เคยไหมครับ เวลาที่เราเช็คข่าวสารการเงิน แล้วเห็นพาดหัวเกี่ยวกับตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา (US Stock Market) ตัวเลขดัชนีต่างๆ วิ่งขึ้นวิ่งลงจนตาลาย ทั้งดาวโจนส์ (Dow Jones) S&P 500 แนสแด็ก (Nasdaq) แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า “เอ๊ะ แล้ววันนี้ หุ้นอเมริกา เป็นยังไงบ้างนะ?” โดยเฉพาะ `หุ้นอเมริกา วันนี้` เนี่ย มีข่าวอะไรน่าสนใจหรือเปล่า
ช่วงนี้ต้องบอกเลยว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังคึกคักน่าดูครับ ดัชนีหลักๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็น ดาวโจนส์ที่บวกไป 1.46% S&P 500 บวก 2.17% แนสแด็ก 100 บวกถึง 3.02% ส่วนแนสแด็กคอมโพสิตก็วิ่งตามไป 3.24% เช่นกัน ภาพรวมในตลาดคือ หุ้นส่วนใหญ่ราคาพุ่งขึ้นเยอะกว่าหุ้นที่ราคาลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างในดัชนี S&P 500 มีหุ้นขึ้นตั้ง 73.60% ในขณะที่ลงแค่ 26.00% เองครับ เห็นแบบนี้แล้วน่าตื่นเต้นจริงๆ

แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้ `หุ้นอเมริกา วันนี้` มันพุ่งแรงขนาดนี้? สาเหตุหลักๆ มีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ ครับ เรื่องแรกเลยคือ มีข่าวที่ช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “เฟด” (Fed) พอมีข่าวดีตรงนี้ออกมาปุ๊บ ดัชนีดาวโจนส์ก็กระโดดขึ้นไปหลายร้อยจุดเลยทีเดียว เรียกว่าเป็นแรงส่งสำคัญมากๆ ครับ ส่วนอีกเรื่องคือ ความหวังที่ว่าข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะดีขึ้น มีรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ท่านหนึ่งออกมาบอกว่า มีโอกาสสูงที่จะบรรลุข้อตกลงทางการค้าครั้งใหญ่ได้ ข่าวนี้ก็เข้ามาช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนให้ยิ่งสดใสขึ้นไปอีก
พอบรรยากาศที่สหรัฐฯ ดีแบบนี้ ตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วยครับ ตลาดหุ้นไทยเราก็ปรับตัวขึ้นตามภูมิภาคและตลาดหุ้นสหรัฐฯ เลย โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และพลังงาน ส่วนตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นโตเกียว ก็เปิดและปิดบวกตามทิศทางสหรัฐฯ เช่นกัน มีแค่ตลาดหุ้นฮ่องกงที่ปิดภาคเช้าลดลงไปเล็กน้อยครับ

ถ้าเจาะลึกไปดูรายกลุ่มอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ กลุ่มที่เรียกว่า “วิ่งฉิว” นำตลาดมาเลยก็คือ กลุ่มเทคโนโลยี (`หุ้นเทคโนโลยี`) โดยเฉพาะกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์นี่บวกไปกว่า 5% เลยทีเดียว ส่วนกลุ่มเทคโนโลยีโดยรวมก็บวกไปกว่า 3.8% ตามมาด้วยกลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) กลุ่มวัสดุ และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวขึ้นดีเช่นกันครับ กลุ่มอื่นๆ อย่างสุขภาพ พลังงาน การสื่อสาร ขนส่ง ก็ปรับตัวขึ้นตามมา ส่วนบางกลุ่มอย่างสาธารณูปโภค หรือพลังงานบางดัชนี ก็มีการเคลื่อนไหวผสมๆ กันไปครับ
ทีนี้มาดูสัญญาณจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ กันบ้างครับ ภาพรวมยังค่อนข้างผสมผสานนะครับ อย่างตัวเลขยอดขายบ้านใหม่เดือนมีนาคมนี่พุ่งขึ้นถึง 7.4% แตะระดับสูงสุดในรอบหลายปีเลยทีเดียว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำ อันนี้เป็นข่าวดีสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ครับ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั้งภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นในเดือนเมษายนกลับปรับตัวลงต่ำสุดในรอบ 16 เดือนเลย แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจจะชะลอลงไปบ้าง นอกจากนี้ สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็เพิ่มขึ้น สวนทางกับที่ตลาดคาดไว้ ส่วนจำนวนผู้ขอสินเชื่อบ้านก็ลดลงถึง 12.7% หลังจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้บ้านดีดตัวขึ้น
ในมุมของนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ก็ยังคงส่งสัญญาณว่าอาจจะลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าเพียง 0.50% ซึ่งอาจจะน้อยกว่าที่บางคนคาดการณ์ไว้เล็กน้อยครับ ส่วนเรื่องการลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือที่เรียกว่า “คิวอี” (QE) ก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจริงๆ ซึ่งตรงนี้เองก็ช่วยคลายความกังวลให้กับนักลงทุนได้ว่า เฟดยังไม่ได้รีบถอนมาตรการสนับสนุนเร็วเกินไป สรุปคือ แม้จะมีการลดบทบาทคิวอีลง แต่นโยบายการเงินโดยรวมก็ยังคง “ผ่อนคลาย” อยู่ครับ
มาถึงเรื่องที่หลายคนสนใจ `หุ้นอเมริกา วันนี้` มีตัวไหนที่น่าจับตาเป็นพิเศษบ้าง? แน่นอนว่าต้องพูดถึงหุ้นเทคโนโลยีตัวใหญ่ๆ อย่าง Apple, Microsoft, NVIDIA, Amazon.com, Meta Platforms (หรือที่เราคุ้นกับชื่อ Facebook, Instagram) บริษัทเหล่านี้มีมูลค่าตลาดระดับโลก และหลายตัวก็มีผลประกอบการที่เติบโตสูงมากๆ ครับ อย่าง NVIDIA นี่กำไรเติบโตปีต่อปีใน 12 เดือนล่าสุดถึง 146.27%! ส่วน Amazon ก็ 91.10% Meta ก็ 60.59% เห็นแบบนี้แล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไม `หุ้นเทคโนโลยี` ถึงยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก แต่อย่าลืมนะครับว่าบางทีบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Apple หรือ Meta ก็อาจจะมีประเด็นอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง อย่างข่าวที่บริษัทเหล่านี้ออกมาโวยเรื่องคณะกรรมาธิการยุโรปสั่งปรับ ซึ่งพวกเขามองว่าไม่เป็นธรรมและเหมือนเป็นการกีดกันบริษัทจากสหรัฐฯ อันนี้ก็เป็นอีกมุมที่เราต้องติดตามด้วยครับ
นอกจากหุ้นเทคโนโลยีแล้ว ก็ยังมีหุ้นดังตัวอื่นๆ ที่น่าสนใจ อย่าง Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett, Eli Lilly บริษัทด้านยาที่ราคาหุ้นปรับขึ้นแรงมากๆ และมีกำไรเติบโตสูงถึง 102.11%, Tesla บริษัทรถยนต์ไฟฟ้า, Walmart ค้าปลีกยักษ์ใหญ่, JP Morgan Chase & Co. ธนาคารขนาดใหญ่, Visa และ Mastercard บริษัทบัตรเครดิตชั้นนำ, Exxon Mobil และ Chevron บริษัทพลังงาน, Costco ค้าปลีกแบบสมาชิก, Netflix บริการสตรีมมิ่ง, Johnson & Johnson บริษัทสุขภาพและสินค้าอุปโภคบริโภค แม้แต่ UnitedHealth Group ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงไปเยอะ แต่ก็ยังเป็นบริษัทสุขภาพที่ใหญ่มาก และนักวิเคราะห์หลายคนยังมองว่าเป็นหุ้นที่มีแรงซื้ออยู่ครับ

สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจลงทุนใน `หุ้นอเมริกา วันนี้` คุณหมอนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่าชื่อดัง ก็เคยให้มุมมองที่น่าสนใจไว้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นศูนย์รวมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็กำลังฟื้นตัวอย่างชัดเจน แถมยังมีโอกาสได้ประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นด้วย และเรื่องนโยบายการเงินของเฟดที่ยังผ่อนคลาย ก็ยิ่งทำให้การลงทุนในตลาดนี้ดูน่าสนใจครับ
แล้วถ้าเราอยากลงทุนใน `หุ้นอเมริกา วันนี้` บ้าง ต้องทำยังไง? ง่ายๆ เลยครับ ตอนนี้มีหลายวิธีให้นักลงทุนไทยเลือกลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง NASDAQ และ NYSE ได้สะดวกขึ้น วิธีดั้งเดิมก็คือการเปิดบัญชีหลักทรัพย์ต่างประเทศกับบริษัทหลักทรัพย์ในไทย เราก็จะสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ในช่วงเวลาทำการของตลาดสหรัฐฯ ซึ่งถ้าคิดตามเวลาไทย ก็คือประมาณ 21.30 น. ถึง 4.00 น. (หรือ 20.30 น. ถึง 3.00 น. ในช่วง Daylight Saving) การซื้อขายใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) และมีค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นต่างประเทศครับ
อีกทางเลือกที่กำลังเป็นที่นิยมมากๆ โดยเฉพาะกับนักลงทุนมือใหม่หรือคนที่มีเงินลงทุนเริ่มต้นไม่เยอะ คือการลงทุนผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ครับ อย่างแอปพลิเคชัน Dime! ของบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ก็เป็นตัวอย่างที่ดี ที่ทำให้การลงทุนใน `หุ้นอเมริกา วันนี้` ง่ายขึ้นมาก เพราะเราสามารถเริ่มต้นลงทุนได้ด้วยเงินแค่ 50 บาท หรือประมาณ 1.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ที่สำคัญคือเราสามารถลงทุนแบบ “Fractional Share” หรือซื้อหุ้นแบบไม่เต็มหุ้นได้ อย่างอยากซื้อหุ้น Apple แค่ครึ่งหุ้น หรือ 0.1 หุ้น ก็ทำได้ ทำให้เราสามารถกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายๆ ตัวได้ง่ายขึ้นด้วยเงินจำนวนเท่าเดิมครับ แถมยังลงทุนเป็นเงินบาทได้เลย ระบบก็จะแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ ให้เอง มีฟีเจอร์อย่าง DCA (Dollar Cost Averaging) ให้ทยอยลงทุนแบบสม่ำเสมอได้ด้วยครับ ค่าธรรมเนียมผ่านแอปฯ มักจะถูกกว่าช่องทางดั้งเดิม โดยบางแอปฯ อาจมีโปรโมชั่นซื้อขายรายการแรกของเดือนฟรี หรือคิดค่าธรรมเนียมต่อหุ้นในอัตราที่ถูกกว่าครับ นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมที่หน่วยงานสหรัฐฯ เรียกเก็บ เช่น SEC Fee และ TAF Fee ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลครับ และที่น่าสนใจคือ มีการคุ้มครองผู้ลงทุนตามกฎหมายสหรัฐฯ ด้วย
สรุปแล้ว `หุ้นอเมริกา วันนี้` กำลังอยู่ในบรรยากาศที่ดี ได้แรงหนุนจากข่าวสำคัญและปัจจัยทางเศรษฐกิจหลายอย่าง แม้จะมีสัญญาณที่ต้องเฝ้าระวังอยู่บ้าง การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทย ด้วยเหตุผลและช่องทางที่สะดวกสบายมากขึ้นในปัจจุบัน
แต่ก่อนตัดสินใจลงทุนใน `หุ้นอเมริกา วันนี้` หรือหุ้นต่างประเทศอื่นๆ อย่าลืมนะครับว่าการลงทุนมีความเสี่ยง เราควรศึกษาข้อมูล ทำความเข้าใจธุรกิจของบริษัทที่เราจะลงทุน รวมถึงกฎเกณฑ์และค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้รอบคอบก่อนเสมอ และที่สำคัญที่สุดคือ…
⚠️ หากเงินทุนไม่มาก หรือสภาพคล่องไม่สูง แนะนำให้ประเมินให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นต่างประเทศนะครับ ศึกษาให้เข้าใจก่อนลงมือจริง จะช่วยให้เราลงทุนได้อย่างสบายใจมากขึ้นครับ