เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมคะว่า ทำไมบางคนซื้อขายหุ้นแป๊บเดียวก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ในขณะที่เราลงทุนไปนานๆ กว่าจะได้เท่าเขา? หรือบางทีเห็นหุ้นตัวไหนพุ่งแรงๆ เหมือนจรวด เราเข้าไปตามก็โดนดอยซะงั้น! นั่นแหละค่ะ เรื่องราวของโลกที่เรียกว่า “หุ้น เก็ง กำไร” ซึ่งต่างจากการลงทุนแบบที่เราเคยได้ยิน
ถ้าจะเปรียบง่ายๆ นะคะ การลงทุนระยะยาวก็เหมือนการปลูกต้นไม้ใหญ่ เราเลือกต้นกล้าดีๆ ในดินที่อุดมสมบูรณ์ รดน้ำพรวนดินไปเรื่อยๆ อดทนรอจนต้นไม้โต ให้ผลผลิตเก็บกินได้นานๆ ความเสี่ยงต่ำหน่อย แต่ก็ต้องใช้เวลา ส่วน “หุ้น เก็ง กำไร” นี่สิคะ เหมือนกับการเด็ดดอกไม้ริมทางที่สวยๆ ดอกไหนกำลังบานสะพรั่งก็รีบเด็ดมาเชยชม พอจะเหี่ยวก็ปล่อยไปหาดอกใหม่ มันได้ไว สะใจ แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเด็ดผิดดอก เจอหนอน หรือเด็ดไม่ทันคนอื่น ดอกนั้นก็อาจจะเฉาไปก่อนแล้ว

จริงๆ แล้ว การลงทุนกับการเก็งกำไรในตลาดหุ้นมันมีข้อดีข้อเสียต่างกันชัดเจนเลยค่ะ การลงทุนระยะยาวเน้นบริษัทที่มั่นคง ปลอดภัย จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เหมาะกับมือใหม่ หรือคนที่อยากมีรายได้เรื่อยๆ แม้กำไรจะมาแบบช้าๆ ไม่หวือหวาเท่าไหร่ แต่การเก็งกำไรในหุ้นเน้นความรวดเร็ว มองหาหุ้นที่ราคาผันผวนสูงๆ ซื้อถูกขายแพงในเวลาสั้นๆ อันนี้ต้องอาศัยความรู้ ติดตามข่าวสารตลาดแบบนาทีต่อนาทีเลยค่ะ ข้อดีคือกำไรดี๊ดีถ้าจับจังหวะถูก แต่ข้อเสียคือเสี่ยงสูงมาก พลาดทีอาจเจ็บหนักได้เลย
แล้วหุ้นแบบไหนล่ะที่เหมาะกับการเอามา “เก็งกำไร”? ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหุ้นที่มีราคาขึ้นๆ ลงๆ แรงๆ มีสภาพคล่องหรือมีปริมาณการซื้อขาย (วอลลุ่ม) เยอะๆ ธุรกิจอาจจะมีความไม่แน่นอนหน่อย หรือขับเคลื่อนด้วยกระแสข่าว ไม่ว่าจะเป็นข่าวจริง ข่าวลือ หุ้นพวกนี้จะเป็นได้ทั้งหุ้นใหญ่ หุ้นกลาง หุ้นเล็กค่ะ คือถ้ามันมีปัจจัยให้ราคาพุ่งแรงๆ หรือลงแรงๆ มันก็เข้าข่ายหมดเลย นักเก็งกำไรนี่แหละที่เข้าไปช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาด แต่ถ้ามีคนเข้าไปเก็งกำไรมากเกินไปในหุ้นตัวเดียว ก็อาจทำให้ราคาหุ้นผันผวนจนน่าตกใจ หรือบางทีก็อาจจะก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ได้เหมือนกันนะคะ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อ้างอิงจากแหล่งความรู้ดีๆ อย่าง SET InvestNow หรือ elearning.set.or.th เลยค่ะ

ในโลกของหุ้นก็มีหลายประเภทค่ะ ไม่ใช่แค่หุ้นเก็งกำไรเท่านั้นที่โลดแล่นอยู่ในตลาด บางประเภทก็เหมาะกับการลงทุนระยะยาวมากกว่า
อย่างแรกคือ “หุ้นบลูชิพ” (Blue Chip Stock) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเหมือนชิพสีน้ำเงินซึ่งมีมูลค่าสูงที่สุดในคาสิโน หุ้นกลุ่มนี้คือบริษัทใหญ่ยักษ์ในตลาดที่เราคุ้นชื่อกันดี ผลประกอบการมั่นคงสุดๆ สถานะการเงินแข็งปั๋ง ทำกำไรได้สบายๆ แม้เศรษฐกิจจะไม่ดีนัก ราคาก็ไม่ค่อยผันผวน แถมจ่ายเงินปันผลให้เราสม่ำเสมอ ความเสี่ยงต่ำมาก เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเข้าตลาดเลยค่ะ
ถัดมาคือ “หุ้นที่เจริญเติบโตเร็ว” (Growth Stock) กลุ่มนี้มักจะเป็นบริษัทขนาดเล็กที่กำลังมาแรง มีอัตราการเติบโตของยอดขายและกำไรแบบก้าวกระโดด เค้าไม่ค่อยจ่ายเงินปันผลนะคะ เพราะเอากำไรไปต่อยอดธุรกิจให้โตขึ้นไปอีก ราคามักจะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ความนิยมในการซื้อขายก็สูงตามไปด้วย แต่ต้องระวังการไล่ราคาหน่อยค่ะ กลุ่มนี้ความเสี่ยงค่อนข้างสูง ถ้ากำไรไม่โตอย่างที่คาด ราคาอาจจะร่วงแรงได้เลย
แล้วก็มี “หุ้นวัฏจักร” (Cyclical Stock) ชื่อก็บอกตรงๆ เลยว่าราคาจะขึ้นลงตามวัฏจักรเศรษฐกิจค่ะ เศรษฐกิจดี บริษัทก็กำไรดี เศรษฐกิจซบเซา บริษัทก็เงียบเหงาตาม ผลประกอบการไม่คงที่ ความเสี่ยงเลยสูงค่ะ สิ่งสำคัญของการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้คือ ต้องจับจังหวะเข้า-ออกให้ดีๆ มักจะเป็นหุ้นที่อิงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก เช่น หุ้นน้ำมัน ถ่านหิน หรือสายการบิน พอราคาสินค้าพวกนี้ขึ้น หุ้นก็ขึ้น เหมาะกับการ “เก็งกำไร” ตามรอบวัฏจักรมากกว่า
อีกกลุ่มคือ “หุ้นตั้งรับ” (Defensive Stock) หุ้นพวกนี้ราคาจะไม่ค่อยแกว่งตามภาวะเศรษฐกิจเท่าไหร่ค่ะ ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ไม่หวือหวา แต่มั่นคงมาก อย่างพวกสาธารณูปโภค โรงพยาบาล ที่ยังไงคนก็ยังต้องใช้บริการ ความต้องการไม่ผันผวนมากนัก กลุ่มนี้ความเสี่ยงต่ำ โอกาสทำกำไรสูงๆ ก็ไม่มากนัก เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยงสูงๆ ควรเข้าลงทุนช่วงที่ตลาดหุ้นมีแนวโน้มขาลงจะดีค่ะ
และสุดท้ายก็คือ “หุ้นเก็งกำไร” (Speculative Stock) ตรงๆ ตัวเลยค่ะ หุ้นกลุ่มนี้มักจะเป็นบริษัทที่ไม่มีประวัติผลประกอบการที่ดี หรือยังไม่มีอะไรมาพิสูจน์ว่าในอนาคตจะทำกำไรได้จริงๆ ความเสี่ยงสูงปรี้ด กำไรไม่แน่นอน ราคาผันผวนสุดๆ ผู้ที่ซื้อหุ้นกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ต้องรับความเสี่ยงได้สูงมาก และมักจะตั้งสมมติฐานบนความเชื่อ หรือความคาดหวังบางอย่างที่ยังไม่มีบทวิเคราะห์รองรับ ราคาหุ้นอาจจะพุ่งขึ้นสูงโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานมารองรับเลยค่ะ หุ้นพวกนี้ซื้อขายกันเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นล้วนๆ ต้องติดตามข่าวสารและราคาหุ้นแบบไม่กะพริบตาเลย

ถ้าจะมุ่งมั่นสู่เส้นทาง “เก็งกำไร” ในหุ้น ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือและกลยุทธ์นิดหน่อยค่ะ ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อตามเพื่อนอย่างเดียว วิธีนึงที่น่าสนใจคือการใช้ DW (Derivative Warrant หรือใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์) มาช่วย “เก็งกำไร” หุ้นพื้นฐาน ฟังดูงงๆ ใช่ไหมคะ? DW ก็เหมือนเราไปลงทุนในหุ้นตัวที่เราสนใจนั่นแหละค่ะ แต่ที่พิเศษคือมันมี “อัตราทด” สูง ยิ่งอัตราทดสูงเท่าไหร่ ราคา DW ก็ยิ่งวิ่งแรงตามราคาหุ้นอ้างอิงเท่านั้น สมมติเราคิดว่าหุ้น KBANK จะขึ้น ถ้าซื้อหุ้น KBANK โดยตรง ราคาขึ้นนิดเดียวเราได้กำไรนิดเดียว แต่ถ้าเราซื้อ Call DW ของ KBANK ที่มีอัตราทดสูงๆ เช่น 7.63 เท่า (ตัวอย่างจากข้อมูลเดือน มี.ค. 2567 บนเว็บ thaiwarrant.com) ราคาหุ้น KBANK ขยับขึ้นเท่ากัน เราอาจได้กำไรจาก DW มากกว่าหุ้นจริงๆ ถึงเกือบ 10 เท่าเลยนะคะ! แต่ย้ำว่า “ความเสี่ยงสูง” ค่ะ ถ้าหุ้นที่เราคาดผิดทาง DW ก็จะร่วงแรงกว่าหุ้นปกติหลายเท่าตัวเหมือนกัน ขาดทุนหนักได้ง่ายๆ เลย
อีกเครื่องมือที่นักเก็งกำไรใช้หาก็คือพวกโปรแกรมสแกนหุ้น อย่าง efin StockPickUp Pro ก็มี Template ชื่อ “Scan Turn around up 2” (สำหรับสมาชิกระดับ Platinum) ที่ช่วยสแกนหาหุ้นที่เค้าคาดว่าจะให้กำไรสูงสุดในระยะยาว แต่จริงๆ ก็เอามาเป็นไอเดียสำหรับ “เก็งกำไร” ได้เหมือนกันค่ะ Template นี้จะช่วยมองหาหุ้นที่กำไรเพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากแย่ๆ และกราฟเทคนิคกำลังส่งสัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น เช่น กรณีศึกษาหุ้น AAI (ข้อมูล ณ 1 ต.ค. 2567) พบว่ากำไรไตรมาส 2 ปี 67 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน กราฟก็เป็นขาขึ้นจริง แต่ก็มีข้อควรระวังคือมีแรงขายอยู่บ้าง นักลงทุนต่างชาติก็ยังขายต่อเนื่อง และแนวโน้มกำไร 4 ไตรมาสล่าสุดยังคงที่อยู่ดี การใช้เครื่องมือพวกนี้ช่วยให้เราหาไอเดียได้เร็วขึ้น แต่ก็ต้องเอาไปทำการบ้าน วิเคราะห์ต่อเองนะคะ หุ้นที่ยกมาเป็นแค่ตัวอย่าง *ไม่ใช่คำแนะนำให้ซื้อขาย* และผลตอบแทนในอดีตก็ไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคตด้วย
มองหาหุ้นเก็งกำไรช่วงนี้มีธีมอะไรน่าสนใจบ้าง? ถ้ามองไปตลาดต่างประเทศปี 2025 กลุ่มหุ้นที่เกี่ยวกับ AI ยังคงเป็นที่จับตาค่ะ อย่าง Microsoft, Apple (ที่เริ่มเอา AI ใส่ใน iOS), Nvidia (ขาใหญ่ AI ชัดๆ), Micron, Intel หรือแม้แต่ Meta และ Amazon พวกนี้ราคาหุ้นมักจะวิ่งแรงตามข่าวสารหรือผลประกอบการที่เกี่ยวข้องกับ AI หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ นักเก็งกำไรระยะสั้นชอบเลยค่ะ เพราะราคาเหวี่ยงแรง ทำกำไรได้เร็ว ถ้าจับจังหวะได้ดี (อ้างอิงข้อมูลจาก thaiwarrant.com)
ส่วนในตลาดหุ้นไทยเองก็มีธีมตามฤดูกาลที่น่าสนใจให้ “เก็งกำไร” ได้เหมือนกันนะคะ อย่างใกล้ๆ นี้ก็คือช่วงฤดูร้อนปี 2568 ที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่าอากาศจะร้อนจัดช่วงปลาย ก.พ. – กลาง พ.ค. อุณหภูมิสูงถึง 35-36 องศา ความร้อนนี้แหละค่ะ เป็นตัวกระตุ้นให้คนซื้อเครื่องดื่มดับร้อน ความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างพัดลม แอร์ ก็พุ่ง หรือแม้แต่งานก่อสร้างก็เร่งส่งมอบได้ดีกว่าหน้าฝน การท่องเที่ยวทะเลก็คึกคักเป็นพิเศษ
บทวิเคราะห์จาก บล.กรุงศรี เคยทำสถิติย้อนหลัง 9 ปี (ถึงปี 2567) พบว่าถ้าเราเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากฤดูร้อนช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.พ. แล้วขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. ถึงต้น เม.ย. จะให้ผลตอบแทนดีที่สุดค่ะ โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมมีความน่าจะเป็นที่จะได้กำไรถึง 87.5% เฉลี่ย 3.7% กลุ่มรับเหมาเฉลี่ย 1.6% กลุ่มค้าปลีกเฉลี่ย 1.2% ซึ่งทาง บล.กรุงศรี ก็เคยแนะนำหุ้นที่น่าสนใจในธีมนี้ อย่าง CRC, ICHI, SAPPE (กลุ่มเครื่องดื่ม/ค้าปลีก) หรือ CENTEL, MINT (กลุ่มโรงแรม) และ HMPRO (กลุ่มค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้า) รวมถึงหุ้น Turnaround ที่ได้อานิสงส์หน้าร้อน อย่าง MALEE ค่ะ (ข้อมูลอ้างอิงจากบทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี)
นอกจากนี้ ยังมีมุมมองจาก บล.ทรีนีตี้ ที่เคยคัด 10 หุ้นไทยที่เรียกว่า “หุ้นปลอดภัย” สำหรับนักลงทุนระยะสั้น (ข้อมูล ณ 6 ก.ย. 2567) ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยดูดีจากปัจจัยในประเทศ หุ้นกลุ่มนี้ผ่านเกณฑ์การคัดกรองหลายข้อ เช่น ต้องเป็นหุ้นใน SET Index มี Market cap ใหญ่กว่า 2 หมื่นล้านบาท มี Turnover การซื้อขายสูง มี Free float มากกว่า 30% (สัดส่วนหุ้นที่รายย่อยซื้อขายได้จริง) ที่สำคัญคือมี Dividend yield (อัตราเงินปันผลตอบแทน) คาดการณ์สูงกว่า 3% ทั้งปีนี้และปีหน้า และราคา Forward PE (ราคาต่อกำไรคาดการณ์) ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ย้อนหลัง หุ้น 10 ตัวที่ผ่านเกณฑ์ (เรียงตาม Market cap) ได้แก่ BBL, HMPRO, KTC, LH, OSP, EGCO, JMT, AMATA, JMART, และ ICHI ค่ะ (ข้อมูลอ้างอิงจากบทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้) กลุ่มนี้อาจไม่ได้หวือหวาแบบ “หุ้น เก็ง กำไร” จ๋าๆ แต่ก็เป็นไอเดียสำหรับคนที่มองหาหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี มีปันผล และยังมีอัพไซด์อยู่บ้างสำหรับเทรดระยะสั้นค่ะ
สรุปแล้ว การ “เก็งกำไร” ในหุ้นไม่ใช่เรื่องผิดค่ะ แต่มันคือกลยุทธ์หนึ่งที่มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนระยะยาวมาก มันเหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้สูง มีเวลาติดตามตลาดตลอด มีความรู้ในการวิเคราะห์ ไม่ว่าจะใช้กราฟเทคนิค หรือตามข่าวสารเฉพาะตัว
ถ้าคุณคิดจะกระโดดเข้าสู่สนามเก็งกำไร ลองถามตัวเองก่อนว่าเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน? เรามีเวลามาเฝ้าจอตามราคาหุ้นรึเปล่า? มีความรู้ที่จะวิเคราะห์เองได้ไหม? เริ่มต้นจากเงินจำนวนน้อยๆ ที่เสียได้ก็ไม่กระทบชีวิตมากนัก และที่สำคัญคือต้องมีวินัยในการตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ถ้าผิดทางก็ต้องกล้าตัดค่ะ
⚠️ จำไว้เสมอว่า การลงทุนและการเก็งกำไรมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และผลตอบแทนในอดีตก็ไม่สามารถยืนยันผลตอบแทนในอนาคตได้ร้อยเปอร์เซ็นต์นะคะ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆ มองภาพ “หุ้น เก็ง กำไร” ได้ชัดเจนขึ้นค่ะ!