หุ้น ราคาถูก อนาคตไกล: ขุมทรัพย์รอคุณค้นพบ!

ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยมันดูสวิงๆ ขึ้นๆ ลงๆ จนหลายคนรู้สึกมึนๆ งงๆ ไม่รู้จะไปทางไหนดี บางทีเห็นหุ้นตัวนั้นราคาลงมาเยอะ ก็น่าสนใจ แต่พอจะซื้อก็กลัวว่าจะลงไปอีก หรือบางทีเห็นหุ้นตัวนี้ราคาวิ่งแรงจัง ไล่ซื้อดีไหมนะ? คำถามพวกนี้วนเวียนอยู่ในหัวนักลงทุนเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่บรรยากาศไม่แน่นอนแบบนี้

เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อ “เป้” ทำงานออฟฟิศธรรมดาๆ นี่แหละ วันก่อนก็ไลน์มาถามผมว่า “เฮ้ย ช่วงนี้มีหุ้นตัวไหนราคาถูกๆ น่าเก็บไว้กินปันผลยาวๆ ไหมวะ เห็นตลาดแบบนี้แล้วไม่กล้าซื้อเลย แต่ก็เสียดายโอกาส” คำถามของเป้นี่แหละครับ สะท้อนใจนักลงทุนหลายๆ คนได้ดี คืออยากลงทุนแหละ อยากได้ของดีราคาถูก แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน กลัวติดดอย กลัวขาดทุน

ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่คลุกคลีกับตัวเลขและกราฟมานาน ผมอยากจะบอกว่า ใช่ครับ ตลาดผันผวนนี่แหละคือ “โอกาส” ในการค้นหา “หุ้น ราคาถูก อนาคตไกล” ที่แท้จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าหุ้นที่ราคาต่ำๆ ทุกตัวจะดีนะครับ เราต้องรู้จักเลือกให้เป็น เหมือนการเดินตลาดนัดมือสองนั่นแหละ ของดีซ่อนอยู่ในกองเยอะแยะ แต่ก็มีของที่เก่าเกินไปจนใช้ไม่ได้ปนอยู่ด้วย

แล้วเราจะหา “หุ้น ราคาถูก อนาคตไกล” เจอได้ยังไงล่ะ? มันมีหลักการอยู่ครับ ไม่ใช่เรื่องของดวงอย่างเดียว ซึ่งหลักการนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย ถ้าเรามองข้ามความผันผวนระยะสั้นไปก่อน แล้วหันมาสนใจที่ “พื้นฐาน” ของบริษัทนั้นๆ แทน หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า “หุ้นปัจจัยพื้นฐานดี” ใช่ไหมครับ นั่นแหละคือจุดเริ่มต้น

ลองนึกภาพง่ายๆ นะครับ เหมือนเราจะซื้อสวนผลไม้ เราก็ต้องไปดูว่าต้นไม้ในสวนแข็งแรงไหม ให้ผลผลิตดีสม่ำเสมอหรือเปล่า ดินดีไหม น้ำท่าเป็นยังไง เจ้าของดูแลดีแค่ไหน ไม่ใช่แค่ดูว่าป้ายหน้าสวนเขียนว่า “ราคาถูก” แล้วก็พุ่งเข้าไปซื้อเลย การลงทุนในหุ้นก็เหมือนกันครับ เรากำลังซื้อ “ส่วนหนึ่งของความเป็นเจ้าของธุรกิจ” ดังนั้น เราต้องดูว่าธุรกิจนั้นๆ มันดีจริงหรือเปล่า ต่างหาก

ในตลาดหุ้นไทยเอง มีหุ้นอยู่หลายกลุ่มที่น่าสนใจในมุมของการมองหา “หุ้น ราคาถูก” หรือ “หุ้นอนาคตไกล” สลับกันไปครับ บางทีก็มาพร้อมกัน แต่บางทีก็แยกกัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และลักษณะของธุรกิจนั้นๆ

กลุ่มแรกที่หลายคนนึกถึงเวลาพูดถึง “หุ้นราคาถูก” ก็คือหุ้นที่มีราคาซื้อขายต่อหุ้นในตลาดต่ำๆ โดยเฉพาะที่ต่ำกว่า 10 บาท หรือที่บางคนเรียกว่า “หุ้นเล็ก” หรือ “หุ้นจิ๋ว” หุ้นกลุ่มนี้มีเสน่ห์ตรงที่ใช้เงินลงทุนไม่เยอะต่อหุ้น ถ้าโชคดีเจอตัวที่มีศักยภาพจริงๆ ผลตอบแทนอาจจะพุ่งแรงหลายเท่าตัวได้เลยครับ

แต่ย้ำอีกครั้งว่า ราคาต่ำไม่เท่ากับมูลค่าต่ำนะครับ! หุ้นราคาต่ำกว่า 10 บาทจำนวนมากมีราคาต่ำเพราะพื้นฐานไม่ดีจริงๆ กำไรน้อย ขาดทุนต่อเนื่อง หรือมีปัญหาบางอย่าง แต่ก็มีบางส่วนที่เข้าเกณฑ์น่าสนใจอยู่เหมือนกัน ตามข้อมูลที่เคยรวบรวมโดย THE STANDARD WEALTH ซึ่งดูจากหุ้นราคาต่ำกว่า 10 บาทที่มีเกณฑ์น่าสนใจในแง่ P/E Ratio (อัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ) ต่ำกว่า 15 เท่า, มีการจ่ายเงินปันผลสูง (เกิน 4.00% ในปี 2565) และราคาในปีนั้น (YTD) ยังเป็นบวกอยู่บ้าง ตัวอย่างหุ้นที่เข้าเกณฑ์นี้ในปี 2565 ก็มีหลายตัว เช่น UVAN, TRUBB, SC, CHG, SENA, PRM, EP, ASW, LALIN, QH เป็นต้น *อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้เป็นตัวอย่างเกณฑ์และรายชื่อหุ้นจากในอดีต ณ ปี 2565 ซึ่งสถานการณ์และปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอาจเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ผู้ลงทุนต้องตรวจสอบข้อมูลปัจจุบันและวิเคราะห์ด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ*

นอกจากหุ้นราคาต่ำต่อหุ้นแล้ว คำว่า “ราคาถูก” อีกแบบที่เราสนใจคือ “หุ้นถูกประเมินค่าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง” อันนี้แหละน่าสนใจกว่าเยอะครับ เพราะมันไม่ได้ดูแค่ราคาหน้าตั๋ว แต่ดูว่าเมื่อเทียบกับ “คุณค่า” ของบริษัทแล้ว ราคาตลาดมัน “ถูก” ไปไหม เครื่องมือหนึ่งที่ใช้ดูคือ P/BV Ratio (อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น) ถ้า P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า ก็อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นว่าหุ้นตัวนั้นกำลังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) ของมันอยู่ครับ

ช่วงตลาดผันผวนหรือช่วงที่หุ้นโดนเทขายลงมามากๆ เพราะปัจจัยภายนอกชั่วคราว ทั้งๆ ที่พื้นฐานบริษัทยังดีอยู่นี่แหละ คือโอกาสทองในการช้อนซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีในราคาที่ถูกลงกว่าที่ควรจะเป็นครับ ตามข้อมูลของสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทยและ IAA Consensus ช่วงปลายปี 2567 พบว่ามีหุ้นน่าสนใจหลายตัวที่ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า) และที่สำคัญคือนักวิเคราะห์หลายท่านคาดการณ์ว่ากำไรในปี 2567-2568 มีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในอนาคตด้วย ตัวอย่างหุ้นที่เข้าเกณฑ์น่าสนใจในเวลานั้นก็มีหลากหลายอุตสาหกรรมครับ เช่น STGT, SCGD, SHR, SJWD, RATCH, KTB, TTB, KBANK, BBL, TU, SPRC, BTG, IVL, CPF เป็นต้น หุ้นเหล่านี้หลายตัวเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีธุรกิจที่มั่นคง แต่ราคาอาจจะยังไม่สะท้อนศักยภาพการทำกำไรที่จะกลับมาในปีต่อๆ ไปเท่าที่ควร *ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า รายชื่อหุ้นเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างจากข้อมูล ณ ปลายปี 2567 และเป็นเพียงเกณฑ์เบื้องต้นตาม P/BV และการคาดการณ์กำไรเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำให้ซื้อขาย และผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเชิงลึก วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานปัจจุบัน และแนวโน้มของอุตสาหกรรมด้วยตัวเองก่อนเสมอครับ*

คราวนี้มาดูฝั่งของ “อนาคตไกล” กันบ้างครับ หุ้นที่มีอนาคตไกลมักจะเป็นหุ้นของบริษัทที่มีการเติบโต (Growth Stock) มีธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวโน้มใหญ่ของโลกหรือของประเทศ (Megatrends) มีนวัตกรรม มีแผนการขยายธุรกิจที่ชัดเจน และมีแหล่งรายได้ที่ยั่งยืน หุ้นกลุ่มนี้อาจจะมี P/E Ratio หรือ P/BV Ratio ที่สูงกว่าหุ้นปกติ เพราะตลาดมองเห็นศักยภาพการเติบโตในอนาคตและยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อหุ้นตัวนี้

การลงทุนในหุ้นเติบโตต้องใช้ความอดทนและมองระยะยาวจริงๆ ครับ อาจจะต้องถืออย่างน้อย 3-7 ปี หรือนานกว่านั้น เพราะผลตอบแทนก้อนใหญ่มักจะมาจาก “การเติบโตของธุรกิจ” ที่สะท้อนไปที่ราคาหุ้นในระยะยาว ความผันผวนระหว่างทางมีสูงแน่นอน เพราะความคาดหวังของตลาดเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

เซียนหุ้นระดับโลกอย่าง Warren Buffett เคยกล่าวไว้ทำนองว่า “อย่าซื้อหุ้นถ้าคุณไม่คิดจะถือ 10 ปี” แนวคิดนี้สะท้อนความสำคัญของการมอง “อนาคตไกล” และการถือครอง “ระยะยาว” ได้เป็นอย่างดีครับ เพราะในระยะยาว ราคาหุ้นมักจะวิ่งตาม “มูลค่าที่แท้จริง” ของธุรกิจ ซึ่งมาจากความสามารถในการทำกำไรและการเติบโตของบริษัทนั้นๆ

ยังมีแนวคิดการลงทุนที่น่าสนใจอีกอย่างคือการมองหา “หุ้นศักยภาพสูง” ที่อาจจะเติบโตได้หลายเท่าตัวในระยะยาว หรือที่บางคนเรียกว่า “หุ้น 10 เด้ง” แนวคิดนี้ไม่ได้หากันง่ายๆ และต้องใช้เวลาและความเข้าใจในธุรกิจอย่างลึกซึ้ง ผู้ลงทุนที่มองหาหุ้นแบบนี้มักจะเน้นลงทุนในบริษัทที่ตัวเองเข้าใจธุรกิจจริงๆ มีปัจจัยพื้นฐานดีเยี่ยม มีศักยภาพการเติบโตแบบก้าวกระโดด และถือครองในระยะยาวมากๆ โดยอาจจะมองหาโอกาสซื้อในช่วงที่ตลาดหรือราคาหุ้นปรับฐานลงมา ซึ่งเป็นช่วงที่เราอาจจะได้ของดีในราคาที่ไม่แพงเกินไปครับ

Moneybuffalo เคยยกตัวอย่างหุ้นในตลาดไทยที่เคยเติบโตหลายเท่าตัวให้เห็นภาพ เช่น หุ้น EA ที่ราคาเคยเพิ่มขึ้นกว่า 1,500% ในช่วงปี 2556-2565 โดยบริษัทได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ห่วงโซ่ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร หรือหุ้น FORTH ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เด้งในช่วง 16 ปี (2549-2565) จากการขยายสู่ธุรกิจที่ต่อเนื่อง เช่น ตู้เต่าบิน หรือ ตู้บุญเติม ซึ่งเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การเติบโตแบบก้าวกระโดดในระยะยาวนั้นเกิดขึ้นได้จริงกับบริษัทที่มีวิสัยทัศน์และปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลง *ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงการอ้างอิงจากในอดีตและผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งรับประกันผลตอบแทนในอนาคตนะครับ*

นอกจากหุ้นที่เน้นการเติบโตหวือหวาแล้ว หุ้น “อนาคตไกล” อีกประเภทที่เรามองหาอาจจะเป็นหุ้นของบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม มีความมั่นคงสูง และมีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ พร้อมๆ กับมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หรือได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มใหญ่ของเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่เราคุ้นเคยกันดีหลายตัว ที่นักวิเคราะห์หรือสถาบันการเงินหลายแห่ง (อย่างเช่นมุมมองที่เคยนำเสนอโดย Krungsri) มองว่าน่าสนใจในระยะยาวและมักจะมีการจ่ายเงินปันผลที่ดีและสม่ำเสมอด้วย หุ้นเหล่านี้อาจจะไม่ได้ “ราคาถูก” ในแง่ของราคาต่อหุ้น แต่มี “มูลค่า” สูงและมี “อนาคตไกล” ในแง่ความมั่นคงและการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น PTT (กลุ่มพลังงาน), ADVANCE (โทรคมนาคม AIS), AOT (สนามบิน), CPALL (ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven), BDMS (โรงพยาบาลเอกชน) เป็นต้น หุ้นเหล่านี้เป็นเหมือนเสาหลักของเศรษฐกิจไทย มีธุรกิจที่แข็งแกร่ง และได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว สังคมสูงอายุ หรือการขยายตัวของเมืองและการบริโภค แม้ราคาอาจจะไม่ได้หวือหวา แต่ความสม่ำเสมอของกำไรและเงินปันผล รวมถึงศักยภาพการเติบโตตามเศรษฐกิจ ก็ทำให้เป็นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาวครับ

การลงทุนระยะยาวนี่แหละครับคือหัวใจสำคัญของการตามหา “หุ้น ราคาถูก อนาคตไกล” เพราะในระยะสั้น ตลาดหุ้นได้รับอิทธิพลจากข่าวสาร ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค และความรู้สึกของนักลงทุน ทำให้ราคาผันผวนขึ้นลงได้ตลอดเวลา แต่ในระยะยาว ราคาจะสะท้อน “มูลค่า” และ “ผลประกอบการ” ของบริษัทได้ดีกว่าครับ จากสถิติของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดัชนีผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นไทย (SET TRI) ซึ่งรวมเงินปันผลเข้าไปด้วย แสดงให้เห็นว่า การลงทุนระยะยาวให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการพยายามจับจังหวะตลาดระยะสั้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะเริ่มลงทุนในช่วงที่ตลาดดูย่ำแย่ในตอนแรกก็ตาม

สรุปแล้ว การจะหา “หุ้น ราคาถูก อนาคตไกล” ต้องอาศัยการผสมผสานหลายๆ อย่างเข้าด้วยกันครับ:

1. **มองหาโอกาสในช่วงตลาดผันผวน:** ช่วงที่ตลาดปรับฐานเพราะข่าวร้ายหรือปัจจัยภายนอกที่ไม่กระทบต่อธุรกิจโดยตรง มักจะเป็นช่วงที่เราจะได้ซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีในราคาที่ถูกลง
2. **เน้นวิเคราะห์ “ปัจจัยพื้นฐาน”:** หัวใจสำคัญคือการทำความเข้าใจธุรกิจที่เราจะลงทุนจริงๆ ดูว่าบริษัททำอะไร รายได้มาจากไหน มีกำไรสม่ำเสมอไหม หนี้สินเป็นอย่างไร อุตสาหกรรมที่บริษัทอยู่มีแนวโน้มอย่างไร คู่แข่งเป็นอย่างไร อันนี้สำคัญกว่าการดูแค่ราคาหุ้นขึ้นหรือลงในแต่ละวันครับ P/E Ratio, P/BV Ratio หรือ Dividend Yield เป็นเครื่องมือช่วยในการประเมิน “ความถูก” และ “คุณภาพ” เบื้องต้นได้ แต่อย่าใช้แค่ตัวเลขเหล่านี้ ต้องดูภาพรวมทั้งหมด
3. **มองหา “อนาคตไกล”:** พิจารณาว่าบริษัทมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวไหม มีแผนการขยายธุรกิจไหม ได้ประโยชน์จากแนวโน้มใหญ่ๆ ของโลกหรือประเทศไหม บริษัทมีการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า
4. **ใช้มุมมอง “ระยะยาว”:** เมื่อเจอหุ้นที่เข้าเกณฑ์แล้ว ให้ลงทุนด้วยมุมมองระยะยาว อย่างน้อย 3-5 ปีขึ้นไป เพื่อให้ธุรกิจมีเวลาเติบโตและแสดงศักยภาพออกมา การถือยาวจะช่วยลดความกังวลจากความผันผวนรายวันและเปิดโอกาสให้ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลและการเติบโตของราคาหุ้นอย่างเต็มที่
5. **บริหารความเสี่ยง:** อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปที่หุ้นตัวเดียว ควรมีการกระจายการลงทุน (Diversification) ในหลายๆ อุตสาหกรรม หรือหลายๆ ประเภทของหุ้น เพื่อลดความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

การลงทุนไม่ได้ยากอย่างที่คิดครับ แต่ก็ไม่ได้ง่ายจนไม่ต้องทำอะไรเลย มันต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และที่สำคัญคือ “ความอดทน” การศึกษาข้อมูล การติดตามข่าวสาร และการประเมินสถานการณ์อยู่เสมอเป็นสิ่งจำเป็น แหล่งข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ข่าวการเงิน (เช่น สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย, THE STANDARD WEALTH), บทวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ, ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือข้อมูลจากเว็บไซต์ของบริษัทที่เราสนใจ ล้วนเป็นแหล่งความรู้ที่มีค่าครับ

สำหรับเพื่อนๆ หรือใครก็ตามที่กำลังมองหา “หุ้น ราคาถูก อนาคตไกล” ในช่วงตลาดแบบนี้ ขอให้จำไว้ว่านี่คือโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจดีๆ ในราคาที่เหมาะสม แต่อย่าลืมทำการบ้านอย่างละเอียดด้วยตัวเองนะครับ อย่าซื้อตามคนอื่นบอกเพียงอย่างเดียว เพราะเงินลงทุนเป็นของตัวเราเองครับ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะถ้าเงินก้อนนี้เป็นเงินที่คุณอาจต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้ อาจต้องประเมินความเสี่ยงและสภาพคล่องของตัวเองให้ดีก่อนนะครับ/คะ การหาหุ้นราคาถูกอนาคตไกลต้องใช้เวลาศึกษาและอดทนถือครองในระยะยาวครับ