จับตาวันเปิดฮั่งเส็งบ่าย! ผันผวนสูง เสี่ยงปรับฐาน ต้องรู้ก่อนเทรด! (ตารางเปิดฮั่งบ่าย)

ช่วงนี้เปิดข่าวมาทีไร ใจตุ้มๆ ต่อมๆ ตลาดหุ้นดูไม่สดใสเหมือนเคยเลยว่าไหมครับ? หลายคนอาจจะเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศการลงทุนมันดูอึมครึมๆ มีแต่ข่าวปัจจัยลบเข้ามากดดัน ยิ่งพอหันไปมองตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดในเอเชียด้วยแล้วเนี่ย ดูเหมือนจะโดนแรงกดดันขาลงกันเป็นแถว

สาเหตุหลักๆ ก็วนเวียนอยู่กับเรื่อง ‘ดอกเบี้ย’ ที่มีแนวโน้มจะยังคงสูงขึ้น และ ‘เศรษฐกิจ’ ที่ดูเหมือนจะชะลอตัวลงกว่าที่คาดไว้ บรรยากาศแบบนี้ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะ ‘ถอย’ หรือ ‘ชะลอ’ การลงทุนออกไปก่อน ทำให้แรงขายในตลาดมีน้ำหนักมากขึ้น

ลองนึกภาพง่ายๆ เหมือนเวลาเรากำลังจะวิ่งแข่ง แต่กรรมการบอกว่าจะปรับกติกาให้ยากขึ้น แถมพื้นสนามก็ดูจะลื่นๆ ตลาดหุ้นทั่วโลกตอนนี้ก็อารมณ์ประมาณนี้แหละครับ โดยเฉพาะตลาดหุ้นฮ่องกง ที่หลายคนจับตาดูความเคลื่อนไหวของ ตารางเปิดฮั่งบ่าย กันตาไม่กะพริบ เพราะดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index, 恒生指數) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของตลาดนี้ กำลังอยู่ในภาวะที่ค่อนข้างผันผวนและมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงมาได้อีก ข้อมูลจากหลายสำนักข่าวชั้นนำอย่าง Financial Times, Bloomberg, และ Reuters ก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ตลาดอยู่ในสภาวะระมัดระวัง

เรื่องดอกเบี้ยนี่ไม่ใช่แค่เดากันไปเดากันมานะครับ นโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักๆ ทั่วโลกยังคงมีแนวโน้ม ‘เข้มงวด’ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่ยังคงเป็นปัญหาอยู่ นักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตาดู ‘รายงานการประชุม’ ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed minutes) กันอย่างใกล้ชิด เพื่อหา ‘ร่องรอย’ หรือ ‘สัญญาณ’ ว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคตจะเป็นอย่างไร จะขึ้นต่ออีกนานไหม หรือจะเริ่มชะลอตัวลงเมื่อไหร่ การสื่อสารของธนาคารกลางจึงเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนติดตาม เพราะมันมีผลต่อความเชื่อมั่นและทิศทางการลงทุนโดยตรง

ขณะเดียวกัน ในฝั่งเอเชีย ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ก็มีบทบาทที่น่าสนใจนะ ล่าสุดเห็นมีข่าวว่า BOJ ต้องเข้า ‘ดูแล’ ตลาดพันธบัตรของตัวเอง เพื่อรักษาระดับยีลด์ (Yield หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร) ไม่ให้มันพุ่งกระฉูดเกินไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการดูแลเสถียรภาพตลาดการเงินภายในประเทศ ท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอก

แล้วตัวเลขเศรษฐกิจล่ะ? ก็เป็นอีกปัจจัยที่เสริมให้ภาพตลาดไม่ค่อยสดใสนัก ล่าสุดข้อมูลจากฝั่งอเมริกาเองก็ยังบอกว่า ‘แรงกดดันเงินเฟ้อ’ ยังคงอยู่ ไม่ได้ลดลงง่ายๆ อย่างที่หลายคนหวัง นี่แหละตัวการสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มจะยังคงเข้มงวดเรื่องดอกเบี้ยต่อไป เพื่อสกัดเงินเฟ้อให้ได้

แม้แต่ตัวเลขเศรษฐกิจในเอเชียเองก็ส่งสัญญาณที่น่ากังวลเหมือนกัน อย่างข้อมูลภาคการผลิตของญี่ปุ่นที่เพิ่งออกมาก็ส่งสัญญาณ ‘หดตัว’ ให้เห็น ซึ่งสะท้อนความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ฝั่งตะวันตกเท่านั้น แต่ลามมาถึงภูมิภาคนี้แล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลาง และส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก

ทีนี้มาเจาะจงที่ตลาดหุ้นฮ่องกงกันบ้าง หัวใจหลักที่นักลงทุนทั่วโลกใช้เป็นมาตรวัดก็คือ ‘ดัชนีฮั่งเส็ง’ (Hang Seng Index หรือ HSI, 恒生指數) ดัชนีนี้เปรียบเสมือน ‘บารอมิเตอร์’ วัดสุขภาพตลาดหุ้นฮ่องกงเลยก็ว่าได้ มันคือการเอาหุ้นของ ‘บริษัทใหญ่ๆ’ ที่สุด 40 บริษัทในฮ่องกงมารวมๆ กัน แล้วดูว่าภาพรวมแล้วราคาหุ้นพวกนี้ขึ้นหรือลง จัดทำโดยบริษัทในเครือธนาคารฮั่งเส็ง (Hang Seng Bank) ครอบคลุมมูลค่าตลาดไปกว่า 65% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดเลยนะ

ในกลุ่มบริษัทที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีฮั่งเส็งก็มีหลากหลายธุรกิจแบ่งเป็น 4 หมวดหลักๆ คือ พาณิชย์และอุตสาหกรรม, การเงิน, สาธารณูปโภค, และอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ดัชนีนี้ค่อนข้างสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจและธุรกิจขนาดใหญ่ในฮ่องกงได้เป็นอย่างดี

ดัชนีฮั่งเส็งมีการเคลื่อนไหวผันผวนตามปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ที่เผชิญแรงกดดันจากเรื่องดอกเบี้ยและเศรษฐกิจโลก อย่างราคาล่าสุดก็วนๆ อยู่แถวๆ สองหมื่นต้นๆ ซึ่งก็ห่างจากจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่เคยไปแตะเกือบ 33,000 จุดเมื่อปี 2018 อยู่พอสมควร การเคลื่อนไหวของดัชนีนี้ถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิดตลอดวันซื้อขาย โดยเฉพาะช่วงเปิดตลาดบ่าย ซึ่งข้อมูลจาก ตารางเปิดฮั่งบ่าย เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจและวางแผนการเทรด

อย่างที่บอก ดัชนีฮั่งเส็งช่วงนี้ค่อนข้างเปราะบาง แรงขายยังมีอยู่ อย่างข่าวหุ้นใหญ่อย่าง Alibaba Group Holding (อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิงส์) ที่ปรับตัวลงแรงก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดดัชนีลงมาให้เห็นความอ่อนแอของตลาด

แต่ในความผันผวนนี้เอง ก็มีเครื่องมือที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทยที่ต้องการเก็งกำไรหรือบริหารความเสี่ยงในตลาดฮ่องกง อย่าง ‘ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์’ หรือที่เรียกกันติดปากว่า ‘DW’ (Derivative Warrant) DW เปรียบเสมือน ‘ตั๋ว’ ที่อ้างอิงกับราคาหุ้นหรือดัชนีอย่างฮั่งเส็งนี่แหละครับ ข้อดีคือใช้เงินลงทุนไม่เยอะเท่าซื้อหุ้นหรือดัชนีโดยตรง แต่สามารถเก็งกำไรได้ทั้งตอนที่ราคาหุ้น/ดัชนีขึ้น (เราเรียก DW ประเภทนี้ว่า Call DW) หรือตอนที่ราคาหุ้น/ดัชนีลง (เราเรียก DW ประเภทนี้ว่า Put DW)

ล่าสุด เห็นมีบริษัทหลักทรัพย์อย่าง บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ออก HSI DW รุ่นใหม่ๆ มาให้นักลงทุนไทยได้เลือกใช้เป็นทางเลือกในการบริหารความเสี่ยง หรือเพิ่มโอกาสทำกำไรในตลาดฮ่องกงที่กำลังเหวี่ยงๆ แบบนี้

แต่ต้องย้ำเลยนะว่า DW มี ‘อัตราทด’ (Leverage) สูงมากๆ หมายถึงถ้าทิศทางเป็นไปตามที่เราคาด กำไรก็จะแรงและรวดเร็ว แต่ถ้าทิศทางผิดไปจากที่เราคาด ขาดทุนก็จะแรงและรวดเร็วตามไปด้วยเช่นกัน ถ้าเข้าใจกลไกและบริหารความเสี่ยงไม่ดี อาจจะ ‘หมดตัว’ ได้ง่ายๆ เลยนะ เป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจและระมัดระวังเป็นพิเศษ

ไหนๆ ก็พูดถึงตลาดการเงินในฮ่องกงแล้ว ข้อมูลอื่นๆ ที่น่ารู้ก็มีเรื่องที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของฮ่องกง (SFC) กำลังเปิดรับฟังความคิดเห็นว่าจะอนุญาตให้แพลตฟอร์มซื้อขาย ‘คริปโทฯ’ (เงินดิจิทัล) ให้บริการแก่นักลงทุนรายย่อยได้หรือเปล่า อันนี้ก็น่าจับตาดูว่าฮ่องกงจะกลายเป็นฮับคริปโทฯ อีกแห่งในเอเชียไหม ซึ่งอาจจะส่งผลต่อภาพรวมตลาดคริปโทฯ ในภูมิภาคนี้ได้

และสำหรับใครที่เทรดในตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกงหรือไต้หวัน อย่าลืมเช็ค ‘ปฏิทินวันหยุดตลาด’ ด้วยนะครับ วันหยุดของตลาดหุ้นต่างประเทศไม่เหมือนกับบ้านเราเป๊ะๆ จะได้ไม่พลาดช่วงเวลาซื้อขายสำคัญ หรือต้องมานั่งงงว่าทำไมวันนี้ตลาดไม่เปิด

สรุปง่ายๆ ว่า ตอนนี้ตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงฮ่องกง ยังอยู่ในช่วงที่ต้อง ‘ระมัดระวัง’ เป็นพิเศษครับ ปัจจัยหลักๆ คือเรื่องดอกเบี้ยที่ยังเป็นขาขึ้น เศรษฐกิจที่ดูไม่สดใสเท่าที่ควร ทำให้แรงขายยังมีน้ำหนัก และตลาดก็มีความผันผวนสูง ดัชนีฮั่งเส็งเองก็สะท้อนภาพนี้อย่างชัดเจน

สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจตลาดนี้ หรือติดตาม ตารางเปิดฮั่งบ่าย อยู่เป็นประจำ สิ่งสำคัญที่สุดในภาวะแบบนี้คือ ‘อย่าเพิ่งใจร้อน’ หรือ ‘อย่าใช้อารมณ์’ ในการตัดสินใจครับ

สิ่งที่ควรทำคือ:
1. **ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน:** ติดตามข่าวสารแนวโน้มตลาด นโยบายของธนาคารกลางต่างๆ (Fed, BOJ) ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ อย่างใกล้ชิด
2. **ทำความเข้าใจเครื่องมือที่จะใช้:** ถ้าคิดจะใช้เครื่องมือที่มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงอย่าง DW ต้องศึกษา ‘กลไก’ การทำงาน ‘อัตราทด’ และ ‘ความเสี่ยง’ ที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนตัดสินใจ
3. **ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้:** การลงทุนในภาวะตลาดผันผวนมีความเสี่ยงสูงมาก ต้องประเมินดูว่าถ้าขาดทุน เราจะรับไหวแค่ไหน
4. **กระจายความเสี่ยง:** อย่าเอาเงินลงทุนทั้งหมดไปทุ่มไว้ที่สินทรัพย์เดียว หรือตลาดเดียว ลองแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ หรือตลาดอื่นๆ ที่อาจจะมีทิศทางการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต

การลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงหรือตลาดต่างประเทศอื่นๆ ในช่วงเวลานี้ ต้องใช้ความรอบคอบมากกว่าปกติครับ เหมือนเวลาขับรถบนถนนเปียก ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้าเราประมาท อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ เลย

⚠️ **เตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน** โดยเฉพาะในภาวะตลาดที่ผันผวนสูงมากๆ แบบนี้ และเครื่องมืออย่าง DW มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในหุ้นปกติมาก อาจทำให้เงินลงทุนหมดไปอย่างรวดเร็วได้ ควรทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนลงทุนเสมอครับ