
ใครๆ ก็อยากให้เงินงอกเงยเร็วๆ ใช่ไหมครับ/คะ? ยิ่งช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนขึ้นลงแรงๆ บางทีเราก็แอบคิดในใจว่า “ถ้าจับจังหวะซื้อได้ถูก แล้วขายตอนราคาสูงขึ้นนิดหน่อยในเวลาสั้นๆ คงดีไม่น้อยเลยนะ” แนวคิดนี้แหละครับที่นำมาสู่การลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่หลายคนให้ความสนใจ นั่นก็คือ การเล่น หุ้น ระยะ สั้น หรือที่นักลงทุนบางกลุ่มเรียกว่า การเทรดสั้น (Short-term trading) ครับ
แต่ก่อนจะกระโดดเข้าสู่สนามนี้ เรามาทำความเข้าใจกันให้ชัดๆ ก่อนดีกว่า ว่าการเล่น หุ้น ระยะ สั้น เนี่ย มันคืออะไร มีข้อดีข้อเสียต่างจากการลงทุนแบบอื่นยังไงบ้าง แล้วที่สำคัญคือ มันเหมาะกับเราจริงหรือเปล่า?
**ลงทุนในหุ้น มีหลายเส้นทางให้เลือกเดิน**
อย่างที่เรารู้กัน ตลาดหุ้นมันมีวิธีการทำกำไรอยู่หลายแบบ ไม่ได้มีแค่แบบเดียวที่เหมาะกับทุกคนครับ เหมือนการเดินทางนั่นแหละ บางคนชอบขับรถชมวิวไปเรื่อยๆ แวะข้างทางได้ (อันนี้ก็เหมือนคนลงทุนยาวๆ เลือกหุ้นดีๆ ถือเป็นสิบปี หวังเติบโตและเงินปันผล) บางคนชอบเดินทางแบบสบายๆ นั่งเครื่องบินตรงไปถึงที่หมาย (เหมือนคนเน้นหุ้นปันผล ได้กระแสเงินสดสม่ำเสมอ) บางคนชอบผจญภัย ลุยป่าฝ่าดง (คล้ายๆ กับคนชอบหุ้นขนาดเล็กที่มีโอกาสเติบโตสูง แต่ก็เสี่ยงสูงลิ่ว)
ส่วนการเล่น หุ้น ระยะ สั้น หรือการเทรดสั้น ก็เหมือนกับการเดินทางที่เน้นความเร็วครับ มองหาจังหวะที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อ แล้วพอได้กำไรส่วนต่างราคาเล็กน้อย ก็รีบขายทำกำไรทันที ไม่ได้สนใจพื้นฐานบริษัทในระยะยาวมากเท่าไหร่ แต่เน้นจับความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นหลัก
ทีนี้ ถ้าจะเล่น หุ้น ระยะ สั้น แบบจริงจัง ซื้อขายบ่อยๆ เนี่ย การซื้อหุ้นจริงๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มันก็มีข้อจำกัดอยู่เหมือนกันนะ อย่างแรกเลยคือเราต้องใช้เงินลงทุนเต็มจำนวน จะซื้อกี่หุ้นก็ต้องจ่ายเงินตามราคาจริง แถมยังมีขั้นต่ำในการซื้อขายคือ 100 หุ้น ซึ่งอาจจะไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควรสำหรับคนที่อยากเทรดด้วยเงินจำนวนไม่มาก หรืออยากซอยย่อยไม้การซื้อขาย
นอกจากนี้ สภาพคล่องของหุ้นบางตัวอาจจะไม่สูงมาก ทำให้การซื้อขายได้ตามราคาที่ต้องการเป็นไปได้ยาก และยังมีเรื่องของต้นทุนการซื้อขาย หรือ ค่าคอมมิชชั่น ที่เราต้องจ่ายทุกครั้งที่ซื้อและขาย ซึ่งถ้าเทรดบ่อยๆ ค่าคอมมิชชั่นนี้ก็จะกลายเป็นต้นทุนก้อนใหญ่ที่บั่นทอนกำไรที่เราทำได้ไปไม่น้อยเลยนะครับ (ข้อมูลบางส่วนชี้ว่า ค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ยอาจอยู่ราวๆ 0.278% ของมูลค่าซื้อขาย) อีกทั้งการซื้อขายหุ้นปกติ เราจะทำกำไรได้ก็ต่อเมื่อราคาหุ้น *ขึ้น* เท่านั้น และยังมีเรื่องของระบบการชำระราคาแบบ T+2 (ซื้อวันนี้ เงินเข้าบัญชีเราในอีก 2 วันทำการ) ทำให้เงินลงทุนไม่ได้หมุนเวียนเร็วเท่าที่ควรสำหรับการเทรดที่เน้นความเร็วสูงจริงๆ ครับ

ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้เอง บางคนเลยมองหาทางเลือกอื่นที่ยืดหยุ่นกว่าสำหรับการเทรดสั้นมากๆ อย่างตราสารอนุพันธ์บางประเภท (Derivative instruments) ที่เรียกว่า CFD หรือ “สัญญาซื้อขายส่วนต่าง” ซึ่งข้อมูลบางส่วนบอกว่า เครื่องมือพวกนี้อาจช่วยให้ใช้เงินมาร์จิ้น (Margin) หรือใช้ เลเวอเรจ (Leverage) ได้ ทำให้ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อยลง มีโอกาสทำกำไรก้อนใหญ่จากเงินจำนวนไม่มาก (แต่ก็เสี่ยงขาดทุนก้อนใหญ่ได้เช่นกันนะครับ/คะ) แถมยังได้เปรียบในเรื่องของต้นทุน เวลา และสภาพคล่องสำหรับการเทรดระยะสั้นสุดๆ ครับ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลในส่วนนี้ที่ผมมีอยู่ยังไม่สมบูรณ์ดีนักนะครับ แนะนำให้ผู้สนใจศึกษาข้อมูลจากผู้ให้บริการเครื่องมือเหล่านี้เพิ่มเติมโดยตรง เพื่อทำความเข้าใจลักษณะและความเสี่ยงให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจครับ
**ผลตอบแทนระยะสั้น VS ระยะยาว อะไรคือตัวขับเคลื่อน?**
เคยได้ยินประโยคที่ว่า “ระยะยาว ตลาดหุ้นเป็นเครื่องชั่งน้ำหนัก แต่ระยะสั้น ตลาดหุ้นเป็นเครื่องลงคะแนน” ไหมครับ? ประโยคนี้อธิบายธรรมชาติของตลาดหุ้นได้ดีมากๆ เลย
ถ้าเรามองการลงทุนแบบยาวๆ เป็นสิบปี ผลตอบแทนที่เราได้จะขึ้นอยู่กับ “น้ำหนัก” ที่แท้จริงของบริษัทที่เราลงทุน นั่นคือ ผลประกอบการ กำไร การเติบโตของบริษัท ถ้าบริษัททำมาค้าขึ้น กำไรโตต่อเนื่อง ปันผลสม่ำเสมอ มูลค่าของบริษัทก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยครับ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ให้เห็นว่า ในระยะยาวมากๆ อย่างตลาดหุ้นไทยในช่วง 38 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี ซึ่งมาจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นประมาณ 7% และเงินปันผลอีกประมาณ 3% ครับ
แต่ถ้าเรามองการลงทุนในระยะสั้น-ระยะกลาง (อาจจะ 1-20 ปี) ผลตอบแทนที่เราจะได้ นอกจากจะมาจากผลประกอบการบริษัทแล้ว ยังได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงของ “ความเห็น” หรือ “คะแนนเสียง” ของนักลงทุนในตลาดที่มีต่อหุ้นตัวนั้น ซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของค่า PE (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) ครับ ถ้าตลาดมองหุ้นตัวไหนดี ให้ค่า PE สูง ราคาหุ้นก็จะพุ่งขึ้นไปเร็ว แม้ว่ากำไรของบริษัทจะยังโตไม่ทันก็ตาม ในทางกลับกัน ถ้าตลาดมองแย่ ให้ค่า PE ต่ำ ราคาก็อาจจะร่วงลงมาได้ แม้ว่าบริษัทจะยังทำกำไรได้ดีอยู่ก็ตาม
ดังนั้น การเล่น หุ้น ระยะ สั้น จึงเน้นการจับจังหวะ “เครื่องลงคะแนน” นี่แหละครับ พยายามคาดเดาว่าตลาดจะให้คะแนนหุ้นตัวไหนเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ แล้วรีบเข้าไปซื้อก่อนที่คนอื่นจะแห่ตาม พอคะแนนเสียง (ราคา) ขึ้นไปถึงจุดที่พอใจ ก็รีบขายทำกำไรออกมาก่อนที่คะแนนจะเปลี่ยนครับ ซึ่งแน่นอนว่าการคาดเดาความเห็นคนส่วนใหญ่ในตลาดนั้นยากมากๆ และมีความเสี่ยงสูงที่จะคาดผิด
**แล้วใครกันที่เหมาะกับสนาม หุ้น ระยะ สั้น?**
อย่างที่บอกไป ไม่มีกลยุทธ์ไหนที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนครับ การเลือกแนวทางการลงทุนต้องดูจาก Life Style (รูปแบบการใช้ชีวิต) และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของเราเป็นหลัก
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบสร้างความมั่งคั่งแบบมั่นคง ไม่รีบร้อน อยากได้ Passive Income (รายได้แบบสบายๆ ไม่ต้องลงแรงเยอะ) ผันผวนน้อยๆ มองเป้าหมายระยะยาว 5 ปีขึ้นไป แบบนี้อาจจะเหมาะกับการลงทุนระยะยาวในหุ้นของกิจการใหญ่ๆ พื้นฐานดีๆ หรือหุ้นปันผลที่ให้ Dividend Yield (ผลตอบแทนจากเงินปันผล) สูงๆ สม่ำเสมอครับ อาจจะใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar Cost Averaging) หรือทยอยซื้อเฉลี่ยต้นทุนไปเรื่อยๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง อันนี้ยิ่งลงทุนนาน โอกาสขาดทุนยิ่งน้อยลง และมีแนวโน้มจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูงขึ้นครับ
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่:
* ชอบความท้าทาย ตื่นเต้น
* ตัดสินใจได้เร็ว เด็ดขาด
* ยอมรับความเสี่ยงที่สูงมากๆ ได้
* มีวินัยในการ Stop loss (ตั้งจุดตัดขาดทุน) คือถ้าผิดทางก็พร้อมจะตัดขาดทุนทันที ไม่ปล่อยให้มันลามไปใหญ่โต
* และที่สำคัญสุดๆ คือ *มีเวลา* ที่จะเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นและข่าวสารต่างๆ ได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ
แบบนี้แหละครับ ที่การเล่น หุ้น ระยะ สั้น อาจจะเป็นทางเลือกที่คุณลองพิจารณาดูได้ สำหรับนักลงทุนกลุ่มนี้ หุ้นที่อาจจะเหมาะสมก็มักจะเป็นหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่มีโอกาสเติบโตเร็ว และราคามีความผันผวนให้ได้จับจังหวะทำกำไรบ่อยๆ ครับ กลยุทธ์หลักๆ ก็คือ Market Timing พยายามใช้การวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ทั้งปัจจัยพื้นฐาน (บ้าง) ปัจจัยทางเทคนิค (ดูกราฟราคา) และปัจจัยทางเศรษฐกิจ/ข่าวสาร เพื่อหาจังหวะ “เข้า” และ “ออก” ที่แม่นยำที่สุด

**ข้อควรระวังสำหรับคนอยาก “เล่น หุ้น ระยะ สั้น”**
สิ่งสำคัญที่ต้องจำให้ขึ้นใจเลยคือ การเล่น หุ้น ระยะ สั้น นั้น มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญครับ เพราะเราต้องพึ่งพาการคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของราคาในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งยากที่จะแม่นยำได้ตลอด ยิ่งถ้าใช้ เลเวอเรจ หรือเงิน มาร์จิ้น ในการเทรดด้วยแล้ว โอกาสทำกำไรก้อนใหญ่ก็มาพร้อมกับโอกาสขาดทุนก้อนใหญ่เช่นกันครับ
ดังนั้น ถ้าคิดจะลองสนามนี้จริงๆ เงินลงทุนที่คุณนำมาใช้ *ไม่ควรเป็นเงินร้อน* หรือเงินที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน หรือเงินก้อนสุดท้ายที่คุณมีนะครับ ควรเป็นเงินเย็นๆ ที่คุณพร้อมจะยอมรับความเสี่ยงที่จะสูญเสียมันไปได้ทั้งหมด ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน
นอกจากนี้ การเทรดสั้นยังต้องใช้เวลาและพลังงานในการติดตามตลาด วิเคราะห์ข้อมูล และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับคนที่มีเวลาน้อย หรือไม่ชอบความกดดันครับ
สรุปแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ว่าจะ “เล่น หุ้น ระยะ สั้น” หรือถือยาวๆ ไม่มีวิธีไหนที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนครับ แต่ละวิธีมีจุดเด่น ข้อจำกัด และความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป
หัวใจสำคัญคือ การทำความเข้าใจตัวเราเองก่อนครับ ว่าเรามี Life Style แบบไหน ยอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน มีเงินลงทุนเย็นๆ เท่าไหร่ และมีเวลาให้กับมันมากน้อยแค่ไหน จากนั้นค่อยเลือกกลยุทธ์และวิธีการลงทุนที่เหมาะสมกับเราจริงๆ ครับ
ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจโดดเข้าสู่สนาม “หุ้น ระยะ สั้น” ลองถามตัวเองก่อนว่า คุณเข้าใจความเสี่ยง รับมือกับความผันผวนได้แค่ไหน และมีเวลาให้กับมันจริงๆ หรือเปล่าครับ การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งต่างๆ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน ก็เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างรอบคอบมากขึ้นนะครับ
⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และการลงทุนในตราสารอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในหลักทรัพย์ทั่วไป อาจทำให้เงินลงทุนสูญเสียไปทั้งหมด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน