สวัสดีครับนักลงทุนและเพื่อนๆ สายเกาทั้งหลาย! วันนี้ผมจะชวนทุกคนมาส่องตลาดหุ้นแดนกิมจิกันหน่อยครับ ใครที่ติดซีรีส์ ติด K-Pop หรือใช้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากเกาหลีใต้เป็นประจำ อาจจะเคยสงสัยว่า เบื้องหลังความแข็งแกร่งของประเทศนี้ ตลาดหุ้นเขาเป็นยังไงบ้างนะ? แล้วถ้าเราอยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในความคึกคักนั้นบ้าง ต้องเริ่มตรงไหน วันนี้ผมจะพาไปทำความเข้าใจกันแบบง่ายๆ สไตล์ชาวเราครับ
ถ้าพูดถึงตลาดหุ้นไทย เราก็มี SET Index เป็นตัวชี้วัดหลักใช่ไหมครับ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เขาก็มีเหมือนกันครับ ตัวชี้วัดสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกใช้ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดนี้ก็คือ “ดัชนี KOSPI” (Korea Composite Stock Price Index) ครับ ดัชนีนี้เปรียบเสมือนหัวใจหลักที่สะท้อนภาพรวมของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์เกาหลี (KRX) ที่เป็นตลาดหลักครับ โดยการคำนวณจะเป็นแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด หมายความว่า บริษัทไหนใหญ่ มีมูลค่าเยอะ ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนี KOSPI มากหน่อยนั่นเองครับ ตัวดัชนีนี้เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1983 โดยกำหนดให้ตอนนั้นมีค่าฐานอยู่ที่ 100 ครับ

นอกจาก ดัชนี KOSPI ที่ครอบคลุมหุ้นทั้งหมดแล้ว ตลาดเขายังมีอีกดัชนีที่สำคัญและเป็นที่นิยมมากๆ นั่นคือ KOSPI 200 ครับ อันนี้จะคัดมาเฉพาะ 200 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด มีมูลค่าตลาดรวมกันคิดเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 70% ของตลาดทั้งหมดเลยครับ หลายคนเลยยกให้ KOSPI 200 นี่เหมือนกับ S&P 500 ของอเมริกา คือเป็นดัชนีตัวแทนที่บอกภาพรวมของบริษัทใหญ่ๆ ในประเทศได้ดีมากๆ ครับ
แล้วช่วงที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นเกาหลี อย่าง KOSPI นี้ มีผลงานเป็นยังไงบ้างล่ะ? ถ้าลองดูตัวเลขล่าสุด (ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามเวลาจริงนะครับ) จะเห็นว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา KOSPI ปรับตัวขึ้นไปราวๆ +4.50% ครับ พอขยับมาดูภาพที่กว้างขึ้นนิดหน่อย ในเดือนที่ผ่านมา เรียกว่าขึ้นแรงใช้ได้เลยครับ บวกไปถึง +10.00% ส่วนผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (Year-to-Date หรือ YTD) ดัชนี KOSPI ก็ยังอยู่ในแดนบวกที่ดีราวๆ +7.65% ครับ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขจากหลายแหล่งอาจแตกต่างกันบ้าง แต่ก็แสดงให้เห็นว่าตลาดมีความผันผวนอยู่ โดยมีช่วงที่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์แถวๆ 2,896.43 จุดด้วยครับ ถ้ามองยาวๆ สัก 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีก็ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสะสมประมาณ +15.68% ครับ

แล้วไอ้เจ้า ดัชนี KOSPI เนี่ย ประกอบไปด้วยบริษัทอะไรบ้างนะ ทำไมถึงสะท้อนภาพรวมตลาดเกาหลีได้ดี? แน่นอนว่าต้องมีบริษัทที่เราคุ้นชื่อกันดีอยู่แล้วครับ ตัวท็อปๆ ที่มีน้ำหนักในดัชนี KOSPI 200 เยอะๆ เนี่ยนำมาโดยพี่ใหญ่ Samsung Electronics เลยครับ คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 30% ของดัชนีเลยทีเดียว รองลงมาก็จะเป็น SK Hynix ซึ่งทั้งสองบริษัทนี้อยู่ในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์หรือชิปคอมพิวเตอร์ ที่กำลังเป็นกระแสและมีความต้องการสูงมากๆ ทั่วโลกครับ นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัทใหญ่ๆ ที่เราน่าจะเคยได้ยินชื่อ อย่าง LG Energy Solution (ทำแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า), Hyundai Motor และ Kia Corp (ค่ายรถยนต์ชื่อดัง), POSCO (เหล็ก) และ NAVER Corp (Search Engine ยอดนิยมของเกาหลี) ครับ การที่บริษัทเหล่านี้มีน้ำหนักเยอะ ก็แปลว่าการขึ้นลงของราคาหุ้น Samsung หรือ SK Hynix จะมีผลอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงของ ดัชนี KOSPI โดยรวมครับ
นอกจากบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ถ้าดูหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีสุดใน KOSPI นี่ โอ้โห! มีตัวที่วิ่งฉิวสุดๆ อย่างหุ้นรหัส **KRX:012450** ซึ่งพุ่งขึ้นไปถึง +335.67% เลยครับ แต่ในทางกลับกัน ก็มีตัวที่น่าจะเหนื่อยหน่อย ปรับตัวลงไปแรงที่สุดในรอบ 1 ปีอย่างหุ้นรหัส **KRX:001570** ซึ่งร่วงไปถึง -87.70% เลยทีเดียวครับ นี่แหละครับเสน่ห์และความผันผวนของตลาดหุ้นแต่ละตัว
แล้วปัจจัยอะไรที่ขับเคลื่อน ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ในช่วงนี้ล่ะ? ปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่า กระแสของ Generative AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้เนี่ย เป็นตัวจุดประกายสำคัญเลยครับ ยิ่งบริษัทเกาหลีมีความแข็งแกร่งในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์อยู่แล้ว ก็ยิ่งได้รับอานิสงส์ไปเต็มๆ ครับ ความต้องการชิปที่ใช้ในเทคโนโลยี AI พุ่งสูงขึ้น ทำให้หุ้นกลุ่มนี้คึกคักเป็นพิเศษครับ นอกจากนี้ ยังมีมุมมองจากนักวิเคราะห์บางส่วนนะครับที่มองว่า แม้ว่าตลาดเกาหลีใต้ (และ ดัชนี KOSPI) จะปรับตัวขึ้นมาแล้วตั้งแต่ต้นปี แต่ก็ยังอาจจะถือว่า “Laggard” หรือ “ขึ้นช้ากว่า” และ “ราคาถูกกว่า” เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ครับ ท่ามกลางสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทที่กำลังดีขึ้น มุมมองนี้ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนบางส่วนหันมาสนใจตลาดเกาหลีใต้มากขึ้นครับ

ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนชาวไทยอย่างเราๆ ครับว่า ถ้าเราอยากจะเข้าไปลงทุนใน ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ หรือใน ดัชนีหุ้นเกาหลี อย่าง KOSPI เนี่ย เราทำได้ยังไงบ้าง? ต้องบอกก่อนว่า โดยปกติแล้วคนไทยเราไม่สามารถไปเปิดพอร์ตซื้อขายหุ้นเกาหลี หรือซื้อดัชนี KOSPI ตรงๆ ได้ง่ายๆ เหมือนซื้อหุ้นไทยครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีช่องทางเลยนะครับ เรายังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยให้เราได้สัมผัสกับโอกาสในตลาดเกาหลีได้ครับ
ช่องทางหลักๆ ที่นักลงทุนไทยนิยมใช้กันก็คือ การลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ครับ โดยเฉพาะกองทุนรวมประเภท “กองทุนดัชนี” (Index Fund) ซึ่งเป็นกองทุนที่ออกแบบมาให้ลงทุนล้อไปตาม ดัชนีอ้างอิง ครับ เช่น อาจจะมีกองทุนที่ไปลงทุนใน ETF (Exchange Traded Fund หรือกองทุนที่ซื้อขายในตลาดหุ้นได้เหมือนหุ้น) ที่ติดตามดัชนี KOSPI 200 หรือดัชนีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นเกาหลีครับ อย่างในข้อมูลที่เรามี ก็มีตัวอย่างกองทุนหนึ่งที่แนะนำสำหรับนักลงทุนไทย คือกองทุน **SCBKEQTG** ของ บลจ.ไทยพาณิชย์ ซึ่งกองทุนนี้เขาไม่ได้ไปซื้อหุ้นเกาหลีตรงๆ ครับ แต่เขาไปลงทุนในกองทุน ETF ต่างประเทศชื่อ **iShares MSCI South Korea ETF** อีกทีหนึ่ง ซึ่งกองทุน ETF ตัวนี้ก็ไปติดตาม **ดัชนี MSCI Korea 25/50** ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนภาพรวมตลาดเกาหลีเช่นกันครับ แม้จะไม่ใช่ KOSPI เป๊ะๆ แต่ก็เป็นดัชนีที่ใช้ติดตามตลาดเกาหลีที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลครับ การลงทุนผ่านกองทุนลักษณะนี้ก็เหมือนกับเราซื้อกองทุนไทยที่ไปซื้อกองทุนต่างประเทศอีกที เพื่อให้เราได้อานิสงส์จากการเติบโตของบริษัทเกาหลีที่เราสนใจนั่นแหละครับ
การลงทุนผ่านกองทุนดัชนีแบบนี้มีข้อดีหลายอย่างที่เหมาะกับนักลงทุนทั่วไปครับ อย่างแรกเลยคือมัน “จับจังหวะง่าย” ครับ เพราะเป้าหมายของกองทุนคือการเคลื่อนไหวให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง เราไม่ต้องมานั่งวิเคราะห์หุ้นรายตัวให้ปวดหัวครับ นอกจากนี้ ข้อดีสำคัญอีกอย่างคือ “ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากกำไร” ที่ได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน (ยกเว้นบางประเภทกองทุนที่อาจมีเงื่อนไขพิเศษ) และโดยทั่วไปแล้ว กองทุนดัชนีจะมี “ค่าธรรมเนียมต่ำ” กว่ากองทุนที่ผู้จัดการกองทุนต้องคอยบริหารจัดการเชิงรุกครับ แถมยัง “เริ่มต้นลงทุนได้ด้วยเงินจำนวนไม่มาก” บางกองอาจจะเริ่มแค่ 1 บาทก็ได้ครับ ทำให้การเข้าถึงตลาดต่างประเทศที่น่าสนใจอย่าง ตลาดหุ้นเกาหลี ทำได้ง่ายขึ้นเยอะเลยครับ
โดยสรุปแล้ว ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ โดยมี ดัชนี KOSPI เป็นตัวชี้วัดหลัก เป็นตลาดที่น่าจับตามองมากๆ ครับ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และกระแส AI ที่กำลังเป็นเมกะเทรนด์ อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยงสูงเสมอครับ ราคาของตราสารทางการเงินมีความผันผวนได้ตลอดเวลา ข้อมูลที่เราเห็นจากแหล่งต่างๆ อาจจะไม่ใช่แบบเรียลไทม์ 100% หรืออาจมีความคลาดเคลื่อนได้ครับ
สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจ อยากจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตในแดนกิมจินี้ การลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยเฉพาะกองทุนดัชนีที่ไปลงทุนใน ETF ที่ติดตามตลาดเกาหลี เป็นช่องทางที่เข้าถึงง่ายและมีข้อดีหลายอย่างครับ หากคุณมีเงินลงทุนที่เป็นเงินเย็น คือไม่ได้มีแผนจะต้องรีบใช้ในอนาคตอันใกล้ และรับความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้นต่างประเทศได้ การทยอยสะสมในกองทุนที่ลงทุนในตลาดเกาหลีก็เป็นทางเลือกที่น่าพิจารณาครับ แต่หากเงินที่เราจะเอามาลงทุนนี้ เราอาจจะต้องรีบใช้ในอนาคตอันใกล้ หรือรับความเสี่ยงได้ไม่สูงนัก ก็อาจจะต้องคิดให้ดีมากๆ หรือศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุนครับ
**คำเตือน:** การลงทุนในตราสารทางการเงินมีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในตลาดต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้