หุ้น IPO คืออะไร? เจาะลึกโอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนควรรู้!

เคยไหมครับ เห็นข่าวบริษัทที่เราคุ้นเคย ชอบใช้สินค้า หรือบริการของเขามากๆ กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ครั้งแรก? จู่ๆ ชื่อบริษัทนี้ก็เป็นที่พูดถึง ผู้คนอยากได้หุ้นของเขามาครอบครองกันให้ได้ ปรากฏการณ์นี้แหละครับ ที่วงการเงินเรียกว่า การเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า หุ้น IPO คือ Initial Public Offering นั่นเอง

แล้ว หุ้น IPO คือ อะไรกันแน่? ทำไมใครๆ ก็อยากได้? วันนี้ผมในฐานะนักเขียนคอลัมน์การเงิน จะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายสุดๆ เหมือนคุยกับเพื่อน ให้เห็นภาพว่าเบื้องหลังการเข้าตลาดหุ้นครั้งใหญ่นี้ มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง ทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่เราต้องรู้ครับ

หุ้น IPO คือ การที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งปกติมีเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นไม่กี่คน ตัดสินใจเปิดประตูระดมทุนจาก “คนนอก” หรือ “ประชาชนทั่วไป” เป็นครั้งแรก ด้วยการขาย “หุ้น” ของบริษัทให้ ใครก็ตามที่สนใจได้เข้ามาเป็นเจ้าของร่วม กระบวนการนี้ทำให้บริษัทเปลี่ยนสถานะจาก “บริษัทเอกชน” มาเป็น “บริษัทมหาชน” และมีหุ้นจดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ให้เราๆ เข้าไปลงทุนได้

ทำไมบริษัทถึงอยากทำ IPO? เหตุผลหลักๆ เลยคือ ‘เงินทุน’ ก้อนโตครับ! การทำ IPO เป็นวิธีระดมทุนแบบหนึ่ง ที่บริษัทไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน แต่ได้เงินสดๆ จากนักลงทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจใหญ่ๆ อย่างรวดเร็ว เช่น ขยายสาขาไปทั่วประเทศ วิจัยและพัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ๆ ที่ต้องใช้เงินมหาศาล หรือเอาไปเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้บริษัทแข็งแกร่งขึ้น เงินทุนที่ได้จากนักลงทุน ไม่ถือเป็นหนี้ที่ต้องคืน (แม้บริษัทจะขาดทุน นักลงทุนก็รับความเสี่ยงไปเอง) ทำให้บริษัทมีอิสระในการบริหารจัดการมากขึ้น และยังช่วยยกระดับภาพลักษณ์ เพิ่มความน่าเชื่อถือ ทำให้คนรู้จักบริษัทในวงกว้างมากขึ้นด้วยครับ

แล้วพวกเราในฐานะนักลงทุนทั่วไปล่ะ ได้อะไรจากการที่บริษัททำ หุ้น IPO คือ โอกาสครับ! โอกาสในการได้เข้าไปลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพตั้งแต่ “ต้นน้ำ” ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะดังเปรี้ยงปร้างในตลาดหลักทรัพย์เต็มตัว บางครั้งราคาเสนอขายช่วง IPO ก็อาจจะมีส่วนลด หรือตั้งราคาที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับศักยภาพในอนาคต นอกจากนี้ การที่บริษัทต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ ยังทำให้บริษัทมีความโปร่งใสมากขึ้น เพราะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ของ กลต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงิน รายงานผลประกอบการอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เรามีข้อมูลในการตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น และถ้าบริษัททำกำไร เราก็มีโอกาสได้รับเงินปันผล หรือส่วนแบ่งจากผลกำไรในฐานะผู้ถือหุ้นด้วย

ฟังดูดีใช่ไหมครับ? แต่การลงทุนใน หุ้น IPO คือ โอกาสที่มาพร้อมความท้าทายและข้อควรระวังครับ

เงินที่ได้จาก IPO ไปไหน? แล้วซื้อขายในตลาดรอบสอง บริษัทได้เงินเพิ่มไหม?

เรื่องสำคัญที่หลายคนอาจเข้าใจผิด คือ เงินที่บริษัทได้จากการขายหุ้น IPO ครั้งแรกเนี่ย มันจะถูกบันทึกเข้าไปในส่วนที่เรียกว่า “ส่วนของผู้ถือหุ้น” (Equity) บนงบดุลของบริษัท เงินก้อนนี้แหละครับ ที่บริษัทเอาไปใช้ในการขยายธุรกิจตามแผนที่แจ้งไว้ ซึ่งโดยทั่วไป เงินทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นจะแบ่งเป็น หุ้นสามัญ (Common Stock) คือหุ้นที่เราๆ ถือกันนี่แหละ มีสิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น กับ หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) ซึ่งมักจะไม่มีสิทธิออกเสียง แต่มีสิทธิพิเศษบางอย่าง เช่น ได้รับเงินปันผลก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ หรือมีสิทธิเรียกร้องสินทรัพย์ก่อนเมื่อบริษัทต้องเลิกกิจการ

ทีนี้ พอหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ไปแล้ว เราก็เห็นคนซื้อขายกันทุกวันใช่ไหมครับ? อยากจะบอกว่า การซื้อขายหุ้นที่เห็นกันบนหน้าจอตลอดวันนั้น เป็นการซื้อขายใน “ตลาดรอง” (Secondary Market) ซึ่งก็คือการที่นักลงทุนคนหนึ่งขายหุ้นให้แก่นักลงทุนอีกคนหนึ่ง เงินที่ซื้อขายกันตรงนั้น เป็นการเปลี่ยนมือระหว่างนักลงทุนด้วยกันเองครับ “บริษัทไม่ได้เงินเพิ่มจากตรงนี้แล้วนะ!” บริษัทได้เงินทุนเพิ่มจากการขายหุ้นใน “ตลาดหลัก” (Primary Market) คือแค่ตอนที่เสนอขาย IPO ครั้งแรกเท่านั้นเอง เปรียบง่ายๆ เหมือนเราซื้อรถยนต์คันใหม่จากศูนย์ เงินถึงจะเข้าราคาโรงงาน แต่พอเราขายรถคันนั้นเป็นรถมือสอง เงินที่ได้จากการขายมือสอง ก็เป็นของเรา ไม่ได้กลับไปให้โรงงานผลิตรถแล้วครับ

แล้วในฐานะนักลงทุน อยากได้ หุ้น IPO ต้องทำยังไง? แล้วจองราคา IPO ได้เปรียบจริงหรือ?

ถ้าอยากได้ หุ้น IPO ในช่วงที่เขาเปิดให้จองซื้อ ซึ่งปกติจะเปิดให้จองในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่หุ้นจะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ วิธีที่ง่ายที่สุดคือการ “จองซื้อ” ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ หรือ “โบรกเกอร์” ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (Underwriter / วาณิชธนากร) ครับ โดยบริษัทที่ทำ IPO จะประกาศจำนวนหุ้นที่เปิดให้จอง ราคาจองซื้อ และระยะเวลาการจอง ซึ่งมักจะมีจำนวนจำกัด และอาจใช้วิธีการจัดสรรที่แตกต่างกันไป (เช่น จัดสรรแบบ Small Lot First คือจัดสรรให้ได้ขั้นต่ำเท่ากันก่อน แล้วค่อยเฉลี่ยส่วนเกิน)

ในไทย เรามีตัวอย่าง หุ้น IPO ที่เป็นที่สนใจของนักลงทุนมากมายในช่วงที่ผ่านมา เช่น หุ้น OR (บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)), หุ้น KEX (บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)), หรือ หุ้น TIDLOR (บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน)) เป็นต้น

คำถามยอดฮิตคือ “จองราคา IPO ได้เปรียบ ได้กำไรแน่นอนไหม?” อันนี้ต้องตอบแบบตรงไปตรงมาว่า “ไม่แน่นอน 100%” ครับ! แม้สถิติในอดีตบางช่วง (เช่น ช่วงปี 2556-2560) จะเคยบ่งชี้ว่า กว่า 80% ของหุ้น IPO ในไทย ราคาวันแรกที่เข้าตลาดมักจะ “ยืนเหนือราคาจอง” และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ค่อนข้างสูงถึง 39% ในวันแรก แต่นั่นก็เป็น “สถิติในอดีต” ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากแรงเก็งกำไร หรือปัจจัยอื่นๆ ในช่วงเวลานั้น

สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจว่า ราคาหุ้น IPO วันแรกที่พุ่งขึ้นแรงๆ (ที่เรียกกันว่า First Day Gain) อาจไม่ได้สะท้อน “มูลค่าที่แท้จริง” ของบริษัทเสมอไป แต่อาจเกิดจากแรงซื้อที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้นๆ ซึ่งแรงซื้อนี้สามารถหมดลงได้ และ “มีโอกาสสูงมาก” ที่ราคาหุ้นจะค่อยๆ ปรับตัวลดลง หรือแม้กระทั่งตกลง “ต่ำกว่าราคาจอง” ได้ ทั้งในระยะสั้นๆ หลังเข้าตลาด หรือในระยะยาว ขึ้นอยู่กับผลประกอบการจริง แผนธุรกิจ และภาวะตลาดโดยรวม

แล้วถ้าอยากลงทุนในหุ้น IPO ควรวิเคราะห์และเตรียมตัวอย่างไร?

สำหรับนักลงทุนที่สนใจ หุ้น IPO ขั้นตอนสำคัญคือการ “ทำการบ้าน” ให้ดีครับ!
1. ศึกษาข้อมูลบริษัท: อ่าน “หนังสือชี้ชวน” (Filing) ให้ละเอียด ซึ่งโบรกเกอร์จะมีให้เราอ่าน นี่คือเอกสารที่รวมข้อมูลสำคัญของบริษัท ทั้งประวัติความเป็นมา ธุรกิจที่ทำ ผลประกอบการในอดีต แผนธุรกิจในอนาคต ความเสี่ยงต่างๆ และที่สำคัญคือ “วัตถุประสงค์การใช้เงิน” ที่ได้จาก IPO เราจะได้รู้ว่าเงินที่เราลงทุนไป เขาจะเอาไปทำอะไร
2. วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: ดูว่าบริษัทมี “ปัจจัยพื้นฐาน” ดีแค่ไหน ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องไหม มีความสามารถในการทำกำไรและความยั่งยืนของธุรกิจมากน้อยแค่ไหน เทียบกับบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันเป็นอย่างไร
3. ประเมินราคาเสนอขาย: ราคาที่เสนอขาย IPO สูงหรือต่ำเกินไปไหมเมื่อเทียบกับศักยภาพและกำไรของบริษัท อาจใช้ตัวเลขอย่าง อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) มาช่วยพิจารณาเบื้องต้น (แต่นี่เป็นแค่เครื่องมือหนึ่งเท่านั้น) ลองเปรียบเทียบ P/E ของบริษัทที่จะเข้าใหม่ กับ P/E ของบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันที่อยู่ในตลาดอยู่แล้ว
4. ทำความเข้าใจความเสี่ยง: การลงทุนใน หุ้น IPO มีความเสี่ยงเฉพาะตัว เช่น ความเสี่ยงในการประเมินมูลค่า เพราะเป็นบริษัทที่เพิ่งเข้าตลาด อาจจะยังไม่มีประวัติซื้อขายในตลาดให้เทียบมากนัก ทำให้การตั้งราคาอาจจะไม่แม่นยำ หรือตั้งไว้สูงเกินไปได้ ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในช่วงแรกที่อาจมีแรงเก็งกำไรสูง และความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลและความโปร่งใส สำหรับบริษัทที่เพิ่งปรับโครงสร้างเพื่อเข้าตลาดใหม่ๆ

กลยุทธ์สำหรับมือใหม่และข้อควรจำ

ถ้าคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่สนใจ หุ้น IPO ผมมีคำแนะนำง่ายๆ ครับ:
* ตั้งงบประมาณ: กำหนดเงินลงทุนใน IPO ให้ชัดเจน อย่าลงทุนเกินกำลัง หรือใช้เงินที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันมาลงทุนเด็ดขาด และที่สำคัญ “อย่าใช้เงินกู้” มาลงทุนใน หุ้น IPO ครับ
* กระจายความเสี่ยง: อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปกับหุ้น IPO ตัวเดียว แม้จะดูน่าสนใจแค่ไหนก็ตาม ควรแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ หรือ หุ้น ตัวอื่นๆ ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงหาก IPO ตัวนั้นราคาไม่เป็นไปตามคาด
* มีแผนการลงทุน: คุณจองซื้อ IPO เพื่ออะไร? เก็งกำไรระยะสั้นๆ แค่วันแรก หรือต้องการลงทุนระยะยาวเป็นเจ้าของกิจการ? การมีแผนที่ชัดเจน จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะขายเมื่อไหร่ หรือจะถือต่อดี
* ทำความเข้าใจศัพท์เฉพาะ: ในโลกของ หุ้น IPO มีศัพท์เฉพาะมากมายให้เรียนรู้ เช่น Underwriter (ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์/โบรกเกอร์ที่รับงาน), Filing (หนังสือชี้ชวน), Scripless (การถือหุ้นแบบไร้ใบหุ้น ผ่านระบบ TSD – ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์), P/E Ratio (อัตราส่วน P/E) ฯลฯ การรู้ความหมายเหล่านี้จะช่วยให้คุณอ่านข้อมูลและทำความเข้าใจได้ดีขึ้น

สุดท้ายนี้ หุ้น IPO คือ โอกาสที่น่าสนใจในการลงทุนในบริษัทใหม่ๆ ที่กำลังเติบโต แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่นักลงทุนทุกคนต้องยอมรับและบริหารจัดการ การได้หุ้น IPO ในราคาจองไม่ใช่เครื่องรับประกันว่าจะได้กำไรเสมอไป จงอย่าหลงไปกับกระแสเก็งกำไรที่มากเกินไป

⚠️ หากเงินลงทุนของคุณมีจำกัด หรือ ไม่พร้อมรับความเสี่ยงสูง ควรศึกษาข้อมูลบริษัทในหนังสือชี้ชวนให้ละเอียดมากๆ ทำความเข้าใจธุรกิจ ความเสี่ยง และประเมินราคาด้วยตัวเอง หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่น่าเชื่อถือก่อนตัดสินใจจองซื้อ หุ้น IPO ครับ/ค่ะ

จำไว้ว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ทุกประเภทครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนครับ!