ตลาดหุ้นเปิดวันนี้: ทำไมนักลงทุนถึงถอนหายใจ?

เพื่อนสนิทชื่อ ‘พอล’ เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ชอบส่อง ตลาดหุ้นเปิดวันนี้ ทุกเช้า ก่อนจะเริ่มต้นทำงาน เขาบอกว่าเหมือนเป็นการเช็ค ‘อุณหภูมิ’ ของเศรษฐกิจโดยรวม แต่ช่วงนี้ พอลมักจะถอนหายใจยาวๆ เพราะส่วนใหญ่ที่เห็นคือตัวเลขสีแดง หรือไม่ก็แกว่งตัวแบบไปไม่ถึงไหน… คุณเองก็เป็นเหมือนพอลใช่ไหมครับ? ที่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ตลาดหุ้นไทย ช่วงนี้กันแน่ ทำไมดูไม่คึกคักเหมือนที่เคยเป็น

ในฐานะคนที่คลุกคลีกับเรื่องการเงินการลงทุนมานาน ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดีครับ การที่ ตลาดหุ้นเปิดวันนี้ แล้วเจอแต่ความผันผวน มันทำให้หลายคนกังวลใจ ไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อดี วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังแบบบ้านๆ เข้าใจง่ายๆ เหมือนนั่งคุยกับเพื่อน ว่า ตลาดหุ้นไทย ตอนนี้เป็นยังไง และมีปัจจัยอะไรบ้างที่กำลังส่งผลกระทบอยู่

**ภาพรวม ตลาดหุ้นไทย: ทำไมช่วงนี้ดูไม่สดใส?**

ถ้าใครเช็ค ตลาดหุ้นเปิดวันนี้ ช่วงนี้บ่อยๆ คงจะเห็นภาพคล้ายๆ กันคือ ดัชนี SET แกว่งตัวและมีแนวโน้มปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา ลองดูตัวเลขบางวันเป็นตัวอย่างนะครับ จะได้เห็นภาพชัดขึ้น

จำได้ไหมครับ วันที่ 12 มีนาคม 2568 ตลาดหุ้นไทย เจอแรงขายหนัก ดัชนี SET ร่วงไปเกือบ 30 จุด (-2.32%) ปิดที่ 1,160.06 จุด วันนั้นมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 46,369.97 ล้านบาท ถือว่าค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ส่วนวันที่ 24 เมษายน 2568 ดัชนีก็ยังปิดลบ 6.91 จุด (-0.60%) ที่ 1,146.86 จุด มูลค่า 40,628.92 ล้านบาท

แต่ก็มีวันที่ดีขึ้นบ้าง อย่างวันที่ 11 มีนาคม 2568 ดัชนี SET ก็เคยปรับตัวบวกได้ 10.19 จุด (+0.87%) ไปปิดที่ 1,187.63 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายเกือบ 5 หมื่นล้านบาท (49,570.68 ล้านบาท) และวันที่ 25 เมษายน 2568 ดัชนีก็พุ่งขึ้น 12.14 จุด (+1.06%) ปิดที่ 1,159.00 จุด ด้วยมูลค่า 33,148.95 ล้านบาท

มาถึงสถานการณ์ล่าสุดที่เราเห็นจากการดู ตลาดหุ้นเปิดวันนี้ เช้าวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ก็ยังคงอยู่ในแดนลบครับ ดัชนี SET ปิดครึ่งเช้าลดลง 10.00 จุด (-0.89%) มาอยู่ที่ 1,112.7 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 21,191.66 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมของ ตลาดหุ้นไทย ช่วงนี้ยังมีความเปราะบางอยู่ ตัวเลขมูลค่าและปริมาณการซื้อขายก็อยู่ในระดับหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติของการเคลื่อนไหวในแต่ละวัน

**แกะรอย “ทำไม” ตลาดหุ้นถึงเป็นแบบนี้: ปัจจัยรอบด้านที่ต้องรู้**

คุณอาจจะสงสัยว่า ทำไม ตลาดหุ้นเปิดวันนี้ ถึงได้แกว่งตัวและปรับลดลงบ่อยๆ ขนาดนี้? จริงๆ แล้วเรื่องของ ตลาดหุ้นไทย นั้นซับซวนกว่าแค่ตัวเลขที่เราเห็นบนหน้าจอครับ มันมีหลายปัจจัยมากๆ ทั้งจากในบ้านเราเอง และจากนอกบ้านที่กำลังส่งผลกระทบอยู่ ลองมาดูกันทีละเรื่องนะครับ

**1. พายุลูกใหญ่จากต่างประเทศ:**

ลองนึกภาพ ตลาดหุ้นไทย เหมือนเรือลำหนึ่งที่กำลังแล่นอยู่ในทะเลนะครับ คลื่นลมแรงจากภายนอกย่อมส่งผลกระทบต่อเรือของเราได้เหมือนกัน

* **สงครามการค้าที่ยังไม่จบ:** เรื่องใหญ่เรื่องแรกที่กดดันตลาดมาตลอดคือ ‘สงครามการค้า’ ระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่าง สหรัฐ (United States) และ จีน (China) แม้จะมีข่าวการเจรจาบ้าง แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ทำให้บรรยากาศการลงทุนทั่วโลก รวมถึง ตลาดหุ้นไทย ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
* **ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์:** เหตุการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคต่างๆ เช่น ความขัดแย้งระหว่าง อิสราเอล (Israel) และ อิหร่าน (Iran) ก็เป็นอีกปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนทั่วโลก เพราะอาจลุกลามและส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน หรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้
* **ท่าทีของ ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve หรือ เฟด):** เรื่อง ‘เงินเฟ้อสหรัฐ’ (US Inflation) ที่บางช่วงต่ำกว่าคาด ก็เคยเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ตลาดหุ้นรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้าง แต่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับจังหวะเวลาในการ ‘ลดดอกเบี้ย’ ของ เฟด ก็ยังเป็นประเด็นที่ ตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของประเทศใหญ่มีผลต่อการเคลื่อนย้ายของเงินทุนทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ

**2. ปัญหาภายในบ้านเราเอง:**

นอกจากคลื่นลมภายนอก เรือ ตลาดหุ้นไทย ของเราก็มีประเด็นภายในที่ต้องจัดการเหมือนกัน

* **เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว:** อันนี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากๆ ครับ ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวบ่งชี้ว่า ‘เศรษฐกิจในประเทศกำลังชะลอตัว’ กำลังซื้อไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ทำให้ภาพรวมของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งอาจไม่สดใสเท่าที่นักลงทุนคาดหวัง ซึ่งเป็นแรงกดดันโดยตรงต่อ ดัชนี และราคา หุ้น โดยรวม
* **ภาคท่องเที่ยวสะดุด:** หนึ่งในเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยคือการท่องเที่ยว แต่ ‘จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หดตัว’ ก็เป็นอีกปัจจัยที่เข้ามากดดัน โดยเฉพาะ หุ้น ในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น หุ้น AOT (บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)) ที่ล่าสุดก็มีประเด็นเรื่องการเจรจาปรับลดเงื่อนไขผลประโยชน์กับ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (King Power Duty Free) เข้ามาเป็นแรงขายกดดันเพิ่มเติม
* **ปัจจัยเฉพาะอย่าง กองทุน Thai ESGX:** แม้ในช่วงต้นปี ตลาดหุ้นไทย จะเคยได้แรงหนุนจากกระแส ‘กองทุน Thai ESG’ และ ‘กองทุน Thai ESGX’ ที่มีรายชื่อ หุ้น ในลิสต์ถึง 242 หุ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นแรงซื้อได้ในบางช่วงเวลา แต่เมื่อเทียบกับปัจจัยลบจากเศรษฐกิจและการเมืองทั้งในและต่างประเทศแล้ว แรงหนุนจากกองทุนก็อาจจะไม่สามารถต้านทานได้ทั้งหมดครับ

**ส่องพฤติกรรม “นักลงทุน” ใน ตลาดหุ้นไทย**

การที่ ตลาดหุ้นไทย จะขึ้นหรือลง ก็มาจาก ‘นักลงทุน’ ทุกกลุ่มที่ทำการ ‘ซื้อขาย’ กันนี่แหละครับ การดูว่าใครกำลังซื้อใครกำลังขาย ก็พอจะบอกบรรยากาศหรือ Sentiment ในตลาดได้บ้าง

จากข้อมูลตัวอย่าง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นตัวอย่างให้เห็นภาพครับ วันนั้น ‘นักลงทุนต่างประเทศ’ ขายสุทธิเยอะที่สุดถึง -4,964.40 ล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณที่ ตลาดหุ้นไทย มักจะกังวลใจ เพราะนักลงทุนต่างชาติถือเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของ ดัชนี พอสมควร ส่วน ‘นักลงทุนสถาบัน’ (เช่น บลจ.ต่างๆ ที่บริหารกองทุน) และ ‘นักลงทุนในประเทศ’ (รายย่อยอย่างเราๆ) เป็นฝ่ายซื้อสุทธิที่ +3,294.15 ล้านบาท และ +2,364.59 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ ‘บัญชีบริษัทหลักทรัพย์’ หรือบัญชีของโบรกเกอร์เอง ขายสุทธิเล็กน้อย -694.34 ล้านบาท

แม้ข้อมูลนี้จะเป็นของวันที่ 28 ก.พ. 2568 ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผ่านมาแล้ว แต่ก็สะท้อนให้เห็นภาพการกระจายการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนใน ตลาดหุ้นไทย ได้เป็นอย่างดีครับ การที่นักลงทุนต่างชาติยังคงมีท่าทีขายสุทธิในภาพรวม ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดัน ดัชนี ในหลายๆ ช่วงเวลา

**กูรู ตลาดหุ้นไทย มองอย่างไร?**

แล้วผู้เชี่ยวชาญด้าน ตลาดหุ้นไทย เขามีมุมมองอย่างไรกันบ้าง?

อย่างที่คุณวทัญ จิตต์สมนึก จาก บล.พาย ก็เคยมองว่า ตลาดหุ้นไทย ได้รับแรงกดดันจากหลายปัจจัยพร้อมๆ กัน ทั้งสงครามการค้า จำนวนนักท่องเที่ยวที่หดตัว เศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

หลายโบรกเกอร์ รวมถึง บล.ทิสโก้ ที่มีคุณอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล เป็นผู้บริหาร และ บล.เอเซีย พลัส ที่มีคุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เป็นผู้บริหารฝ่ายวิจัย ก็คาดการณ์แนวโน้ม ตลาดหุ้นไทย ภาคบ่ายวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ว่า ตลาดจะยังคงแกว่งตัวในแดนลบต่อไป เนื่องจากปัจจัยลบที่กล่าวมายังคงอยู่

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังมีการประเมิน ‘แนวรับ’ ของ ดัชนี SET ในสัปดาห์วันที่ 16 มิถุนายน 2568 ไว้ที่ 1,105 จุด ซึ่งเป็นระดับที่คาดว่าจะมีแรงซื้อกลับเข้ามา และ ‘แนวต้าน’ ที่ 1,120 จุด ซึ่งเป็นระดับที่อาจจะเจอแรงขายทำกำไรออกมา ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงการประเมินทางเทคนิคเพื่อให้นักลงทุนใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจ ‘การซื้อขาย’ หุ้น ในระยะสั้นครับ

**เรื่องควรรู้เพิ่มเติมสำหรับมือใหม่: เวลาทำการและดัชนี**

สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มดู ตลาดหุ้นเปิดวันนี้ อาจจะยังไม่คุ้นกับเวลาทำการ หรือ ดัชนีต่างๆ ใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ซึ่งเรามักเรียกสั้นๆ ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ) การรู้พื้นฐานพวกนี้จะช่วยให้เข้าใจภาพรวมมากขึ้นครับ

* **เวลาทำการซื้อขาย:** ตลาดหุ้นไทย มีการซื้อขายเป็นสองช่วงหลักๆ คือช่วงเช้าและช่วงบ่าย มีช่วงก่อนเปิด (Pre-open) ช่วงซื้อขายปกติ และช่วงก่อนปิด (Pre-close) แยกกันชัดเจน โดยปกติช่วงซื้อขายจริงจังจะอยู่ที่ 10:00-12:30 น. ในภาคเช้า และ 14:30-16:30 น. ในภาคบ่ายครับ
* **ประเภทของ ดัชนี:** ดัชนีหลักที่เราดูกันบ่อยๆ เพื่อสะท้อนภาพรวมของ ตลาดหุ้นไทย คือ ดัชนี SET Index แต่จริงๆ แล้วยังมี ดัชนี อื่นๆ อีกหลายตัว เช่น SET50 (สะท้อนหุ้นใหญ่ 50 ตัวแรก), SET100 (สะท้อนหุ้นใหญ่ 100 ตัวแรก), SETHD (สะท้อนหุ้นที่เน้นจ่ายปันผลสูง), sSET (สะท้อนหุ้นขนาดเล็ก) เป็นต้น ดัชนีแต่ละตัวก็จะสะท้อนกลุ่ม หุ้น หรือวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป การดู ดัชนี เหล่านี้ประกอบกันจะช่วยให้เห็นภาพ ตลาดหุ้นไทย ได้ละเอียดขึ้น

นอกจากนี้ ใน ตลาดหุ้นไทย ยังมีการซื้อขายแบบ ‘บิ๊กล็อต’ (Big Lot) ซึ่งเป็นการซื้อขาย หุ้น ในปริมาณมากๆ ระหว่างนักลงทุนรายใหญ่โดยตรง นอกกระดานปกติด้วย ข้อมูลบิ๊กล็อตที่เห็น เช่น หุ้น BDMS, GPSC, PTT, TRUE, DELTA, FUEVFVND01, VAYU1 ก็เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนมือ หุ้น ขนาดใหญ่เกิดขึ้นใน ตลาดหุ้นไทย อยู่ตลอดเวลา

**สรุปและคำแนะนำสำหรับนักลงทุน**

จากภาพรวมที่เราคุยกัน การที่ ตลาดหุ้นเปิดวันนี้ ช่วงนี้ยังผันผวนและมีแนวโน้มปรับตัวลง ก็มาจากหลายสาเหตุทั้งในและต่างประเทศปะปนกันไปครับ ทั้งสงครามการค้า ความขัดแย้ง เงินเฟ้อ นโยบายการเงินต่างประเทศ ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง หรือแม้แต่ประเด็นเฉพาะบริษัท

สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะมือใหม่ การดูแค่ตัวเลขที่ ตลาดหุ้นเปิดวันนี้ แล้วตกใจ อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีนักครับ เพราะ ตลาดหุ้นไทย มีพลวัตที่ซับซ้อนกว่านั้น

สิ่งที่สำคัญกว่าคือการ ‘ทำความเข้าใจ’ ปัจจัยต่างๆ ที่กำลังกระทบตลาด และประเมินว่าปัจจัยเหล่านั้นจะส่งผลต่อเนื่องไปในทิศทางใด

**คำแนะนำง่ายๆ สำหรับนักลงทุน:**

1. **อย่าตกใจง่าย:** ตลาดหุ้นมีความผันผวนเป็นเรื่องปกติ การปรับตัวลงไม่ได้หมายความว่าโลกกำลังจะแตก การตัดสินใจโดยใช้อารมณ์มักนำไปสู่การขาดทุน
2. **ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน:** ติดตามข่าวสารทั้งในและต่างประเทศ ทำความเข้าใจว่าแต่ละปัจจัยส่งผลอย่างไรต่อ ตลาดหุ้นไทย ลองอ่านบทวิเคราะห์จากหลายๆ แหล่ง (เช่น จากสำนักข่าวอินโฟเควสท์, BangkokBizNews หรือบทวิเคราะห์จาก บล.ต่างๆ)
3. **พิจารณาภาพระยะยาว:** หากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว ความผันผวนระยะสั้นอาจไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเท่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัท หุ้น ที่คุณลงทุน ลองมองหา หุ้น ที่มีพื้นฐานดี ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบน้อย หรืออาจจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์บางอย่าง
4. **ใช้แนวรับ-แนวต้านเป็นแนวทาง:** ตัวเลข ‘แนวรับ’ และ ‘แนวต้าน’ ที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ช่วยในการตัดสินใจ ‘การซื้อขาย’ ได้ แต่ต้องไม่ยึดติดทั้งหมด เพราะตลาดอาจไม่เคลื่อนไหวตามนั้นเสมอไป
5. **กระจายความเสี่ยง:** อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปใน หุ้น ตัวเดียว หรือกลุ่มอุตสาหกรรมเดียว การกระจายการลงทุนจะช่วยลดความเสี่ยงลงได้

⚠️ **คำเตือนสำคัญ:** การลงทุนใน ตลาดหุ้นไทย หรือสินทรัพย์อื่นๆ มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ หากคุณมีเงินทุนที่อาจจะต้องใช้ในระยะสั้น หรือต้องการ ‘สภาพคล่อง’ สูง การลงทุนใน ตลาดหุ้นไทย ช่วงที่ผันผวนแบบนี้ อาจจะต้องพิจารณาให้ดีเป็นพิเศษ และหากไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน

จำไว้ครับว่า ตลาดหุ้นเปิดวันนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในแต่ละวัน การเข้าใจภาพใหญ่เบื้องหลัง จะช่วยให้คุณรับมือกับความผันผวนใน ตลาดหุ้นไทย ได้อย่างมั่นใจและมีสติมากขึ้นครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุน!