หุ้นมาแรง 2568: เจาะลึกโอกาสทองรับเศรษฐกิจฟื้น!

เคยไหมครับ/คะ เวลาเจอเพื่อนๆ คุยกันเรื่องหุ้น แล้วเราก็อยากรู้บ้างว่าช่วงนี้มี “หุ้น มา แรง” ตัวไหนน่าจับตามอง หรือตลาดหุ้นตอนนี้เป็นยังไงนะ? ไม่ต้องกังวลครับ/ค่ะ ในฐานะคอลัมนิสต์การเงิน ผมจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกันในร้านกาแฟเลยครับ

ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยเรา (SET Index) ก็ขยับๆ อยู่แถวๆ 1,162.97 จุดนะ (ข้อมูลเช้าวันที่ 13 มี.ค. 2567) บวกขึ้นมานิดหน่อย +0.25% มูลค่าซื้อขายก็ประมาณ 17,873 ล้านบาท คือมันไม่ได้หวือหวามาก เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ แต่น่าสนใจตรงที่บริษัทเล็กๆ ในตลาด mai หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เนี่ย เขาดูคึกคักนะ บริษัทเกือบทั้งหมด 97% (215 จาก 222 บริษัท) รายงานผลประกอบการปี 2567 ออกมาแล้ว กลุ่มธุรกิจทั่วไปอย่างเช่นพวกบริการหรือสินค้าอุปโภคบริโภคนี่กำไรดีขึ้นเลย เห็นชัดเลยว่าได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก ทำให้เศรษฐกิจบ้านเราเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง อันนี้ผู้บริหารบริษัทใหญ่อย่าง BTG หรือ เบทาโกร เขาก็ยืนยันนะว่าปี 2568 เศรษฐกิจไทยน่าจะดีขึ้น เพราะการท่องเที่ยวกับการจับจ่ายใช้สอยของคนทั่วไปมันดีขึ้น

ทีนี้ถ้าไปดูตลาดต่างประเทศบ้าง ตลาดหุ้นทั่วโลกนี่ก็เหมือนรถไฟเหาะ มีขึ้นมีลง ผันผวนตามปัจจัยต่างๆ ทั้งเรื่องนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (บางทีก็กังวลเรื่องจะขึ้นดอกเบี้ย จะลดดอกเบี้ย), สงครามการค้า, หรือสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ แต่ถ้ามองยาวๆ นะ หุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมนี่น่าจับตามากๆ เพราะมันเป็นเมกะเทรนด์ของโลก อย่างข่าวดีที่ตลาดเอเชียรับมาเร็วๆ นี้ก็คือ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่อเมริกามันชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด นี่เป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้นักลงทุนใจชื้นขึ้นบ้าง แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปบางช่วงจะเปิดมาแบบไร้ทิศทาง เพราะกังวลเรื่องนโยบายภาษีหรือการค้าของอเมริกาบ้างก็ตาม

หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้ว “หุ้น มา แรง” ที่เขาพูดถึงกันนี่ มันคืออะไรกันแน่? ส่วนใหญ่มันก็จะไปเชื่อมโยงกับคำว่า “หุ้นเติบโต” (Growth Stock) นั่นแหละครับ หุ้นกลุ่มนี้เปรียบเสมือนต้นไม้ที่กำลังโตเร็วมากๆ ไม่ใช่ต้นไม้ใหญ่ที่โตช้าๆ แล้วคอยออกผล (จ่ายปันผล) ให้เราเก็บกินนะ แต่เป็นต้นที่เอาพลังงานทั้งหมด (กำไร) ไปเร่งการเติบโตให้สูงที่สุด แล้วหวังว่าต้นมันจะใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น จนราคาต้น (ราคาหุ้น) ก็แพงขึ้นตามไปด้วย

แล้วหุ้นเติบโตมันมีลักษณะยังไงบ้างล่ะ?
1. **โตเร็วเว่อร์:** รายได้และกำไรต้องเติบโตเร็วกว่าตลาด หรืออุตสาหกรรมเดียวกันมากๆ
2. **ลงทุนเก่ง:** เขาชอบเอาเงินไปลงทุนในนวัตกรรมใหม่ๆ (R&D – Research and Development) หรือขยายธุรกิจแบบไม่หยุดนิ่ง
3. **ไม่ค่อยงกปันผล:** ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยจ่ายปันผล หรือจ่ายน้อยมากๆ เพราะเอาเงินไปลงทุนต่อยอดธุรกิจไง
4. **งบการเงินปึ้ก:** มีงบดุลที่แข็งแกร่ง เพราะถ้าโตเร็วแล้วเงินช็อตนี่ก็แย่เลย
5. **ราคาดูแพงหน่อย (P/E สูง):** ราคาหุ้นมักจะสูงกว่ากำไรต่อหุ้นมาก (อัตราส่วน P/E Ratio) เพราะนักลงทุนคาดหวังการเติบโตในอนาคตสูงไง
6. **ความเสี่ยงก็สูงตาม:** ถ้าเขาโตไม่ถึงเป้าตามที่นักลงทุนคาดหวัง ราคาหุ้นก็อาจจะร่วงแรงได้เหมือนกัน
7. **มักจะเป็นผู้นำหรือผู้บุกเบิก:** มักจะเป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ หรือเป็นเจ้าตลาดที่สร้างเทรนด์ใหม่ๆ

การลงทุนในหุ้นเติบโตเนี่ย เหมาะกับคนที่มองยาวๆ นะ อย่างน้อย 3 ปี หรือดีที่สุดคือ 7 ปีขึ้นไป เพราะการเติบโตมันต้องใช้เวลา ถ้าถือสั้นๆ อาจจะเจอความผันผวนระหว่างทางแล้วท้อได้นะ ก่อนจะลงทุนก็ต้องทำการบ้านเยอะๆ ด้วย ไม่ใช่เห็นเขาว่า “หุ้น มา แรง” ก็ซื้อตามทันทีนะ ต้องวิเคราะห์อุตสาหกรรม, งบการเงิน, ประเมินความเสี่ยง, ดูแนวโน้มราคา (วิเคราะห์เชิงเทคนิค), ติดตามข่าวสาร และที่สำคัญคือต้องบริหารความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุน ไม่ใช่ทุ่มหมดหน้าตักไปที่หุ้นตัวเดียวล่ะ

มาดูกันที่ “หุ้น มา แรง” ที่น่าสนใจในบ้านเราสำหรับปี 2568 บ้างดีกว่า ตามที่นักวิเคราะห์เขามองไว้นะครับ/คะ มีหลายตัวที่น่าจับตาในอุตสาหกรรมหลักๆ เลย:

* **SPRC (บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน)):** ตัวนี้อยู่ในกลุ่มพลังงานและโรงกลั่นน้ำมัน นักวิเคราะห์มองว่า SPRC ได้ประโยชน์จากค่าการกลั่นน้ำมันที่ดีขึ้น และบริหารต้นทุนได้ดี ราคาหุ้นตอนนี้ดูเหมือนจะต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานด้วยนะ คาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) จะกลับมาเป็นบวกในปี 2568 เป้าหมายราคาที่นักวิเคราะห์มองไว้ประมาณ 7.97 บาท มีอัพไซด์ (โอกาสที่ราคาจะขึ้น) ถึง 56.3% เลย
* **BTG (บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)):** ตัวนี้อยู่ในกลุ่มเกษตรและอาหาร เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจครบวงจรเลยนะ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ตอนนี้กำลังขยายตลาดส่งออกและธุรกิจ Food Service (บริการอาหารตามร้านอาหาร โรงแรม) ผู้บริหารเขามั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะฟื้นตัว ซึ่งจะหนุนธุรกิจของ BTG ด้วย คาดว่ากำไรปี 2568 จะโตประมาณ 12% จากราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ดีขึ้น และต้นทุนการผลิตที่ลดลง นักวิเคราะห์มองเป้าหมายไว้ 24 บาท มีอัพไซด์ 40.9% แถมยังได้คะแนนด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล) ระดับ AAA ด้วยนะ
* **IVL (บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)):** ตัวนี้อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติก PET ระดับโลกเลยนะ IVL เขามีจุดเด่นตรงที่ลงทุนในธุรกิจรีไซเคิลพลาสติกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ ESG ทั่วโลก คาดว่าธุรกิจรีไซเคิลนี่แหละจะช่วยเพิ่มกำไรในอนาคต นักวิเคราะห์มองเป้าหมายราคาไว้ 27.50 บาท มีอัพไซด์ 19.6% จากความเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมจะฟื้นตัว
* **CPF (บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)):** อีกหนึ่งพี่ใหญ่ในวงการเกษตรและอาหารของไทย ทำธุรกิจครบวงจรเช่นกัน CPF ได้ประโยชน์จากราคาปศุสัตว์ (เช่น ราคาหมู ไก่) ที่สูงขึ้น และความต้องการอาหารแปรรูปทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผู้บริหาร CPF ออกมาย้ำเองเลยนะว่ามั่นใจว่ากำไรปี 2568 จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 (ซึ่งพลิกกลับมามีกำไรได้) ตั้งเป้ารายได้โต 5-8% เลย นักวิเคราะห์มองเป้าหมายราคาไว้ 30 บาท มีอัพไซด์ 45.5% มาจากปัจจัยเรื่องราคาเนื้อสัตว์ดี ต้นทุนลดลง และศักยภาพในการส่งออก

นอกเหนือจากหุ้นไทยแล้ว ถ้าเราอยากจะกระจายความเสี่ยง หรือไปลงทุนในบริษัทระดับโลกที่เป็น “หุ้น มา แรง” บ้างล่ะ จะมีตัวไหนน่าสนใจ? สำหรับนักลงทุนไทย เราก็มีโอกาสไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศชั้นนำที่มีศักยภาพเติบโตสูงในระยะยาวได้นะ นี่คือตัวอย่างหุ้นต่างประเทศที่นักวิเคราะห์แนะนำให้จับตาในปี 2024-2025:

* **MSFT (Microsoft Corporation):** พี่ใหญ่ในวงการเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ และคลาวด์ (อย่างบริการ Azure) ตอนนี้โตแรงมากในธุรกิจคลาวด์และ AI นักวิเคราะห์มองเป้าหมายไว้ถึง 542 ดอลลาร์สหรัฐฯ มีอัพไซด์ประมาณ 33%
* **AAPL (Apple Inc.):** เจ้าของผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอย่าง iPhone, iPad, Mac และบริการต่างๆ ยังมีโอกาสเติบโตอีกมากจากนวัตกรรมใหม่ๆ ตลาดเกิดใหม่ เทคโนโลยี 5G และ AR/VR เป็นบริษัทที่ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งสุดๆ
* **AMZN (Amazon.com Inc.):** ผู้นำอีคอมเมิร์ซระดับโลก และผู้ให้บริการคลาวด์ (AWS – Amazon Web Services) ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ลงทุนหนักในด้าน AI และระบบโลจิสติกส์ มีโอกาสเติบโตในหลากหลายธุรกิจมากๆ
* **NVDA (NVIDIA Corporation):** บริษัททำชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) ที่เป็นหัวใจหลักของเกม AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ศักยภาพโตสูงมาก เพราะเทคโนโลยี AI และ GPU ในศูนย์ข้อมูลกำลังเป็นที่ต้องการสูงมาก
* **TSLA (Tesla Inc.):** ผู้นำยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และธุรกิจพลังงานสะอาด เติบโตเร็วมากจากความต้องการรถ EV ทั่วโลก ยังมีธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ ศักยภาพโตสูงจากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
* **CVX (Chevron Corporation):** บริษัทพลังงานครบวงจร เป็นหุ้นที่สร้างกระแสเงินสดได้สูง และจ่ายปันผลต่อเนื่องในอัตราที่สูงด้วย มีโครงการน้ำลึกที่ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคต
* **ADBE (Adobe Inc.):** บริษัทซอฟต์แวร์สร้างสรรค์ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Photoshop, Illustrator ตอนนี้กำลังขยายตัวในกลุ่ม AI และซอฟต์แวร์แบบสมัครสมาชิก (SaaS – Software as a Service)

แล้วนักลงทุนไทยอย่างเราจะไปลงทุนหุ้นต่างประเทศพวกนี้ได้ยังไงล่ะ? ไม่ยากอย่างที่คิดนะ เราสามารถลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ในไทยที่เขาเปิดให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้เลย หรือจะลงทุนผ่านกองทุนรวม (Mutual Fund) ที่มีนโยบายไปลงทุนในต่างประเทศก็ได้ การเปิดบัญชีก็คล้ายๆ เปิดบัญชีหุ้นไทย แต่ต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติมบ้าง ที่สำคัญคือต้องทำความเข้าใจเรื่องค่าธรรมเนียมและภาษีที่เกี่ยวข้องด้วยนะ

แต่การลงทุนในต่างประเทศก็มีข้อควรระวังนะ เหมือนเวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศแล้วต้องแลกเงินนั่นแหละ:
1. **ความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน:** ถ้าเราลงทุนในหุ้นที่ใช้สกุลเงินอื่น แล้วเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินนั้น แม้ราคาหุ้นจะขึ้น เราก็อาจจะไม่ได้กำไร หรือกำไรน้อยลง เพราะตอนแลกเงินกลับเป็นบาทจะได้น้อยลงนะ กลับกันถ้าเงินบาทอ่อนค่า เราก็จะได้ประโยชน์
2. **ความผันผวนของตลาด:** ตลาดต่างประเทศบางทีก็ผันผวนตามปัจจัยของประเทศเขาที่เราอาจจะไม่คุ้นเคย
3. **กฎระเบียบที่ต่างกัน:** กฎเกณฑ์ของแต่ละประเทศอาจจะไม่เหมือนบ้านเรา ควรศึกษาให้ดี

โชคดีที่ตอนนี้โบรกเกอร์หลายเจ้ามีบริการสนับสนุนการลงทุนต่างประเทศดีขึ้นมากนะ มีเครื่องมือวิเคราะห์ให้เพียบ ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ มีบทวิเคราะห์ให้อ่านครบถ้วน ที่สำคัญคือมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลาย ไม่ใช่แค่ซื้อหุ้นตรงๆ นะ มีทั้งกองทุนรวม, DR (Depositary Receipt – ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ), DRx (Fractional DR – ซื้อ DR เป็นหน่วยย่อยๆ ได้), DW (Derivative Warrant), หรือแม้แต่ Structured Note อย่าง FCN (Callable Bull/Bear Contracts) ด้วยนะ

สรุปแล้ว ตลาดหุ้นไม่ว่าจะเป็นในไทยหรือต่างประเทศก็ยังมีความน่าสนใจ และมี “หุ้น มา แรง” ที่มีศักยภาพในการเติบโตซ่อนอยู่เยอะเลยนะครับ/คะ ตลาดหุ้นไทยเองก็มีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว ส่วนตลาดต่างประเทศก็มีหุ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลกที่เป็นเมกะเทรนด์ระยะยาวให้เราเลือกลงทุนได้

การลงทุนในหุ้นเติบโตเนี่ย ต้องเน้นมองไกลๆ ทำการบ้านเยอะๆ และบริหารความเสี่ยงให้ดีครับ/ค่ะ อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนใน “หุ้น มา แรง” หรือหุ้นตัวไหนก็ตามนะ

⚠️ จำไว้เสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ/คะ ไม่ว่าจะลงทุนในประเทศหรือต่างประเทศ การกระจายความเสี่ยงก็เป็นสิ่งสำคัญ และถ้าไม่แน่ใจ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ/คะ