เปิดตำรา! หุ้นน่าซื้อ 2567 กูรูชี้เป้าลงทุนฉลาด รวยยั่งยืน!

เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง ชื่อ ‘น้องก้อย’ เพิ่งจะเริ่มต้นลงทุนในหุ้น เธอถามผมด้วยความสงสัยว่า ‘พี่คะ ปี 2567 นี้ มี หุ้นน่าซื้อ ตัวไหนบ้างคะ ตลาดหุ้นดูผันผวนจังเลย ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี?’ คำถามนี้ไม่ใช่แค่น้องก้อยที่กังวล แต่เชื่อว่านักลงทุนมือใหม่หลายคน หรือแม้แต่คนที่ลงทุนมาสักพักแล้ว ก็ยังคงมองหา ‘หุ้นน่าซื้อ 2567’ อยู่เหมือนกันครับ

ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่คลุกคลีกับเรื่องตัวเลขและกราฟมาบ้าง วันนี้ผมจะขออาสาพาทุกคนไปแกะรอยดูว่า จากบทวิเคราะห์และข้อมูลของเหล่ากูรูในตลาดหุ้น เขามองภาพรวมการลงทุนปีนี้และปีหน้า (ต่อเนื่องถึง 2568) อย่างไร และมี หุ้นน่าซื้อ ประเภทไหนที่น่าจับตามองบ้างครับ

การลงทุนในหุ้นจริงๆ แล้วไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัวว่าต้องซื้อตัวไหนถึงจะรวย เพราะเป้าหมายและความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ไม่เท่ากันครับ แต่หลักการสำคัญคือการรู้จัก ‘ประเภทของหุ้น’ และ ‘กลยุทธ์การลงทุน’ ที่เหมาะกับจริตเรา

ลองนึกภาพว่าตลาดหุ้นเป็นเหมือนซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ ที่มีสินค้า (หุ้น) วางเรียงรายเต็มไปหมด เราจะหยิบอะไรใส่ตะกร้าดีล่ะ? สิ่งแรกคือต้องรู้ว่าเราต้องการอะไรจากหุ้นตัวนั้น

* **หุ้นเติบโต (Growth Stocks):** ลองคิดถึงบริษัทสตาร์ทอัพที่กำลังพุ่งแรง หรือบริษัทเทคโนโลยีที่คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ พวกเขามีศักยภาพที่จะขยายยอดขายและกำไรได้แบบก้าวกระโดด คุณสมบัติเด่นๆ คือรายได้และกำไรโตเร็วกว่าค่าเฉลี่ยตลาด เขาจะนำกำไรส่วนใหญ่ไปลงทุนขยายธุรกิจ R&D เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต เลยมักจะจ่ายปันผลน้อยหรือไม่จ่ายเลย หุ้นกลุ่มนี้ P/E (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) มักจะสูง เพราะนักลงทุนคาดหวังการเติบโตที่สูงลิ่วในอนาคตครับ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ใจเย็นและสามารถถือหุ้นได้ในระยะกลางถึงยาว (3-7 ปีขึ้นไป) เพื่อรอให้บริษัทเติบโตเต็มที่แล้วราคาหุ้นจะสะท้อนกลับมา ข้อควรระวังคือหุ้นพวกนี้มีความผันผวนสูง ถ้าบริษัทไม่สามารถทำกำไรได้ตามที่ตลาดคาดหวัง ราคาหุ้นก็อาจจะปรับลดลงอย่างรวดเร็วได้ครับ การลงทุนในหุ้นเติบโตต้องทำการบ้านเยอะหน่อย ทั้งวิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรม งบการเงิน คู่แข่ง และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด

* **หุ้นปันผลสูง (High Dividend Stocks):** สำหรับใครที่ชอบเห็นเงินเข้ากระเป๋าเป็นประจำ หรือต้องการกระแสเงินสดมาใช้จ่ายระหว่างทาง หรือไม่ชอบความผันผวนสูงๆ ในช่วงที่ตลาดไม่แน่นอนแบบนี้ ‘หุ้นปันผลสูง’ น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ ครับ หุ้นกลุ่มนี้มักจะเป็นบริษัทที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ มีกระแสเงินสดดี และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ ในสภาวะที่ดอกเบี้ยเงินฝากยังไม่สูงมาก การได้ปันผลในอัตราที่สูงกว่าก็เป็นอีกช่องทางสร้างผลตอบแทนที่ดีได้

ข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งเขาก็ได้รวบรวมและแนะนำ หุ้นปันผลเด่น ที่คาดว่าจะให้อัตราตอบแทนเงินปันผลสูงในปี 2567-2568 มาให้เราดูกันครับ ลองดูลิสต์คร่าวๆ ที่น่าสนใจจากหลายๆ โบรกฯ นะครับ (ข้อมูลนี้เป็นการคาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล)
* บล.ลิเบอเรเตอร์ มอง DIF ปันผล 11.0%, NYT 9.0%, TISCO 7.9%, TTW 6.7%
* บล.กรุงศรี พัฒนสิน แนะนำ AP 7.7%, MC 7.26%, ICHI 6.0%, KBANK 5.4%, BBL 5.0%
* บล.ทิสโก้ จัดหนัก SIRI 13.0%, DMT 9.0%, MC 8.0%, KKP 7.9%, AP 7.3%, TASCO 7.3%, LH 7.2%
* บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) มอง LH 8.1% (ปี 2025F), ICHI 7.6% (ปี 2025F), ADVANC 4.8% (ปี 2025F)
* ยังมี หุ้นน่าซื้อ กลุ่มปันผลเด่นอีกหลายตัวจาก บล.เอเซีย พลัส และแหล่งอื่นๆ ที่แนะนำให้ ‘ทยอยสะสม’ เมื่อราคาอ่อนตัวครับ

* **หุ้น P/E ต่ำ (Low P/E Stocks):** ทีนี้มาดูที่ ‘หุ้น P/E ต่ำ’ กันบ้างครับ P/E ย่อมาจาก Price-to-Earnings Ratio มันคืออัตราส่วนที่บอกว่าราคาหุ้นปัจจุบันเป็นกี่เท่าของกำไรที่บริษัททำได้ในช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา พูดง่ายๆ คือเราซื้อหุ้นนี้ในราคา ‘กี่เท่าของกำไรต่อหุ้น’ การหา หุ้นน่าซื้อ ที่ P/E ต่ำๆ โดยเฉพาะในหุ้นขนาดใหญ่กลุ่ม SET50 หรือ SET100 ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ เพราะเหมือนเราได้ของ ‘ถูก’ เมื่อเทียบกับกำไร แต่! ต้องดูดีๆ ว่า P/E มันต่ำเพราะหุ้นราคาลงมาเยอะจนน่าลงทุน หรือเพราะกำไรในอดีตมันไม่เสถียร หรือมีปัญหาซ่อนอยู่หรือไม่ ต้องวิเคราะห์ให้รอบด้านครับ

สำหรับปี 2567 มี 8 หุ้น SET100 ที่มี P/E ต่ำกว่า 10 เท่า ณ เวลานั้น และถูกจัดเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ เช่น TOP (5.76 เท่า), BBL (6.37 เท่า), KTB (6.41 เท่า), KBANK (7.46 เท่า), PTTEP (8.01 เท่า), SCB (8.36 เท่า), PTT (8.61 เท่า) ไปจนถึง TTB (9.28 เท่า) หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารและพลังงาน ซึ่งมีขนาดใหญ่และมีอิทธิพลต่อตลาดโดยรวมครับ

* **หุ้น SETHD (SET High Dividend):** นอกเหนือจากรายชื่อหุ้นปันผลเด่นรายตัวแล้ว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เขาก็มีดัชนีที่เรียกว่า ‘SETHD’ หรือกลุ่มหุ้นที่มีคุณสมบัติโดดเด่นด้านการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเหมือนตัวคัดกรองเบื้องต้นสำหรับนักลงทุนที่เน้นปันผลครับ ข้อมูลล่าสุด (ณ วันที่ 8 เมษายน 2025) แสดงให้เห็นว่ากลุ่มหุ้น SETHD นี้มีความแข็งแกร่ง โดยมีประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) สูงถึง 121.7 บาท เทียบกับตลาดรวมที่ 95.1 บาท และแนวโน้มกำไรในปีหน้า (2568) ก็ยังสดใสกว่า นอกจากนี้ ค่า P/E ของกลุ่ม SETHD ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจกว่าตลาดโดยรวม (9.1 เท่า เทียบกับตลาดรวม 12.1 เท่า) และที่สำคัญที่สุดคือให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงถึง 5.9% เทียบกับตลาดรวม 4.4% ถือเป็นอีกกลุ่ม หุ้นน่าซื้อ ที่เหมาะกับคนที่ต้องการสร้างกระแสรายได้ที่สม่ำเสมอครับ

ใน 30 หุ้น SETHD ที่จ่ายปันผลสูงสุดในตลาดหุ้นไทยตามข้อมูล ณ วันที่ 8 เมษายน 2025 ก็มีตัวที่เราคุ้นเคยและน่าสนใจหลายตัวเลยครับ เช่น RCL (11.06%), SIRI (10.23%), SPALI (8.95%), PRM (8.46%), PTTEP (8.33%), TISCO (7.81%), AP (7.79%), TOP (7.60%), LH (7.58%), KBANK (7.43%), KKP (7.19%), BANPU (7.08%), QH (7.05%), KTB (6.57%), PTT (6.53%), BBL (5.88%) เป็นต้น

ทีนี้ลองมองภาพตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 หรือ Q4/2567 กันบ้างครับ บล.ทรีนีตี้ มองว่า SET Index น่าจะยังแกว่งตัวทรงๆ จาก Q3 ที่ผ่านมา โดย Upside (โอกาสปรับขึ้น) อาจจะมีจำกัดหน่อย เพราะ Valuation (มูลค่าหุ้น) โดยรวมของตลาดเริ่มสูงขึ้น แต่ Downside (โอกาสปรับลง) ก็จะถูกจำกัดด้วยสภาพคล่องที่ยังเอ่อล้นในระบบจากหลายทิศทางครับ กรอบการเคลื่อนไหวที่ บล.ทรีนีตี้ ประเมินไว้คือ แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1480 และ 1520 จุด ส่วนแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1400 และ 1370 จุด

กลยุทธ์สำคัญในตลาดแบบนี้คือต้องเน้น ‘เลือกหุ้นเป็นตัวๆ’ (Stock selection) ครับ บล.ทรีนีตี้ แนะนำให้เน้นไปที่กลุ่ม หุ้นน่าซื้อ ที่อิงกับเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic cyclicals) เช่น กลุ่มค้าปลีก, อสังหาริมทรัพย์, และไฟแนนซ์ เพราะมีลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐฯ ที่อาจจะออกมาในช่วงปลายปี หรืออานิสงส์จากช่วงเทศกาลต่างๆ รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่อาจจะเกิดขึ้น ในทางกลับกัน ควรงดหรือหลีกเลี่ยงกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจภายนอก (Global cyclicals) เพราะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกยังมีอยู่สูงครับ

สำหรับกลุ่มหุ้นแนะนำที่เป็น หุ้นน่าซื้อ ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 จาก บล.ทรีนีตี้ มีหลายกลุ่มครับ
* กลุ่มหุ้นที่กำลังเข้าสู่ High season ของการบริโภคและการท่องเที่ยว เช่น HMPRO, ERW
* กลุ่มหุ้น Domestic ที่มีเงินปันผลสูง และ Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เช่น AP, ICHI
* กลุ่มกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ที่ยังมีระดับ Dividend yield และ Dividend yield gap สูง เช่น DIF, CPNREIT
* กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไป ซึ่งมักจะมีแรงซื้อเก็งกำไร เช่น COM7, SAWAD
* กลุ่มหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์โดยตรงหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เช่น AEONTS, KTC

มองเจาะลึกไปถึงเดือนตุลาคม 2567 ตลาดหุ้นไทยก็คาดว่าจะยังคงทรงตัวได้ดี แม้ Valuation จะอยู่ในระดับสูง เนื่องจากโมเมนตัมของความเชื่อมั่น และกระแสเงินทุน (Flows) ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะสภาพคล่องจากกองทุนวายุภักษ์มูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท ที่พร้อมจะเข้ามาช่วยพยุงดัชนี และปรากฏการณ์ USD carry trade (การที่นักลงทุนกู้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ดอกเบี้ยต่ำ ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า) ที่ยังคงดำเนินต่อไปหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ลดดอกเบี้ยนโยบาย

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องจับตาในเดือนตุลาคม 2567 คือการทยอยเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนประจำไตรมาส 3/2567 หากมีสัญญาณอ่อนแอ อาจเกิดการขายทำกำไรได้ และอีกปัจจัยสำคัญคือการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 16 ตุลาคม 2567 หาก กนง. ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน (Dovish) อาจทำให้เงินบาทหยุดแข็งค่า หรืออ่อนค่าลง ซึ่งอาจนำมาสู่การขายทำกำไรชั่วคราวของนักลงทุนต่างชาติได้ครับ

มองไกลไปอีกนิด เข้าสู่ปี 2568 มี หุ้นน่าซื้อ ตัวไหนที่นักวิเคราะห์มองว่ามีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ดีบ้าง ทั้งในตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นต่างประเทศ:

สำหรับ 4 หุ้นเด่นในตลาดหุ้นไทยที่น่าสนใจสำหรับปี 2568 ได้แก่
* **SPRC (บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน)):** คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น ทำให้ประมาณการกำไรต่อหุ้นฟื้นตัวเป็นบวกในปี 2568 ราคาเป้าหมายประเมินไว้ที่ 7.97 บาท
* **BTG (บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)):** ผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร มีแผนขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคที่มีศักยภาพ และขยายธุรกิจบริการอาหาร คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2568 จะเติบโตต่อเนื่อง 12% ราคาเป้าหมาย 24 บาท
* **IVL (บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)):** บริษัทปิโตรเคมีระดับโลกและผู้ผลิต PET รายใหญ่ของโลก จุดเด่นคือการมุ่งเน้นธุรกิจรีไซเคิลพลาสติก ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มความยั่งยืนทั่วโลก คาดว่าการลงทุนในด้านรีไซเคิลจะช่วยเพิ่มกำไรในอนาคต ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท
* **CPF (บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)):** ผู้นำในธุรกิจเกษตรและอาหารครบวงจร ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มราคาสินค้าปศุสัตว์ที่สูงขึ้น และความต้องการอาหารแปรรูปที่เพิ่มขึ้น คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2568 จะเติบโตต่อเนื่อง ราคาเป้าหมาย 30 บาท

นอกจาก หุ้นน่าซื้อ ในประเทศแล้ว การกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดหุ้นต่างประเทศก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่น่าสนใจ สำหรับ หุ้นน่าลงทุน ระยะยาวในต่างประเทศ มี 4 ตัวที่โดดเด่นและได้รับการจับตา:
* **Microsoft Corporation (บริษัท ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น):** ยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มเทคโนโลยีและบริการคลาวด์ (Azure) ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้หลัก นอกจากนี้ การลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในอนาคต ราคาเป้าหมาย 542 ดอลลาร์สหรัฐฯ
* **Chevron Corporation (บริษัท เชฟรอน คอร์ปอเรชั่น):** บริษัทพลังงานครบวงจรที่มีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดสูง และมีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ต่อเนื่องและน่าสนใจ โดยมีอัตราเงินปันผลประมาณ 4.50%
* **Amazon.com Inc. (บริษัท อะเมซอน ดอท คอม อิงค์):** ผู้นำทั้งในธุรกิจอีคอมเมิร์ซและบริการคลาวด์ (AWS) ซึ่ง AWS ยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักและมีอัตรากำไรสูง การลงทุนใน AI และระบบโลจิสติกส์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโต
* **Adobe Inc. (บริษัท อะโดบี อิงค์):** ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สร้างสรรค์ชั้นนำระดับโลก เช่น Photoshop, Illustrator และอื่นๆ บริษัทมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในกลุ่มปัญญาประดิษฐ์และซอฟต์แวร์บริการ (SaaS) ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ

สุดท้ายนี้ การจะเลือก หุ้นน่าซื้อ ได้จริงๆ ไม่ได้อาศัยแค่การดูรายชื่อจากโบรกเกอร์เท่านั้นนะครับ แต่หัวใจสำคัญคือการ ‘ทำการบ้าน’ ด้วยตัวเอง ศึกษาข้อมูลของบริษัทที่เราสนใจอย่างละเอียด ทั้งในเชิงคุณภาพ (ธุรกิจเป็นอย่างไร มีอนาคตไหม ผู้บริหารเก่งหรือเปล่า) และเชิงปริมาณ (ดูงบการเงิน, อัตราส่วนทางการเงินสำคัญๆ เช่น P/E Ratio, Dividend Yield, EPS, D/E Ratio, อัตรากำไรขั้นต้น) รวมถึงติดตามข่าวสารปัจจัยต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อหุ้นตัวนั้นและอุตสาหกรรมนั้นๆ ครับ

สรุปแล้ว ปี 2567 และต่อเนื่องถึงปี 2568 ตลาดหุ้นไทยยังมีกลุ่ม หุ้นน่าซื้อ ที่หลากหลายให้เลือกสรร ทั้งหุ้นปันผลสูงที่ให้กระแสเงินสดสม่ำเสมอในยามที่ตลาดผันผวน, หุ้น P/E ต่ำที่อาจจะกำลัง ‘ถูก’ เกินไปและมีโอกาสฟื้นตัว, หรือหุ้นเติบโตที่ลุ้นกำไรก้าวกระโดดในอนาคต รวมถึงหุ้นกลุ่ม Domestic ที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยบวกในประเทศ

สิ่งสำคัญที่นักลงทุนทุกคนควรทำคือ
1. **ทำการบ้าน:** ศึกษาข้อมูลบริษัทที่เราสนใจอย่างรอบด้าน
2. **กระจายความเสี่ยง:** ไม่ลงทุนในหุ้นหรือกลุ่มอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งมากจนเกินไป
3. **ลงทุนระยะยาวและทยอยสะสม:** โดยเฉพาะหากเน้นหุ้นเติบโต ต้องให้เวลาบริษัทได้พิสูจน์ตัวเอง ส่วนหุ้นปันผลก็ใช้กลยุทธ์ทยอยเก็บเมื่อราคาลงมาได้
4. **บริหารจัดการความเสี่ยง:** กำหนดจุดตัดขาดทุน (Cut loss) และเป้าหมายทำกำไร (Take profit) ที่ชัดเจน

⚠️ การลงทุนในหลักทรัพย์มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของหลักทรัพย์แต่ละตัว และปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และโปรดจำไว้ว่า ข้อมูลการแนะนำหุ้นจากบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ เป็นเพียง ‘การคาดการณ์’ และ ‘มุมมอง’ ณ เวลาหนึ่งเท่านั้น สภาวะตลาดและผลประกอบการของบริษัทอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาครับ ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างมีสติและประสบความสำเร็จครับ