เปิดโลก โปรแกรมเทรดหุ้น: เลือกยังไงให้กำไรปัง!

ยุคนี้การลงทุนในหุ้นไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้วนะครับเพื่อนๆ จำภาพสมัยก่อนได้ไหม? ที่เวลาจะซื้อจะขายหุ้นที ต้องเดินไปที่บริษัทหลักทรัพย์ (ที่หลายคนเรียกว่า โบรกเกอร์) แล้วไปยืนจ้องกระดาน หรือบางทีก็นั่งเฝ้าหน้าจอคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ๆ ในห้องที่คนเยอะๆ นั่นน่ะ มันหมดยุคไปแล้ว!

เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะโลกหมุนเร็วขึ้น เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนทุกสิ่ง ขนาดร้านค้ายังต้องไปอยู่บนออนไลน์ นับประสาอะไรกับตลาดหุ้น จริงไหมครับ? การเทรดหุ้นทุกวันนี้ย้ายมาอยู่ในมือเราเกือบทั้งหมด ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ หรือ โปรแกรมเทรดหุ้น บนคอมพิวเตอร์ ทำให้เราเข้าถึงข้อมูล ส่งคำสั่งซื้อขายได้ “เรียลไทม์” หรือแบบทันทีทันใด สะดวกรวดเร็วเหมือนสั่งข้าวออนไลน์เลยล่ะครับ

แล้วไอ้ “เทรดหุ้นออนไลน์” เนี่ย มันคืออะไรกันแน่? อธิบายง่ายๆ มันก็คือการที่เราซื้อขายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ตนี่แหละครับ เวลาเราซื้อหุ้น เราก็ได้เป็นเจ้าของบริษัทนั้นๆ ตามสัดส่วนเล็กๆ ได้ลุ้นทั้งส่วนต่างราคา (ซื้อถูกขายแพง) และเงินปันผล (บริษัทแบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้น) การซื้อขายพวกนี้ไม่ได้ทำกันเองตรงๆ นะครับ เราต้องไปเปิดบัญชีลงทุน หรือที่เรียกกันว่า “เปิดพอร์ต” กับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ก่อน เหมือนมีตัวแทนที่ได้รับอนุญาตคอยดูแลให้ พอเราจะซื้อจะขาย เราก็ใช้ โปรแกรมเทรดหุ้น หรือแอปฯ ที่โบรกเกอร์ให้มาเนี่ยแหละครับ กดปุ๊บ คำสั่งก็วิ่งไปหาโบรกเกอร์ แล้วส่งต่อไปที่ตลาดหลักทรัพย์ทันที

จะเห็นว่า โปรแกรมเทรดหุ้น นี่แหละคือหัวใจสำคัญของการลงทุนในยุคดิจิทัลนี้ เพราะมันคือ “ด่านหน้า” ที่เราจะใช้ตัดสินใจและส่งคำสั่งต่างๆ การเลือกใช้ โปรแกรมเทรดหุ้น ที่เหมาะสมกับสไตล์ของเราจึงสำคัญมากๆ เหมือนเลือกเครื่องมือทำมาหากินนั่นแหละครับ ถ้าเครื่องมือดี ชีวิตก็ง่ายขึ้นเยอะ

**เลือก โปรแกรมเทรดหุ้น อย่างไรดี? คู่มือฉบับบ้านๆ**

คำถามต่อมาที่หลายคนสงสัยคือ “แล้วจะเลือกแอปฯ หรือ โปรแกรมเทรดหุ้น ตัวไหนดีล่ะ?” โอ้โห! ตลาดบ้านเราตอนนี้มีให้เลือกเยอะแยะไปหมด จนตาลายไปหมดเลยใช่ไหมครับ? ไม่ต้องห่วงครับ ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่คลุกคลีในวงการมานาน ผมมีหลักง่ายๆ มาแนะนำเหมือนตอนเราจะเลือกซื้อของชิ้นสำคัญนี่แหละครับ

ลองคิดภาพว่าเรากำลังจะซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่สักเครื่อง เราดูอะไรบ้างครับ? ฟังก์ชัน ความสวยงาม ความปลอดภัย ความเร็ว ศูนย์บริการ ราคา… การเลือก โปรแกรมเทรดหุ้น ก็คล้ายๆ กันเลยครับ

1. **ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกครบครัน:** อันนี้สำคัญมากครับ โปรแกรมเทรดหุ้น ที่ดีควรมีข้อมูลและเครื่องมือที่เราต้องใช้ครบจบในตัว เช่น
* **ข้อมูลและข่าวสารแบบเรียลไทม์:** จะซื้อขายหุ้นทั้งที ต้องรู้ความเคลื่อนไหวล่าสุด ข่าวสารสำคัญที่อาจกระทบราคา ถ้าแอปฯ มีให้ดูตลอดเวลา เราก็ตัดสินใจได้เร็วขึ้นครับ
* **กราฟเทคนิคและเครื่องมือวิเคราะห์:** สำหรับนักลงทุนสายเทคนิค กราฟนี่เหมือนแผนที่เลยครับ ต้องดูกราฟได้หลายแบบ ใส่ Indicator (ตัวชี้วัด) ต่างๆ ได้ วิเคราะห์แนวโน้มได้ ถ้า โปรแกรมเทรดหุ้น มีเครื่องมือพวกนี้ให้ใช้เยอะๆ ก็สบายขึ้นเยอะ
* **ระบบ Auto Trade หรือตั้งคำสั่งอัตโนมัติ:** อันนี้เจ๋งมากครับ เราสามารถตั้งราคาซื้อหรือขายล่วงหน้าไว้ได้เลย พอราคาถึงที่ตั้งไว้ โปรแกรมก็จะส่งคำสั่งให้เอง เราไม่ต้องมานั่งเฝ้าจอทั้งวัน สะดวกมากๆ ครับ
* **ฟังก์ชันสแกนหุ้น (Stock Screener):** บาง โปรแกรมเทรดหุ้น มีเครื่องมือช่วยคัดกรองหุ้นตามเงื่อนไขที่เราตั้งไว้ เช่น งบการเงินดี P/E ต่ำ หรือกำลังมีสัญญาณทางเทคนิคที่น่าสนใจ อันนี้ช่วยประหยัดเวลาค้นหาหุ้นได้เยอะเลย

2. **ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ:** เงินของเราอยู่ใน โปรแกรมเทรดหุ้น นะครับ เรื่องนี้สำคัญที่สุด!
* **ระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล:** ต้องมีการเข้ารหัสข้อมูลการทำธุรกรรมที่แน่นหนา เหมือนระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคารเลยครับ
* **รักษาความเป็นส่วนตัว:** ข้อมูลการเงินของเราเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ โปรแกรมต้องรับประกันได้ว่าจะไม่ถูกเปิดเผย
* **โบรกเกอร์ที่รองรับ:** โดยทั่วไป โปรแกรมเทรดหุ้น ยอดนิยมมักจะรองรับหลายโบรกเกอร์ แต่บางแอปฯ ก็ใช้ได้เฉพาะกับโบรกเกอร์ของตัวเองเท่านั้น เราต้องดูว่าโบรกเกอร์ที่เราใช้ หรือจะใช้ สามารถเชื่อมต่อกับ โปรแกรมเทรดหุ้น ตัวนั้นได้ไหม

3. **ความเสถียรและความรวดเร็ว:** ลองคิดดูสิครับ ถ้าเราจะซื้อหุ้นตอนที่ราคากำลังพุ่งแรง แล้ว โปรแกรมเทรดหุ้น ดันค้าง หรือ Error ส่งคำสั่งไม่ได้… โอกาสทองก็หายวับไปเลยครับ!
* **ส่งคำสั่งได้รวดเร็ว:** อันนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะสายเทรดสั้น หรือ Day Trade ครับ
* **ไม่แฮงก์ ไม่ Error บ่อย:** โปรแกรมต้องมีความเสถียร ใช้งานได้ลื่นไหล ลองเช็คจากรีวิวของผู้ใช้งานคนอื่นๆ ก่อนตัดสินใจดูก็ได้ครับ

4. **ค่าธรรมเนียม:** เรื่องเงินๆ ทองๆ นี่ละครับ ตัวแปรสำคัญที่กระทบกำไรของเราโดยตรง!
* **ค่าธรรมเนียมบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์):** แต่ละโบรกเกอร์คิดค่าธรรมเนียมไม่เท่ากัน บางโบรกเกอร์อาจมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำในการซื้อขายด้วย
* **ค่าธรรมเนียมอื่นๆ:** เช่น ค่าธรรมเนียมตลาดหลักทรัพย์, ค่าธรรมเนียมการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ (Clearing & Settlement Fee), ค่าธรรมเนียมการกำกับดูแล (Regulatory Fee) และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดรวมไปกับค่าธรรมเนียมโบรกเกอร์แล้ว
* **ผลกระทบต่อกำไร:** แม้ค่าธรรมเนียมจะดูน้อยๆ ในแต่ละครั้ง แต่ถ้ารวมๆ กันหลายๆ ไม้ หรือเทรดบ่อยๆ ค่าธรรมเนียมที่สูงก็อาจกัดกินกำไรของเราไปได้เยอะเหมือนกันนะครับ
* **ข้อแลกเปลี่ยน:** บางโบรกเกอร์ที่ค่าธรรมเนียมสูงหน่อย อาจมีข้อดีตรงที่มีบทวิเคราะห์ที่ละเอียด เครื่องมือวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม หรือบริการที่ดีกว่า เราก็ต้องชั่งน้ำหนักดูครับ

หลักการพวกนี้แหละครับ ที่จะช่วยให้เราคัดเลือก โปรแกรมเทรดหุ้น หรือแอปฯ ที่จะมาเป็นคู่หูในการลงทุนของเราได้

**เปิดขบวนพาเหรด โปรแกรมเทรดหุ้น ยอดนิยมในไทย (อัปเดต 2025!?)**

เอาล่ะครับ มาถึงช่วงเวลาที่หลายคนรอคอย เรามาดูกันว่า โปรแกรมเทรดหุ้น ตัวไหน แอปฯ ไหน ที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนไทยช่วงปี 2025 นี้ (อ้างอิงจากข้อมูลที่มีการรวบรวมมาล่าสุด) แต่ละตัวก็มี “คาแรคเตอร์” และจุดเด่นต่างกันไป ลองดูว่าตัวไหนจะตรงใจเราบ้างครับ

* **Streaming:** ถ้าพูดถึง โปรแกรมเทรดหุ้น หรือแอปเทรดหุ้นในไทย ชื่อแรกๆ ที่โผล่มาต้องมี Streaming แน่นอนครับ แอปฯ นี้พัฒนาโดย Settrade ซึ่งเป็นบริษัทลูกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเลยนะ ใช้ได้กับโบรกเกอร์เกือบทุกแห่งในไทย ฟังก์ชันนี่เรียกว่าครบเครื่องจริงๆ ครับ ทั้งข้อมูลเรียลไทม์ กราฟวิเคราะห์ขั้นสูง แจ้งเตือนราคา/คำสั่งจับคู่ มีระบบ DCA Order (ทยอยลงทุนแบบสม่ำเสมอ) ตั้งเวลาซื้อขายล่วงหน้าได้ แถมมีข่าวสาร บทวิเคราะห์ให้อ่านด้วย และที่สำคัญคืออัปเดตเวอร์ชันปี 2025 นี่เห็นว่ามีระบบแจ้งเตือนที่ใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์กราฟให้ด้วยนะ! จุดเด่นคือความเสถียรและฟังก์ชันที่หลากหลาย ทำให้เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับครับ
* **efin Trade Plus:** ตัวนี้ก็เก๋าเกมไม่แพ้กันครับ เป็น โปรแกรมเทรดหุ้น ที่ใช้งานได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์ (efin Trade) และมือถือ (efin Mobile หรือ efin Trade Plus) จุดเด่นของ efin คือข้อมูลที่แน่นปึ้ก โดยเฉพาะข้อมูลพื้นฐาน บทวิเคราะห์ และข่าวสารจากสำนักข่าว eFinance Thai ที่อัปเดตเร็วมาก มีฟังก์ชัน AI Learning History ที่ช่วยวิเคราะห์การลงทุนของเรา และ Auto Trade ที่ตั้งค่าได้หลากหลายมากครับ หน้าตาโปรแกรมอาจจะดูจริงจังหน่อย เหมาะกับนักลงทุนที่เน้นข้อมูลละเอียด หรือสายเทคนิคที่ชอบเครื่องมือเยอะๆ ครับ
* **Liberator:** น้องใหม่มาแรงที่เขย่าวงการ โปรแกรมเทรดหุ้น บ้านเราเลยครับ จุดเด่นสุดๆ คือ “ค่าคอมมิชชั่น 0%” สำหรับการซื้อขายหุ้นไทย! (จ่ายแค่ค่าธรรมเนียมตลาดหลักทรัพย์และ VAT ตามที่กฎหมายกำหนด) ทำให้ต้นทุนการเทรดถูกลงไปเยอะมาก เหมาะกับสายที่เทรดบ่อยๆ ครับ นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยี AI มาช่วยสแกนหุ้น คัดกรองหุ้น และมีเครื่องมือวิเคราะห์กราฟให้ใช้ฟรีด้วยครับ โบรกเกอร์นี้ยังมีแผนจะเพิ่มฟังก์ชันอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกในอนาคตด้วยนะ
* **Dime!:** แอปฯ จากบริษัทหลักทรัพย์ KKP Dime ครับ เดิมทีตัวนี้ดังมาจากการที่ให้ซื้อขายหุ้นต่างประเทศ (โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ) ได้ง่ายมาก เริ่มต้นแค่ 50 บาทก็ลงทุนหุ้นระดับโลกได้แล้ว! ล่าสุด Dime! ก็ขยายมาให้บริการซื้อขายหุ้นไทย กองทุนรวม และสินทรัพย์อื่นๆ เพิ่มเติมแล้วครับ จุดเด่นคืออินเทอร์เฟซใช้งานง่ายมากๆ ค่าธรรมเนียมค่อนข้างต่ำ เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นลงทุน หรืออยากกระจายไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศแบบง่ายๆ ครับ
* **Finansia HERO:** แอปฯ นี้มาจากโบรกเกอร์ Finansia Syrus ครับ พัฒนาต่อยอดมาจากระบบเทรดอันดับ 1 ของเกาหลีเลยนะ จุดเด่นคือฟีเจอร์ที่หลากหลายและตอบโจทย์นักเทรดมากๆ เช่น ระบบ Social Trading ที่ให้เราติดตามกลยุทธ์การลงทุนของมืออาชีพได้ มีระบบ AI ช่วยวิเคราะห์แนวโน้มตลาด การเปิดบัญชีและฝากถอนเงินก็ทำได้ไวมากครับ แถมมีโอกาสจองหุ้น IPO ได้ด้วย ฟีเจอร์หลายอย่างให้ใช้ฟรีโดยไม่มีขั้นต่ำ เหมาะกับคนที่ชอบเครื่องมือวิเคราะห์เยอะๆ หรืออยากศึกษาเทคนิคจากคนอื่นครับ

นอกจาก 5 ตัวท็อปที่เน้นการเทรดหุ้นไทยแล้ว ยังมี โปรแกรมเทรดหุ้น หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกครับ เช่น

* **InnovestX (ผ่าน TradingView):** อันนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง InnovestX (ของ SCBX) กับ TradingView แพลตฟอร์มดูกราฟและวิเคราะห์ระดับโลกครับ เราสามารถเชื่อมต่อบัญชี InnovestX แล้วเทรดหุ้นไทยและ TFEX (ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า) ได้โดยตรงผ่านเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นเทพของ TradingView เลย ใครที่ชอบใช้ TradingView อยู่แล้ว หรือเป็นสายเทคนิคขั้นสูง ตัวนี้น่าสนใจมากครับ
* **Mitrade / Interactive Brokers:** สองตัวนี้เป็นโบรกเกอร์และแอปฯ เทรดระดับสากลครับ เน้นสินทรัพย์ที่หลากหลายกว่าหุ้นไทย เช่น Forex, Gold, Index หรือ CFD (Contract for Difference) ค่าธรรมเนียมมักจะแข่งขันได้ แต่ก็อาจจะซับซ้อนกว่าแอปฯ ที่เน้นหุ้นไทยโดยตรง เหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์มากขึ้นครับ

**ไม่ใช่แค่เทรดหุ้น ยังมีเครื่องมือดีๆ อีกเพียบ!**

ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ Settrade ก็มีเครื่องมืออื่นๆ ที่เป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกระดับด้วยนะครับ เช่น:

* **AomWise:** แอปฯ ที่ช่วยเรื่องการออมและการลงทุนแบบง่ายๆ เหมาะกับมือใหม่มากๆ
* **Streaming Fund+:** สำหรับใครที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมโดยเฉพาะ แอปฯ นี้ช่วยบริหารจัดการกองทุนได้ครบวงจร
* **Streaming Click2Win:** อันนี้ดีงามมากๆ ครับ เป็นโปรแกรมให้เราทดลองเทรดหุ้นและอนุพันธ์ด้วย “เงินจำลอง” 10 ล้านบาท ใช้ข้อมูลตลาดจริง (แต่จะล่าช้า 5 นาที) หน้าตาเหมือนแอป Streaming จริงเลยครับ เหมาะสุดๆ สำหรับมือใหม่ที่อยากลองฝึกฝนทำความคุ้นเคยกับ โปรแกรมเทรดหุ้น และการส่งคำสั่งจริงๆ ก่อนจะใช้เงินจริงครับ
* **SET App / Settrade App:** แอปฯ เหล่านี้เป็นแหล่งรวมความรู้ ข่าวสาร บทความ วิดีโอ และเครื่องมือศึกษาการลงทุนต่างๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ Settrade จัดทำขึ้นครับ
* **Happy Money App:** ช่วยเรื่องการบริหารจัดการเงินส่วนบุคคล บันทึกรายรับรายจ่าย วางแผนการเงิน ทำให้เราเข้าใจสุขภาพการเงินของตัวเองได้ดีขึ้น ซึ่งสำคัญกับการลงทุนด้วยนะครับ

นอกจากนี้ โบรกเกอร์บางแห่งอย่าง Yuanta ก็มีแพลตฟอร์มและเครื่องมือเฉพาะของตัวเองที่น่าสนใจ เช่น Yuanta Navi ที่รวมบริการลงทุนครบวงจร, Yuanta Radars เครื่องมือสแกนหุ้นที่จับสัญญาณได้หลากหลาย, หรือโปรแกรมวิเคราะห์อย่าง Aspen ที่มีฟังก์ชันละเอียดมากๆ ครับ ซึ่งโบรกเกอร์นี้ก็ให้บริการเข้าถึงแอปฯ ยอดนิยมอย่าง efin, Streaming, TradingView และ AomWise ด้วย

**ฟังเสียงผู้รู้ และข้อคิดก่อนเริ่มใช้ โปรแกรมเทรดหุ้น**

เราเห็นแล้วว่ามี โปรแกรมเทรดหุ้น ให้เลือกเยอะมากๆ แล้วจริงๆ ต้องเลือกตัวไหนเป๊ะๆ เลยไหมครับ? คำตอบคือ ไม่มี โปรแกรมเทรดหุ้น ตัวไหนที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนหรอกครับ มันขึ้นอยู่กับ “สไตล์” และ “ความต้องการ” ของเราเองมากกว่า

* **ถ้าเป็นมือใหม่มากๆ:** อาจจะเริ่มจากแอปฯ ที่อินเทอร์เฟซใช้ง่ายๆ ฟังก์ชันไม่ซับซ้อน มีแหล่งความรู้ให้ศึกษาเยอะๆ อย่าง Streaming, Dime! หรือลองใช้ Click2Win ฝึกฝนดูก่อน
* **ถ้าเน้นเทรดบ่อยๆ อยากลดต้นทุน:** Liberator ที่ค่าคอมฯ 0% ก็น่าสนใจครับ
* **ถ้าเป็นสายเทคนิค ชอบดูกราฟ ชอบเครื่องมือวิเคราะห์เยอะๆ:** Streaming, efin Trade Plus, Finansia HERO หรือ InnovestX ผ่าน TradingView ก็น่าจะตอบโจทย์ได้ดี
* **ถ้าเน้นดูข้อมูลพื้นฐาน ข่าวสาร งบการเงิน:** efin Trade Plus นี่ถือเป็นตัวเต็งเลยครับ

สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมักจะย้ำเตือนเสมอคือ โปรแกรมเทรดหุ้น เป็นแค่ “เครื่องมือ” ครับ มันช่วยให้เราเข้าถึงตลาด วิเคราะห์ข้อมูล และส่งคำสั่งได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น แต่การตัดสินใจว่าจะซื้อ จะขาย จะถือ หรือจะCut Loss (ขายตัดขาดทุน) ยังคงเป็นหน้าที่ของเราเองทั้งหมดนะครับ

**สรุปและคำแนะนำทิ้งท้าย**

จากยุคที่ต้องไปรอต่อคิวหน้าตู้โบรกเกอร์ วันนี้การเทรดหุ้นย้ายมาอยู่ใน โปรแกรมเทรดหุ้น บนสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ของเราอย่างเต็มตัวแล้วครับ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงตลาดได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และมีข้อมูลพร้อมเครื่องมือวิเคราะห์มากมายอยู่ในมือ

การเลือก โปรแกรมเทรดหุ้น ที่ใช่ก็เหมือนกับการเลือกอาวุธคู่กายในสนามรบครับ ต้องดูว่าฟังก์ชันตอบโจทย์ไหม ใช้งานง่ายหรือเปล่า ระบบเสถียรปลอดภัยไหม และค่าธรรมเนียมเหมาะสมกับสไตล์การเทรดของเราหรือเปล่า

สำหรับคนที่กำลังจะเริ่ม หรือกำลังมองหา โปรแกรมเทรดหุ้น ตัวใหม่ ผมแนะนำให้ลองใช้บัญชีจำลอง (Demo Account) อย่าง Streaming Click2Win ดูก่อนเลยครับ จะได้ลองใช้ฟังก์ชันต่างๆ ลองส่งคำสั่งจริงในภาวะตลาดจริง โดยที่ยังไม่ต้องใช้เงินจริงๆ เพื่อสร้างความมั่นใจและประเมินตัวเองก่อน

และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมนะครับว่า **⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง** ไม่ว่า โปรแกรมเทรดหุ้น จะดีแค่ไหน หรือมีเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นเทพอย่างไร ราคาหุ้นก็มีโอกาสขึ้นและลงได้เสมอครับ ผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถรับประกันผลตอบแทนในอนาคตได้ โปรดศึกษาข้อมูลของหุ้นที่เราสนใจและทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนในทุกครั้งนะครับ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่านในการเลือก โปรแกรมเทรดหุ้น คู่ใจนะครับ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ!