ไขความลับ “หุ้น semiconductor”: โอกาสทองของนักลงทุนไทย?

เคยสงสัยไหมครับว่า… โทรศัพท์มือถือที่เราใช้ทุกวันจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต… รถยนต์ไฟฟ้าคันเท่ที่กำลังวิ่งกันเกลื่อนถนน… หรือแม้แต่ AI เจนใหม่ที่คุยเก่ง ตอบได้ทุกเรื่องราว… สิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้มีอะไรเป็น “หัวใจสำคัญ” ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง? คำตอบคือ “สารกึ่งตัวนำ” หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “เซมิคอนดักเตอร์” ครับ เจ้าชิปเล็กๆ จิ๋วๆ นี่แหละคือสมองหรือเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีแทบทุกอย่างในโลกปัจจุบัน

ถ้าลองเปรียบเทียบง่ายๆ ชิปเซมิคอนดักเตอร์ก็เหมือนอิฐตัวเล็กๆ ที่เอามาประกอบกันเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน อาคาร หรือตึกระฟ้า ยิ่งเทคโนโลยีซับซ้อนและก้าวหน้าขึ้นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องการอิฐที่พิเศษขึ้น เก่งขึ้น และมีจำนวนมากขึ้นเท่านั้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ถึงมีความสำคัญและเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาครับ

ในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงินที่ติดตามเรื่องราวเหล่านี้มานาน ผมเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นมาก อุตสาหกรรมนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถืออีกต่อไป แต่ขยายไปแทบทุกอณูของชีวิตเรา ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี 5G ที่ทำให้การเชื่อมต่อเร็วปรู๊ดปร๊าด ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่างๆ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์รอบตัวเราเข้าหากัน รถยนต์ไฟฟ้าที่อัดแน่นด้วยชิปเพื่อควบคุมระบบต่างๆ หรือแม้แต่ระบบประมวลผลสมรรถนะสูง (HPC) สำหรับงานวิจัยและคำนวณซับซ้อนๆ ทั้งหมดนี้ล้วนต้องการเซมิคอนดักเตอร์ทั้งสิ้นครับ ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น Pi Knowledge และสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (SIA) ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ความต้องการชิปเหล่านี้จะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์กันว่า มูลค่าตลาดโดยรวมอาจเติบโตได้มากกว่า 100% ภายในช่วงสิบปี ตั้งแต่ปี 2563 ไปจนถึงปี 2573 เลยทีเดียว ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงมากครับ

ทีนี้ พออุตสาหกรรมหลักมีความต้องการสูงแบบนี้ แล้วในมุมของการลงทุนล่ะ “หุ้น semiconductor” น่าสนใจแค่ไหน? คำตอบแบบตรงไปตรงมาก็คือ “น่าสนใจมาก” ครับ ด้วยเหตุผลหลักๆ คือความต้องการที่เติบโตไม่หยุดยั้ง เทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็นที่โลกขาดไม่ได้ ศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และความสำคัญในเชิงเศรษฐกิจระดับโลกของอุตสาหกรรมนี้ ทำให้หุ้นในกลุ่มนี้กลายเป็นเป้าหมายของนักลงทุนทั่วโลก

ในโลกของ หุ้น semiconductor เนี่ย ก็มีตัวท็อปๆ ที่เป็นเหมือน “บิ๊กบอส” อยู่หลายเจ้าที่เราคุ้นชื่อกันดีครับ เช่น NVIDIA เจ้าพ่อวงการ GPU ที่ช่วงหลังผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาด AI และ Big Data อย่างเต็มตัว หรือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง คอมพานี ลิมิเต็ด นี่คือโรงงานผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังมากมาย นอกจากนี้ยังมี Broadcom ที่เก่งเรื่องเซมิคอนดักเตอร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย ASML ผู้ผลิตเครื่องจักรระดับเทพที่จำเป็นต่อการผลิตชิปขั้นสูง และ Advanced Micro Devices (AMD) คู่แข่งคนสำคัญในตลาด CPU และ GPU ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเช่นกัน

เจาะลึกไปอีกนิดกับ ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง คอมพานี ลิมิเต็ด (TSMC) เจ้านี้ถือเป็น “หัวใจของหัวใจ” เลยก็ว่าได้ เพราะเขาเป็นผู้ผลิตชิปแบบ “Pure-play foundry” หรือโรงงานที่รับผลิตชิปให้กับบริษัทอื่นๆ โดยเฉพาะ ไม่ได้ออกแบบชิปของตัวเอง ซึ่งลูกค้ารายใหญ่ของ TSMC ก็คือบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เราใช้ผลิตภัณฑ์เขาอยู่ทุกวันนี่แหละครับ ไม่ว่าจะเป็น Apple, NVIDIA, AMD หรือ Qualcomm ข้อมูลพื้นฐานของ TSMC คือมี Ticker ชื่อ TSM จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไต้หวัน ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1987 และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Hsinchu ประเทศไต้หวันครับ

ความเก่งกาจของ TSMC อยู่ที่เทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำหน้าไปก่อนใคร อย่างเทคโนโลยีระดับ 3-5 นาโนเมตร ซึ่งเปรียบเสมือนการสร้างเมืองจำลองเล็กจิ๋วบนพื้นที่จำกัดให้มีประชากร (ทรานซิสเตอร์) หนาแน่นและทำงานได้รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ลองนึกภาพถนนในเมืองที่เล็กลงและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ นั่นแหละครับความท้าทายและจุดแข็งของ TSMC ที่บริษัทอื่นยังตามไม่ทัน หุ้น semiconductor อย่าง TSMC จึงมีความน่าเชื่อถือสูงมากในสายตาตลาด รายได้หลักของบริษัทในปี 2567 มาจากกลุ่ม High-Performance Computing หรือคอมพิวเตอร์และ AI ถึง 50% ตามมาด้วย Smartphone 35% และส่วนอื่นๆ อย่าง IoT, Automotive อีกราวๆ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในการใช้งานชิปของ TSMC ครับ ที่สำคัญฐานะการเงินของบริษัทก็แข็งแกร่งมาก มี Net Profit Margin สูงถึง 39.12% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2567) และยังมีตัวเลขการเติบโตของรายได้ 22.65% ในช่วง 12 เดือนล่าสุด และการจัดส่งเวเฟอร์ (แผ่นซิลิกอนที่ใช้ทำชิป) เพิ่มขึ้น 15.02% ในไตรมาสล่าสุด ซึ่งยืนยันความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดีครับ (อ้างอิงข้อมูลจากรายงานบริษัทและ Finchat.io)

แล้วเราในฐานะนักลงทุนไทยล่ะ จะเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรม “หุ้น semiconductor” ที่เติบโตแรงขนาดนี้ได้อย่างไร? การไปซื้อหุ้นรายตัวในตลาดต่างประเทศโดยตรงอาจจะซับซ้อนและต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก เครื่องมือที่นักลงทุนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้และเข้าถึงได้ง่ายกว่าก็คือ “กองทุนรวม” ครับ

สำหรับคนที่สนใจ หุ้น semiconductor ก็มีตัวเลือกที่น่าสนใจ อย่างเช่น กองทุน SCBSEMI(A) ของทาง บลจ. ไทยพาณิชย์ กองทุนนี้เป็น Feeder Fund หรือกองทุนที่ไปลงทุนต่อในกองทุนหลักต่างประเทศ ซึ่งกองทุนหลักที่ SCBSEMI(A) ไปลงทุนก็คือ VanEck Semiconductor UCITS ETF ครับ เจ้ากองทุน ETF ตัวนี้มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา โดยจะอ้างอิงดัชนี MVIS US Listed Semiconductor 25 Index ซึ่งดัชนีนี้จะคัดเลือกบริษัทในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ (Market Cap มากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมีสภาพคล่องสูงจำนวน 25 บริษัทมาเป็นส่วนประกอบครับ

จุดเด่นของกองทุน SCBSEMI(A) ก็คือการได้ไปลงทุนใน หุ้น semiconductor ชั้นนำของโลกที่มีศักยภาพการเติบโตสูงตามกระแสเทคโนโลยี นอกจากนี้การลงทุนผ่านกองทุนหลัก VanEck ที่มีกลยุทธ์คัดหุ้น Pure-play และมีการกระจุกตัวในหุ้น Top Holdings (Top 5 Holdings คิดเป็น 50.52%, Top 10 Holdings คิดเป็น 74% ของพอร์ต ณ 4 เมษายน 2568) ก็อาจจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าได้ หากกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ฟื้นตัวหรือปรับตัวขึ้นแรงๆ กองทุนยังมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วนด้วยครับ (ณ 4 เมษายน 2568 ป้องกันความเสี่ยงอยู่ที่ 67.14%) ซึ่งช่วยลดความผันผวนจากค่าเงินบาทได้ระดับหนึ่งครับ

มองดูรายละเอียดของกองทุน SCBSEMI(A) ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนและแหล่งข้อมูลอย่าง Finnomena หรือ Liberator บอกเราว่ากองทุนนี้จัดอยู่ในระดับความเสี่ยง 7 ซึ่งหมายถึง “เสี่ยงสูงปรี๊ด” นะครับ คือเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและมองการลงทุนระยะยาว กองทุนนี้เป็นชนิดสะสมมูลค่า คือไม่จ่ายเงินปันผล กำไรก็จะถูกนำไปลงทุนต่อในกองทุน ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ที่น่าสนใจคือนักลงทุนสามารถเริ่มลงทุนขั้นต่ำได้เพียง 1 บาทเท่านั้น ทำให้เข้าถึงได้ง่ายมากๆ ครับ ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมก็มีทั้งค่าธรรมเนียมขายและค่าธรรมเนียมจัดการ ซึ่งรวมๆ กันแล้วอยู่ที่ประมาณ 1.17% ต่อปีครับ (อ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ 4 เมษายน 2568 จากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น Finnomena, Liberator)

ถ้าดูผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนหลัก VanEck Semiconductor ETF ที่ SCBSEMI(A) ไปลงทุน ก็จะเห็นภาพว่ามีความผันผวนอยู่บ้าง ในบางช่วงระยะสั้นอาจจะติดลบได้ แต่ในระยะยาวก็แสดงศักยภาพการเติบโตได้ดีครับ อย่างเช่น ข้อมูล ณ วันที่ 4 เมษายน 2568 ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ +14.63% ต่อปี และ 5 ปี อยู่ที่ +29.28% ต่อปี ซึ่งถือว่าโดดเด่นมากทีเดียวครับ หุ้น 10 อันดับแรกที่กองทุนนี้ลงทุน ณ วันที่ 4 เมษายน 2568 ก็เป็นชื่อที่เราพูดถึงไปแล้วทั้งนั้นครับ ได้แก่ NVIDIA Corporation, ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง คอมพานี ลิมิเต็ด (TSMC), Broadcom Inc., ASML Holding N.V., QUALCOMM Incorporated, Texas Instruments Incorporated, Advanced Micro Devices, Inc. (AMD), Applied Materials, Inc., Intel Corporation, และ Micron Technology, Inc. ครับ

สรุปแล้ว อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นเหมือนหัวใจสำคัญของโลกเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตอย่างมหาศาล และหุ้นในกลุ่มนี้ก็มีศักยภาพในการเติบโตตามไปด้วย สำหรับนักลงทุนไทย การลงทุนใน “หุ้น semiconductor” ผ่านกองทุนรวมอย่าง SCBSEMI(A) ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมแห่งอนาคตนี้ครับ

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอในการลงทุนใน หุ้น semiconductor ผ่านกองทุนประเภทนี้คือเรื่อง “ความเสี่ยง” ครับ

⚠️ กองทุน SCBSEMI(A) จัดอยู่ในระดับความเสี่ยง 7 ซึ่งเป็นระดับที่ “เสี่ยงสูง” มาก นั่นหมายความว่า มูลค่าหน่วยลงทุนอาจมีความผันผวนสูงมาก ทั้งในด้านบวกและด้านลบ ซึ่งอาจทำให้เงินต้นลดลงได้ในระยะสั้น การลงทุนกระจุกตัวในหุ้นเพียง 25 บริษัท และเน้นไปที่หุ้น Top Holdings ก็มีความเสี่ยงเฉพาะตัว หากหุ้นหลักเหล่านี้มีปัญหา ราคาอาจปรับตัวลงแรงได้ นอกจากนี้ แม้จะมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วน แต่ก็ไม่ได้ป้องกัน 100% ดังนั้น ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนก็ยังส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนได้อยู่ครับ

ดังนั้น การลงทุนใน หุ้น semiconductor ผ่านกองทุน SCBSEMI(A) จึงเหมาะกับนักลงทุนที่:
1. รับความเสี่ยงระดับสูงได้จริงๆ
2. มีความเข้าใจในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและมองเห็นศักยภาพการเติบโตในระยะยาว
3. มีเงินเย็นที่สามารถลงทุนและถือยาวๆ ได้ ไม่ใช่เงินที่ต้องใช้ในอนาคตอันใกล้
4. ได้ศึกษาข้อมูลของกองทุนอย่างละเอียด ทั้งนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง ค่าธรรมเนียม และผลตอบแทนย้อนหลัง

หากคุณประเมินแล้วว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มนี้ และยอมรับความเสี่ยงที่กล่าวมาได้ การลงทุนใน หุ้น semiconductor ผ่านกองทุน SCBSEMI(A) ก็อาจเป็นโอกาสที่น่าพิจารณาครับ แต่ถ้าสภาพคล่องของคุณไม่สูง หรือยังไม่คุ้นเคยกับความเสี่ยงในระดับนี้ การศึกษาเพิ่มเติมหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ