Nvidia แรงฉุดไม่อยู่! จับตาสงครามการค้า กระทบราคาหุ้น Nvidia อย่างไร?

ตลาดหุ้นโลกกำลังเล่าเรื่องอะไร? Nvidia พุ่งแรง แต่ประเด็นการค้าสหรัฐฯ-จีนยังน่ากังวล

ช่วงนี้ใครที่ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นอยู่ คงเห็นว่าสถานการณ์รอบโลกยังคงมีหลายเรื่องให้จับตาแบบไม่กะพริบเลยนะครับ โดยเฉพาะตลาดหุ้นอเมริกาที่ช่วงนี้คึกคักเป็นพิเศษ เบื้องหลังความเคลื่อนไหวนี้มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง วันนี้ผมในฐานะนักเขียนคอลัมน์การเงินจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อนเลยครับ

ต้องบอกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพิ่งปิดสัปดาห์ไปด้วยบรรยากาศที่ดีเยี่ยม ดัชนีหลักๆ ไม่ว่าจะเป็น ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average), ดัชนี S&P 500 และ ดัชนีแนสแด็ก (Nasdaq Composite) ต่างก็บวกขึ้นกันถ้วนหน้า แรงหนุนสำคัญเลยต้องยกให้กับกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ซึ่งผู้นำในกลุ่มนี้อย่าง ราคาหุ้น Nvidia ก็พุ่งขึ้นอย่างโดดเด่นเกือบ 3% ในการซื้อขายรอบล่าสุด จนมีช่วงหนึ่งที่มูลค่าตลาด (Market Cap) แซงหน้า Microsoft ขึ้นไปได้เลยทีเดียว นี่สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าความต้องการชิปประมวลผลสำหรับงาน AI ยังคงร้อนแรงมากๆ ไม่ใช่แค่ Nvidia นะครับ หุ้นกลุ่มชิปอื่นๆ อย่าง Broadcom และ Micron Technology ก็ปรับตัวขึ้นตามกันมามากกว่า 3% และ 4% ตามลำดับ ความแข็งแกร่งของกลุ่มนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดอเมริกาในช่วงนี้จริงๆ ครับ ข้อมูลจากสำนักข่าวต่างประเทศอย่าง ซีเอ็นบีซี, รอยเตอร์ รวมถึง HoonSmart ก็รายงานตรงกันว่าเทรนด์นี้ยังคงเป็นแรงส่งหลัก

แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปหมดนะครับ ในขณะที่หุ้นเทคฯ อเมริกากำลังไปได้สวย ตลาดหุ้นในยุโรปกลับดูค่อนข้างทรงตัว นักลงทุนที่นั่นยังค่อนข้างระมัดระวังจากตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวที่เริ่มชะลอลง และที่สำคัญคือความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าโลก ซึ่งเป็นอีกปัจจัยใหญ่ที่กำลังมีอิทธิพลต่อตลาดตอนนี้เลย เรื่องการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนนี่เป็นมหากาพย์ที่ต้องติดตามกันมานานจริงๆ ครับ ล่าสุดมีข่าวที่พอจะทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้หน่อย คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ มีกำหนดจะคุยโทรศัพท์กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนภายในสัปดาห์นี้ นักวิเคราะห์มองว่าข่าวการพูดคุยนี้ถือเป็นปัจจัยบวกเล็กๆ ที่อาจจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดลงได้บ้าง และแน่นอนครับว่าบริษัทใหญ่ๆ ที่พึ่งพาตลาดทั่วโลกอย่าง Nvidia ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรง หากความสัมพันธ์ทางการค้าของสองประเทศมหาอำนาจดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องภาษีนำเข้ายังคงเป็นเงาดำที่ปกคลุมอยู่ คุณทรัมป์ยังคงแสดงเจตนาที่จะขึ้นภาษีสินค้าบางอย่าง โดยเฉพาะภาษีเหล็กที่ดูเหมือนจะต้องการเพิ่มเป็นสองเท่าถึง 50% ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับทาง สหภาพยุโรป อย่างมาก และพวกเขาก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าการกระทำดังกล่าวทำลายบรรยากาศการเจรจา และพร้อมที่จะใช้มาตรการตอบโต้กลับเหมือนกัน ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ดูเหมือนจะเร่งให้คู่ค้าเสนอข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับการเจรจาการค้าภายในวันพุธนี้ นักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตาดูสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด เพราะหลายคนมองว่าการที่สหรัฐฯ ไม่ได้ขึ้นภาษีไปมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้หลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคตได้

ลองมาดูตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯ กันบ้างครับ ซึ่งมีทั้งข่าวดีและข่าวที่ต้องตีความอย่างละเอียด อย่างแรกคือ ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (Job Openings and Labor Turnover Survey – JOLTS) โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ สำหรับเดือนเมษายนที่ผ่านมา ปรากฏว่าตำแหน่งงานว่างเพิ่มขึ้นเกินคาดไปเป็น 7.391 ล้านตำแหน่ง จาก 7.2 ล้านตำแหน่งในเดือนมีนาคม ตัวเลขนี้สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ แสดงให้เห็นว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในสถานะที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แม้จะมีประเด็นเรื่องภาษีศุลกากรเข้ามากวนใจ

แต่ในเดือนเดียวกัน กลับมีตัวเลขอีกตัวที่ดูน่าเป็นห่วง คือ คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงอย่างมากถึง 3.7% หลังจากที่เคยเพิ่มขึ้นถึง 3.4% ในเดือนมีนาคม การลดลงฮวบฮาบนี้ นักวิเคราะห์มองว่าเป็นผลมาจากการที่บริษัทต่างๆ เร่งรีบซื้อสินค้าล่วงหน้าในช่วงเดือนก่อนๆ เพื่อลดผลกระทบจากภาษีที่คาดว่าจะถูกปรับขึ้น พูดง่ายๆ คือซื้อตุนไว้ก่อนนั่นเองครับ ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าความไม่แน่นอนเรื่องการค้ากำลังส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนและผลิตของภาคธุรกิจจริงๆ ดังนั้น สายตาของนักลงทุนและนักวิเคราะห์ตอนนี้เลยจับจ้องไปที่ข้อมูลสำคัญตัวต่อไป นั่นคือ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls) ประจำเดือนพฤษภาคม ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ จะเผยแพร่ในวันศุกร์นี้ ตัวเลขนี้จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมสถานการณ์ตลาดแรงงาน และประเมินผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้าต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ชัดเจนมากขึ้น

นอกเหนือจากเรื่องการค้าและตัวเลขเศรษฐกิจ อีกปัจจัยใหญ่ที่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกก็คือ นโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ครับ อย่างธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Federal Reserve) เนี่ย แม้จะยังไม่มีสัญญาณลดดอกเบี้ยที่ชัดเจนนัก แต่ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา คุณราฟาเอล บอสติก ก็ได้แสดงมุมมองว่ามีแนวโน้มที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงหนึ่งครั้งก่อนสิ้นปีนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจจะยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่บ้างก็ตาม ซึ่งมุมมองจากเจ้าหน้าที่เฟดแบบนี้ นักลงทุนก็มักจะให้ความสำคัญและนำไปประกอบการคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ย

ส่วนทางฝั่งยุโรป โดยเฉพาะ ธนาคารกลางยุโรป หรือ อีซีบี (European Central Bank) เนี่ย ดูแนวโน้มจะชัดเจนกว่ามากครับ เพราะอัตราเงินเฟ้อทั่วทั้งภูมิภาคยูโรโซนลดลงมาต่ำกว่าเป้าหมายที่ ECB กำหนดไว้แล้ว ตลาดเงินตอนนี้คาดการณ์กันเกือบ 100% ว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้เลยครับ และยังคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกอย่างน้อยสองครั้งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งการที่ธนาคารกลางใหญ่ๆ เริ่มส่งสัญญาณพร้อมที่จะลดดอกเบี้ย ถือเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงโดยทั่วไปครับ เพราะต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆ จะลดลง

สรุปแล้ว ภาพรวมตลาดหุ้นและเศรษฐกิจโลกตอนนี้ก็เหมือนกับกำลังเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนหลายๆ อย่างพร้อมๆ กันครับ มีทั้งด้านที่สดใสจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI และหุ้นตัวท็อปอย่าง Nvidia ที่ยังคงแข็งแกร่ง แต่ก็มีด้านที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด นั่นคือความไม่แน่นอนจากประเด็นการค้าและภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งส่งผลกระทบไปถึงการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน เราก็ได้เห็นสัญญาณเชิงบวกจากธนาคารกลางทั้งสองฝั่ง ที่ดูเหมือนจะพร้อมที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งจะเป็นแรงหนุนอีกทางหนึ่งให้กับตลาด

สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ สิ่งสำคัญที่สุดในช่วงเวลาแบบนี้คือ การติดตามข่าวสารและข้อมูลต่างๆ อย่างใกล้ชิดครับ โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ที่จะประกาศในเร็วๆ นี้ อย่างตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ที่จะออกวันศุกร์นี้ และผลการประชุม ECB ในสัปดาห์นี้ ว่าจะลดดอกเบี้ยจริงตามที่ตลาดคาดหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราประเมินสถานการณ์และปรับกลยุทธ์การลงทุนได้เหมาะสมกับภาวะตลาดที่ยังคงมีความผันผวนสูงครับ

หากใครกำลังมองหาโอกาสในการลงทุนในตลาดต่างประเทศ หรืออยากจะลองเทรดหุ้น หุ้นกู้ หรือสินทรัพย์อื่นๆ ที่อ้างอิงกับภาวะตลาดโลก แพลตฟอร์มสำหรับซื้อขายก็มีให้เลือกหลากหลายครับ อย่างเช่น Moneta Markets ที่มักจะมีเครื่องมือ วิเคราะห์ และข้อมูลต่างๆ ให้ศึกษาเพื่อประกอบการตัดสินใจครับ

⚠️ การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจนะครับ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดยังมีความผันผวนจากปัจจัยหลายด้านแบบนี้ หากเป็นเงินที่สภาพคล่องไม่สูง (คือเงินที่ต้องใช้เร็วๆ นี้) ควรพิจารณาให้ดีก่อนนำมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงนะครับ