
เพื่อนๆ นักลงทุนและผู้ที่สนใจเรื่องราวเบื้องหลังของตลาดหุ้นทั่วโลก เคยสังเกตไหมครับว่าพักหลังๆ นี้ คำว่า ‘สุขภาพ’ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับ ‘โรคอ้วน’ และ ‘โรคเบาหวาน’ ดูเหมือนจะกลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่คนพูดถึงกันทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพส่วนบุคคลอีกต่อไป แต่เรื่องนี้กำลังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมยา และมีบริษัทหนึ่งที่ได้อานิสงส์ไปเต็มๆ จนหุ้นพุ่งแรงแซงหลายตัวในตลาด นั่นก็คือ Eli Lilly (อ่านว่า อีไล ลิลลี่) หรือที่เหล่านักลงทุนบ้านเราเรียกติดปากกันว่า หุ้น LLY นั่นเองครับ
Eli Lilly เนี่ย ไม่ใช่บริษัทโนเนมที่ไหนนะครับ เป็นพี่เบิ้มในวงการเภสัชกรรมระดับโลกเลย ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2419 โน่น! สมัยรัชกาลที่ 5 ของไทยเรานู่นแหละ มีประวัติยาวนานกว่าร้อยปี เข้าตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค (New York Stock Exchange หรือ NYSE) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 การทำงานหลักๆ ของเขาคือการวิจัย พัฒนา ผลิต และจำหน่ายยาสำหรับมนุษย์นี่แหละครับ กลุ่มผลิตภัณฑ์เขาก็ครอบคลุมโรคสำคัญๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ มะเร็ง ภูมิคุ้มกัน หรือแม้แต่โรคเกี่ยวกับระบบประสาท
แล้วทำไม หุ้น LLY ถึงถูกจับตาเป็นพิเศษในช่วงนี้? ส่วนใหญ่ก็มาจากผลิตภัณฑ์เด่นของเขาที่เกี่ยวข้องกับตลาด ‘ยารักษาโรคอ้วนและเบาหวาน’ นี่แหละครับ ข้อมูลจากหลายแหล่งบอกตรงกันว่า ตลาดนี้กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดดมากๆ ลองนึกภาพตามนะว่าตอนนี้ทั่วโลกมีคนเป็นโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินไปประมาณ 2.5 พันล้านคนแล้วนะ (ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก – World Health Organization หรือ WHO) ตัวเลขนี้มันน่าตกใจมากๆ ครับ แล้วโรคอ้วนก็เป็นต้นเหตุของโรคอื่นๆ ตามมาเพียบ ทั้งเบาหวาน โรคหัวใจ หลอดเลือด
ด้วยแนวโน้มผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นแบบนี้ ตลาดยารักษาโรคอ้วนก็เลยบูมสุดๆ มูลค่าตลาดทั่วโลกในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดการณ์กันว่าภายในปี 2573 มูลค่าตลาดนี้จะพุ่งไปถึง 1-2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว! คิดดูสิว่ามันจะเติบโตขนาดไหน ซึ่งยาเด่นๆ ของ Eli Lilly อย่าง Mounjaro (เมาน์จาโร) ที่เดิมใช้รักษาเบาหวาน แต่พบว่าช่วยเรื่องลดน้ำหนักได้ดีมาก กับ Zepbound (เซปบาวด์) ที่เป็นตัวยาเดียวกันแต่เน้นใช้สำหรับลดน้ำหนักโดยเฉพาะ ก็กลายเป็น ‘ดาวเด่น’ ที่ขับเคลื่อนรายได้หลักให้บริษัทไปเลย

แต่การจะพัฒนายาตัวใหม่ๆ ออกมาเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ กระบวนการวิจัยและพัฒนา หรือ R&D (Research and Development) มันใช้เวลานานมาก ค่าใช้จ่ายก็สูงลิบ แถมยังมีความเสี่ยงสูงอีกด้วย Eli Lilly เองก็ทุ่มเงินกับการ R&D ไม่น้อยเลยนะครับ ปี 2567 เนี่ย ลงทุนไปถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 24% ของรายได้ทั้งหมดเลยนะ นั่นแสดงให้เห็นว่าบริษัทเขามองการณ์ไกล และพร้อมลงทุนเพื่อหายาใหม่ๆ มาตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพของคนทั่วโลก
แล้วผลประกอบการของ Eli Lilly เป็นยังไงบ้าง? บอกเลยว่า ‘แข็งแกร่ง’ มากๆ ครับ ในช่วงปี 2563-2567 รายได้ของบริษัทเติบโตต่อเนื่องมาตลอด โดยเฉพาะจากยาดาวรุ่งที่เพิ่งพูดถึงไป ปี 2567 นี่ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์เลยครับ อยู่ที่ 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 32% เลยนะ ลองนึกภาพว่าบริษัทใหญ่ขนาดนี้ แต่ยังโตได้แรงขนาดนี้ มันไม่ธรรมดาจริงๆ
งบไตรมาสล่าสุด (งบไตรมาส 2 ที่มีการพูดถึงในข้อมูล) ก็ออกมาดีเกินคาด รายได้เติบโตขึ้นอีก 36% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อยู่ที่ 1.13 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กำไรต่อหุ้นก็พุ่งไปที่ 3.92 ดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ซะอีก พอเห็นความต้องการยาเยอะขนาดนี้ บริษัทเองก็เลยปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้และกำไรสุทธิสำหรับปี 2567 ทั้งปีให้สูงขึ้นไปอีกด้วย นี่สะท้อนถึงความมั่นใจของบริษัทในอนาคตของผลิตภัณฑ์เขามากๆ ครับ
แต่ชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบซะทีเดียวหรอกครับ แม้ Eli Lilly จะมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาดใหญ่และเติบโตสูง แต่ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือด โดยเฉพาะจากคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Novo Nordisk (โนโว นอร์ดิสก์) ซึ่งเขาก็มีผลิตภัณฑ์ยาในกลุ่มเดียวกันที่ดังไม่แพ้กันอย่าง Ozempic (โอเซมปิค) และ Wegovy (เวโกวี่) นอกจากนี้ยังมีความท้าทายเรื่อง ‘แรงกดดันด้านราคายา’ จากนโยบายของรัฐบาลในหลายประเทศ ที่พยายามควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ตรงนี้ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาดูให้ดี
นอกจากเรื่องตลาดเบาหวานและโรคอ้วน Eli Lilly เองก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นนะครับ เขากำลังพัฒนายาในกลุ่มอื่นๆ ด้วย เช่น ยารักษาอัลไซเมอร์ระยะแรกอย่าง Donanemab (โดนาเนแมบ) ซึ่งเพิ่งได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (Food and Drug Administration หรือ FDA) นี่ก็เป็นอีกความหวังในการรักษาโรคที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากทั่วโลก แสดงให้เห็นว่าบริษัทยังมีท่อส่งยา (pipeline) ที่น่าสนใจรออยู่
ความต้องการยาที่สูงมากจนผลิตแทบไม่ทันก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาเชิงบวกที่ Eli Lilly กำลังเจอครับ เขาต้องทุ่มเงินลงทุนมหาศาลถึง 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อขยายกำลังการผลิตยา Tirzepatide (เทอร์เซพาไทด์) ซึ่งเป็นตัวยาหลักใน Mounjaro และ Zepbound ที่โรงงานในรัฐอินเดียนา (Indiana) นี่เป็นการลงทุนที่ใหญ่มากๆ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของบริษัทในการตอบสนองความต้องการของตลาดให้ได้

มองภาพใหญ่ขึ้นมาหน่อย ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคก็มีผลกับการลงทุนใน หุ้น LLY เหมือนกันครับ แม้จะเป็นหุ้นในกลุ่ม Defensive อย่างเฮลท์แคร์ที่มักจะมีความต้องการยาอยู่เสมอไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือร้าย แต่ภาพรวมอย่างเช่น เงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่แม้จะเริ่มชะลอตัวลงบ้าง ตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง หรือนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve หรือ Fed) เรื่องอัตราดอกเบี้ย เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัท และกำลังซื้อของผู้คนในภาพรวม รวมถึงการเตือนเรื่องความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund หรือ IMF) ก็เป็นสิ่งที่เรามองข้ามไม่ได้นะครับ
แล้วสำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจอยากเป็นเจ้าของ หุ้น LLY ต้องทำยังไงบ้าง? ข่าวดีคือตอนนี้เรามีช่องทางที่สะดวกสบายขึ้นเยอะเลยครับ วิธีแรกที่ง่ายและเข้าถึงได้คือการลงทุนผ่าน ‘ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ’ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า DRx นี่แหละครับ เหมือนเราได้ซื้อหุ้น Eli Lilly เป็นหน่วยย่อยๆ ในตลาดหุ้นไทยเลย มีสัญลักษณ์ซื้อขายอย่างเช่น LLY80X ที่ซื้อขายได้ในตลาดหุ้นไทยเป็นเงินบาทนี่แหละครับ ทำให้การลงทุนในหุ้นระดับโลกอย่าง LLY เข้าถึงง่ายขึ้นมาก
อีกวิธีคือการเปิดบัญชีลงทุนหุ้นต่างประเทศโดยตรงกับโบรกเกอร์ไทยที่มีบริการนี้ ปัจจุบันมีหลายโบรกเกอร์ที่ให้บริการ เช่น หลักทรัพย์กสิกรไทย (Kasikorn Securities หรือ KS) หรือ Dime! (ไดม์) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ค่าธรรมเนียมก็เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจ บางโบรกเกอร์อย่าง Dime! เขาก็มีโครงสร้างค่าคอมมิชชันที่คำนวณให้เราได้ราคาที่คุ้มค่าที่สุดด้วยครับ นอกจากนี้ยังมีแหล่งข้อมูลและเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้ วิเคราะห์การลงทุนจากโบรกเกอร์ต่างๆ หรือแพลตฟอร์มความรู้ด้านการเงินต่างๆ ที่ช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนได้ง่ายขึ้นด้วย
สรุปแล้ว หุ้น LLY น่าสนใจไหม? จากข้อมูลที่เราดูกันมา จะเห็นว่า Eli Lilly เป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง มีประวัติยาวนาน เป็นผู้นำในตลาดที่กำลังเติบโตสูงมากๆ อย่างตลาดโรคอ้วนและเบาหวาน ผลประกอบการก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่น่าจับตาในอนาคต และนักลงทุนไทยเองก็มีช่องทางเข้าถึงหุ้นตัวนี้ได้สะดวกขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยครับ
อย่างไรก็ตาม การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงนะครับ แม้บริษัทจะดูดีแค่ไหน ก็ยังมีความท้าทายอยู่ ทั้งการแข่งขันจากคู่แข่ง การควบคุมราคาจากภาครัฐ และปัญหาการผลิตที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างภาพรวมเศรษฐกิจโลกด้วย
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังพิจารณา หุ้น LLY หรือหุ้นบริษัทยาตัวอื่นๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการศึกษาข้อมูลให้รอบด้านครับ ทั้งดูผลประกอบการ แนวโน้มอุตสาหกรรม นโยบายบริษัท คู่แข่ง และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ด้วยตัวเอง หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน เพื่อให้เข้าใจภาพรวมทั้งหมดก่อนตัดสินใจครับ
⚠️ คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในหุ้นต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและความผันผวนที่แตกต่างจากตลาดหุ้นไทย หากเงินทุนไม่สูงมาก หรือต้องการสภาพคล่องสูง ควรศึกษาให้ละเอียด หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ