก มาดูเรื่อง “หลักคิด” ของบริษัทกันบ้าง ซึ่งมันคือเนื้อหาที่อยู่ในแขนงวิชา “เศรษฐศาสตร์จุลภาค” (Microeconomics) ครับ
ลองนึกภาพว่า ถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัทสักแห่ง ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารเล็กๆ หรือโรงงานขนาดใหญ่ คุณต้องคิดอะไรบ้างครับ? แน่นอนว่าต้องคิดถึงว่าจะผลิตอะไร ผลิตยังไงให้มีคุณภาพ ต้นทุนเท่าไหร่จะคุ้ม แล้วจะตั้งราคาขายเท่าไหร่ดีถึงจะได้กำไรเยอะๆ และลูกค้ายังยอมจ่ายใช่ไหมครับ เศรษฐศาสตร์จุลภาคเนี่ยแหละครับที่ว่าด้วยเรื่องพวกนี้โดยตรง
ในมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วโลก ก็มีหลักสูตรที่สอนเรื่องพวกนี้อย่างละเอียด อย่างข้อมูลที่เรามี ก็พูดถึงหลักสูตรหนึ่งที่ใช้รหัสว่า CECN 700 ซึ่งเป็นวิชาเศรษฐศาสตร์ระดับสูงหน่อย เนื้อหาที่เรียนก็วนเวียนอยู่กับคำถามเหล่านี้แหละครับ เขาจะสอนให้เราเข้าใจถึง “ฟังก์ชันการผลิต” (Production Function) ว่าปัจจัยการผลิตต่างๆ เช่น แรงงาน วัตถุดิบ เครื่องจักร มันรวมกันแล้วออกมาเป็นสินค้าหรือบริการได้อย่างไร จะทำยังไงให้ “ลดต้นทุน” (Cost Minimization) การผลิตลงได้มากที่สุด แต่ยังคงคุณภาพไว้ หรือจะตัดสินใจยังไงถึงจะ “เพิ่มกำไร” (Profit Maximization) ให้กับบริษัทได้สูงสุด ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ

ที่สำคัญเลยคือเรื่องของ “โครงสร้างตลาด” (Market Structures) ครับ ตลาดไม่ได้มีหน้าตาเหมือนกันไปหมดนะครับ บางตลาดมีผู้ขายน้อยมากๆ แทบจะผูกขาด อย่างเช่น ตลาดพลังงาน หรือบริการโทรศัพท์บางประเภทในอดีต เราเรียก “ตลาดผูกขาด” (Monopoly) บางตลาดมีผู้ขายไม่กี่รายที่แข่งขันกันดุเดือด เช่น ตลาดรถยนต์ หรือตลาดน้ำอัดลม เราเรียก “ตลาดผู้ขายน้อยราย” (Oligopoly) บางตลาดมีผู้ขายเยอะแยะไปหมด แต่สินค้าแต่ละรายก็มีเอกลักษณ์ต่างกันเล็กน้อย ทำให้ตั้งราคาต่างกันได้บ้าง เช่น ตลาดร้านอาหาร ตลาดเสื้อผ้าแฟชั่น เราเรียก “การแข่งขันกึ่งผูกขาด” (Monopolistic Competition) และยังมีตลาดที่มีผู้ขายเยอะมากๆ ขายสินค้าเหมือนกันเป๊ะ แข่งกันที่ราคาอย่างเดียวเลยก็มี (แม้ข้อมูลที่ได้รับจะไม่เน้นส่วนนี้ แต่เป็นพื้นฐานที่ต้องรู้) การที่บริษัทอยู่ในโครงสร้างตลาดแบบไหน การตัดสินใจเรื่องราคา การผลิต หรือการแข่งขันก็จะแตกต่างกันไปครับ
นอกจากนี้ ในหลักสูตรระดับ 700 หรือสูงกว่านั้น ยังอาจได้เรียนรู้เกี่ยวกับ “ตลาดปัจจัยการผลิต” (Factor Markets) เช่น ตลาดแรงงาน หรือตลาดเงินทุน ที่บริษัทต้องไปซื้อหรือเช่ามาใช้ในการผลิต และยังอาจมีเนื้อหาแนะนำ “ทฤษฎีเกม” (Game Theory) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของบริษัท โดยคำนึงถึงปฏิกิริยาของคู่แข่งด้วยครับ
คุณอาจจะคิดว่า โอโห้ เรื่องพวกนี้ดูซับซ้อนจัง จะรู้ไปทำไมในชีวิตประจำวัน? จริงๆ แล้ว การเข้าใจหลักคิดพื้นฐานพวกนี้นิดๆ หน่อยๆ ก็มีประโยชน์นะครับ อย่างน้อยมันช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมบริษัทถึงทำแบบนั้นแบบนี้ ทำไมราคาสินค้าบางอย่างถึงเป็นแบบนี้ ทำไมการแข่งขันในบางอุตสาหกรรมถึงรุนแรง หรือทำไมบางทีของที่เราเคยซื้อถึงหายากขึ้น มันช่วยให้เรามองเห็นภาพใหญ่ของกลไกเศรษฐกิจในมุมของภาคธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งกลไกเหล่านี้แหละครับ ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงชีวิตเราทุกคน ทั้งในฐานะผู้บริโภค หรือในฐานะคนทำงาน
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ “ตลาดเงิน” ที่เงินจำนวน 700 ดอลลาร์แคนาดาแปลงเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ ได้เท่าไหร่ และมีแนวโน้มอย่างไร หรือเรื่องของ “หลักเศรษฐศาสตร์จุลภาค” ที่สอนในหลักสูตรระดับ 700 ที่ทำให้เราเข้าใจว่าบริษัทเขาคิดคำนวณกันยังไงเพื่อทำกำไรสูงสุด ทั้งสองเรื่องนี้ แม้จะดูคนละมุม แต่ก็เป็นส่วนสำคัญในการทำความเข้าใจภาพรวมของเศรษฐกิจครับ อัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนก็กระทบต้นทุนนำเข้าส่งออกของบริษัท โครงสร้างตลาดก็กำหนดว่าบริษัทจะแข่งขันกันแบบไหน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลถึงราคาและทางเลือกของสินค้าและบริการที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน
คำแนะนำส่งท้ายสำหรับผู้อ่านทุกท่านนะครับ เรื่องการเงินและเศรษฐกิจอยู่รอบตัวเราเสมอ การติดตามข่าวสารและทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานไว้บ้างเป็นเรื่องที่ดีครับ ถ้าคุณต้องเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนหรือโอนเงินระหว่างประเทศ ลองใช้เครื่องมือแปลงสกุลเงินที่ใช้อัตรากลางตลาดในการคำนวณ เพื่อให้เห็นตัวเลขที่แท้จริง และเปรียบเทียบบริการต่างๆ เพื่อลดค่าใช้จ่ายแฝงนะครับ ส่วนเรื่องหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน ลองหาอ่านบทความง่ายๆ หรือคลิปวิดีโอสั้นๆ ที่อธิบายคอนเซ็ปต์อย่าง ฟังก์ชันการผลิต ต้นทุน กำไร หรือโครงสร้างตลาด รับรองว่าจะทำให้คุณมองเรื่องธุรกิจและการตลาดได้ลึกซึ้งขึ้นครับ
และที่สำคัญที่สุด! การลงทุนในสกุลเงินต่างประเทศ หรือการตัดสินใจทางการเงินใดๆ มีความเสี่ยงเสมอครับ อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนได้รวดเร็วตามปัจจัยต่างๆ การทำความเข้าใจข้อมูล แนวโน้ม และความเสี่ยงต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดครับ อย่าเชื่อข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งโดยไม่ตรวจสอบ และประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเองเสมอนะครับ
หวังว่าบทความวันนี้จะช่วยให้เรื่องการเงินและเศรษฐกิจดูไม่ยากเกินไปนะครับ แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์ต่อไปครับ!