แนะนำหุ้น: เปิดโลกการลงทุน ฉบับคนไม่เซียนก็รวยได้!

เคยสงสัยไหมครับว่า เงินที่เราทำงานหามาอย่างเหน็ดเหนื่อย… จะเอาไปไว้ที่ไหนดีให้มันงอกเงย? บางคนบอกฝากธนาคารก็ได้ดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยสมัยนี้… อืมนะ ถ้าอยากได้เยอะกว่านั้นล่ะ? หลายคนก็เริ่มมองไปที่ “หุ้น” ครับ ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่เห็นตลาดมานาน วันนี้ผมอยากจะมาแนะนำหุ้น… อ๊ะ ไม่ใช่แนะนำตัวเป้งๆ ทีเดียว แต่จะมาเล่าให้ฟังถึงโลกของการลงทุนในหุ้นกันแบบง่ายๆ สไตล์คนคุ้นเคยกันครับ

การลงทุนในหุ้นมันก็มีหลายสไตล์นะ เหมือนเราเลือกเดินทางไปเที่ยวเลย บางคนชอบลุยๆ ปีนเขา อยากเห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด ก็จะเหมาะกับแนว “หุ้นเติบโต” หรือ Growth Stock ครับ บริษัทพวกนี้เหมือนนักกีฬาที่วิ่งเร็วสุดๆ เขาจะทุ่มเงินเยอะมากๆ ในเรื่องใหม่ๆ เช่น ทำของใหม่ๆ หรือพัฒนาของเดิมให้ดีขึ้น ที่เราเรียกว่า นวัตกรรม (Innovation) แล้วก็ลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D – Research and Development) เพื่อให้ธุรกิจมันใหญ่ขึ้นๆ ไปอีก แถมยังชอบขยายตลาดไปที่ใหม่ๆ หรือเพิ่มกำลังการผลิต แบบนี้เขามักจะไม่ค่อยจ่ายเงินปันผล หรือจ่ายน้อยมากๆ เพราะอยากเอาเงินกำไรไปลงทุนต่อให้มันโตเร็วๆ ไงครับ งบดุลของบริษัทพวกนี้ก็จะดูแข็งแกร่ง มีเงินสดพอที่จะใช้ลงทุนในอนาคต ข้อสังเกตคือราคาหุ้นเติบโตมักจะดูสูงๆ หน่อยเมื่อเทียบกับกำไร (อัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ P/E Ratio) อันนี้สะท้อนความคาดหวังของนักลงทุนว่าอนาคตกำไรจะพุ่งแรง แต่ก็ต้องระวังนะ ถ้าเกิดเขาโตไม่ได้อย่างที่ฝันไว้ ราคาก็อาจจะร่วงแรงได้เหมือนกัน ดังนั้น หุ้นสไตล์นี้เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้สูง และใจเย็นมากๆ คือต้องลงทุนยาวๆ ไปเลยครับ ตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป ถึงจะเห็นผลตอบแทนที่ชัดเจน ลดความผันผวนระยะสั้นได้ ถ้ามองแค่สั้นๆ อาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ครับ ก่อนลงทุนหุ้นเติบโตต้องทำการบ้านเยอะหน่อยนะ ทั้งดูภาพรวมอุตสาหกรรม (Industry) แนวโน้มตลาด (Market Trend) วิเคราะห์งบการเงิน (Financial Statement) ดูอัตราส่วนสำคัญๆ และประเมินความเสี่ยงรอบด้านครับ

แล้วจะหา หุ้น เติบโตดีๆ หรือ หุ้น ที่น่าสนใจได้จากไหนล่ะ? มันไม่ใช่แค่ดูชื่อบริษัทสวยๆ นะ ก่อนจะซื้อหุ้นตัวไหน ต้องทำการบ้านหน่อยนะ เหมือนจะจีบใครก็ต้องรู้จักเขาดีๆ ใช่ไหม? ต้องดูว่าเขาทำธุรกิจอะไรอยู่ในอุตสาหกรรมแบบไหน ตลาดเป็นยังไง งบการเงิน (Financial Statement) แข็งแรงไหม ดูตัวเลขสำคัญๆ อย่าง อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) หรือ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) เป็นยังไง พวกนี้เรียกว่าการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ครับ บางคนชอบดู ‘กราฟ’ ดูกิจกรรมซื้อขายของคนอื่น (ปริมาณซื้อขาย) เพื่อหาจังหวะเข้าออก อันนี้คือการวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis) ที่สำคัญ อย่าลืมติดตามข่าวสารด้วยนะ อะไรๆ รอบตัวก็กระทบราคาหุ้นได้หมดเลยครับ เรื่องการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ก็สำคัญมากๆ เหมือนกันนะ อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียว หรือที่เรียกว่า การกระจายการลงทุน (Diversification) ครับ ซื้อหุ้นหลายๆ ตัว หลายๆ อุตสาหกรรมหน่อย ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้เยอะ หรือถ้าจะลงทุนต่างประเทศ ก็กระจายไปหลายๆ ประเทศด้วย ตั้งเป้าหมายไว้ให้ชัดเจนด้วยนะ ว่าจะถือยาวแค่ไหน จะขายเมื่อไหร่ ถ้าขาดทุนถึงจุดนี้จะทำยังไง การมีแผนชัดเจนช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นครับ

มาดูที่ ตลาดหุ้นไทย กันก่อนครับ สำหรับปี 2568 ที่กำลังจะมาถึง นักวิเคราะห์มองว่า ตลาดหุ้นไทย ก็ยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องนะ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหลักๆ ของบ้านเรา เช่น พลังงาน ค้าปลีก โทรคมนาคม และที่กำลังมาแรงคือกลุ่มพลังงานสะอาด (Clean Energy) หรือ พลังงานหมุนเวียน ในตลาดหุ้นไทยเอง ก็มีกลุ่มที่น่าสนใจมากๆ ช่วงนี้ นั่นคือ ‘กลุ่มหุ้น SETHD’ หรือหุ้นในดัชนี SET High Dividend Index ซึ่งเป็นดัชนีที่รวบรวม หุ้น ในตลาดหุ้นไทย ที่มี อัตราเงินปันผล (Dividend Yield) สูงๆ ครับ ข้อมูลบอกว่า (ณ 31 มีนาคม 2568) แม้ ดัชนี SET Index โดยรวมจะขึ้นๆ ลงๆ แต่กลุ่ม SETHD นี้เด่นกว่าชัดเจนเลยนะ ดูจาก กำไรต่อหุ้น (EPS – Earnings Per Share) ตอนนี้ SETHD อยู่ที่ 121.7 บาท ในขณะที่ SET Index อยู่ที่ 95.1 บาท คาดการณ์ปีหน้า กำไรต่อหุ้น SETHD ยังดูดีที่ 127.3 บาท ส่วน อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ก็ดูน่าสนใจกว่า SETHD อยู่ที่ 9.1 เท่า เทียบกับ SET Index 12.1 เท่า ที่เด่นสุดๆ คือ อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) SETHD ให้เฉลี่ยถึง 5.9% ในขณะที่ SET Index เฉลี่ย 4.4% กลุ่มนี้เลยเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการกระแสรายได้สม่ำเสมอจากเงินปันผล พร้อมๆ กับโอกาสเติบโตของราคาหุ้นครับ

สำหรับ หุ้นเด่น ในตลาดไทยปี 2568 ที่นักวิเคราะห์มองว่าน่าสนใจก็มีหลายตัว เช่น SPRC หรือ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด มหาชน (ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน) ที่ได้ประโยชน์จากค่าการกลั่นที่ดีขึ้น นักวิเคราะห์ให้ราคาเป้าหมายที่ 7.97 บาท (+56.3%) จากราคาปัจจุบัน 5.10 บาท, BTG หรือ บริษัท เบทาโกร จำกัด มหาชน (ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร) ที่เน้นขยายตลาดส่งออกและลดต้นทุนเก่ง คาดกำไรปีหน้าโต 12% เป้าหมาย 24 บาท (+40.9%) จากราคา 17.20 บาท, IVL หรือ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด มหาชน (ธุรกิจปิโตรเคมี) ที่ไปลงทุนเรื่องรีไซเคิลเข้ากับกระแสโลกและเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมจะฟื้นตัว เป้าหมาย 27.50 บาท (+19.6%) จาก 23 บาท, และ CPF หรือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด มหาชน (ธุรกิจเกษตรและอาหาร) ที่ได้อานิสงส์จากราคาเนื้อสัตว์และความต้องการอาหารแปรรูปที่เพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์ปรับเป้าขึ้นเป็น 30 บาท (+45.5%) จาก 20.9 บาท ข้อมูลเหล่านี้มาจากบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ นะครับ นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากบริษัทหลักทรัพย์ อย่าง บล. เมย์แบงก์ ที่แนะนำ ‘สะสมลงทุน’ หุ้น KBANK หรือ ธนาคารกสิกรไทย (ธุรกิจธนาคาร) มองว่าน่าสนใจทั้งในแง่ Valuation (การประเมินมูลค่า) ที่ถูกกว่ากลุ่ม และคาดการณ์ผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE – Return on Equity) ที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย หรือ บล. ฟิลลิป ที่แนะนำ ‘ซื้อ’ หุ้น RCL หรือ บริษัท เรือคอนเทนเนอร์ โดยดูจากสัญญาณกราฟทางเทคนิค (Technical Analysis) คาดว่ามีโอกาสฟื้นตัว

แต่ถ้าอยากก้าวไปอีกขั้น มองหาโอกาสที่ใหญ่กว่าบ้านเราล่ะ? ก็ต้องไป ‘ตลาดหุ้นต่างประเทศ’ เลยครับ นี่เป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนไทยในการกระจายความเสี่ยง (Diversification) และเข้าถึงบริษัทชั้นนำระดับโลก (Global Leaders) ที่อาจจะไม่มีในตลาดหุ้นไทยเลย เช่น บริษัทที่เน้นเทคโนโลยีสุดล้ำ อุตสาหกรรมก้าวหน้าอย่าง AI (Artificial Intelligence – ปัญญาประดิษฐ์), EV (Electric Vehicle – รถยนต์ไฟฟ้า), E-commerce (อีคอมเมิร์ซ), Cloud Computing (คลาวด์คอมพิวติ้ง) หรือ พลังงานสะอาด (Clean Energy) ตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดใหญ่ๆ อย่างสหรัฐอเมริกา จะมีขนาดตลาดที่ใหญ่กว่ามาก อุตสาหกรรมหลากหลายกว่า สภาพคล่อง (Liquidity) สูงกว่า ตลาดพวกนี้ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก และการพัฒนาของนวัตกรรมใหม่ๆ แม้ระยะสั้นอาจมีความผันผวนจากปัจจัยระดับโลก เช่น นโยบายการเงิน หรือสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ แต่แนวโน้มระยะยาวยังคงเป็นบวกครับ

มี หุ้น ต่างประเทศตัวดังๆ ที่นักลงทุนไทยนิยมมองหาและน่าสนใจสำหรับ แนะนำหุ้น ต่างประเทศ เช่น AAPL หรือ Apple Inc. (ธุรกิจเทคโนโลยี) เจ้าแห่งนวัตกรรม, AMZN หรือ Amazon.com Inc. (อีคอมเมิร์ซ และ คลาวด์คอมพิวติ้ง) ผู้นำตลาดที่ยังโตต่อเนื่อง, NVDA หรือ NVIDIA Corporation (ชิปประมวลผลกราฟิก) หัวใจสำคัญของ AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่, TSLA หรือ Tesla Inc. (รถยนต์ไฟฟ้า และ เทคโนโลยีพลังงานสะอาด) ผู้นำในอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็ว, และ MSFT หรือ Microsoft Corporation (ซอฟต์แวร์ และ คลาวด์คอมพิวติ้ง) ยักษ์ใหญ่ที่แข็งแกร่งทั้งใน AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง อย่าง MSFT เอง ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 ก็ยังแข็งแกร่ง รายได้รวม (Total Revenue) อยู่ที่ 69.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 12% จากปีก่อน และรายได้จากธุรกิจคลาวด์ (Cloud Computing) Azure ก็ยังโตถึง 21% นักวิเคราะห์ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 542 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากราคาปัจจุบัน 408 ดอลลาร์สหรัฐฯ (+33%) ซึ่งมองว่าเป็นหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนระยะยาวในธีม AI และคลาวด์ นอกจากนี้ยังมีตัวอื่นๆ เช่น CVX หรือ Chevron Corporation (ธุรกิจพลังงานครบวงจร) ที่สร้างกระแสเงินสดดีและจ่ายปันผลสูงต่อเนื่อง หรือ ADBE หรือ Adobe Inc. (ซอฟต์แวร์สร้างสรรค์) ที่ขยายตัวในกลุ่ม AI และ SaaS (Software as a Service) นักลงทุนไทยอย่างเรา อยากลงทุน หุ้น พวกนี้ ทำได้หลายแบบครับ ทั้งเปิดบัญชีตรงกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ หรือจะซื้อผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (Mutual Fund) ก็ได้ บางบริษัทหลักทรัพย์ อย่างเช่น หยวนต้า (ประเทศไทย) ก็มีบริการและเครื่องมือช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงตลาดหุ้นต่างประเทศได้สะดวกขึ้น มีบทวิเคราะห์และทีมผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ แต่ก็ต้องระวังเรื่องความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและความผันผวนของตลาดด้วยนะครับ

สรุปแล้ว โลกของการลงทุนในหุ้น ไม่ว่าจะในไทยหรือต่างประเทศ ก็มีโอกาสให้เราคว้าได้เสมอครับ แต่หัวใจสำคัญคือ ‘ต้องทำการบ้าน’ ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ วิเคราะห์ทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis) ถ้าสนใจ หุ้น ปันผลสูง ก็มองหากลุ่ม SETHD ที่ให้กระแสรายได้สม่ำเสมอ ถ้าชอบการเติบโตแบบก้าวกระโดด ก็ลองศึกษาหุ้นเติบโต หรือหุ้นในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ไทย หรือ หุ้น ต่างประเทศ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) โดยการกระจายการลงทุน (Diversification) และการกำหนดแผนการลงทุนที่ชัดเจน เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ครับ สำหรับมือใหม่ อาจจะเริ่มจากกองทุนรวมก่อนก็ได้ หรือถ้าอยากลุยเอง ก็เริ่มจากเงินจำนวนน้อยๆ ที่รับความเสี่ยงได้ ลองศึกษาหุ้นที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวันก่อน หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทหลักทรัพย์ที่คุณใช้บริการได้เลยครับ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ และถ้าเงินทุนของเราไม่ได้มีสภาพคล่องสูง คืออาจจะต้องใช้เงินก้อนนี้ในอนาคตอันใกล้ ควรประเมินให้ดีมากๆ ก่อนนำมาลงทุนในหุ้นนะครับ