เคยสงสัยไหมว่าเวลาเราพูดถึง “หุ้นเทคโนโลยี” เนี่ย มันหมายถึงอะไรบ้าง? ในตลาดหุ้นต่างประเทศอย่างอเมริกา ก็จะมีบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Apple, Microsoft, หรือ Nvidia ที่ทำเรื่องล้ำๆ ทั้ง AI, รถยนต์ไฟฟ้า, หรือชิปคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันทุกวัน ฟังแล้วดูน่าตื่นเต้นใช่ไหมครับ?

แต่พอหันมาดูที่ตลาดหุ้นไทยของเรา หรือ `หุ้นเทคโนโลยีไทย` เนี่ย ภาพอาจจะไม่ได้เหมือนกันเป๊ะๆ นะครับ ส่วนใหญ่แล้ว บริษัทเทคโนโลยีในบ้านเราที่อยู่ในตลาดหุ้น (SET และ mai) จะเน้นไปที่สองกลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กับ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ICT ครับ ลองนึกภาพตามนะครับ กลุ่มแรกก็พวกโรงงานที่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ส่วนกลุ่มที่สองก็จะเป็นพวกบริษัทที่ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต หรือพวกที่ปรึกษาและวางระบบไอทีต่างๆ ซึ่งต้องยอมรับว่าเราอาจจะยังไม่ได้มีบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีหลักๆ อย่าง AI หรือเซมิคอนดักเตอร์ได้ลึกเท่ากับบริษัทระดับโลกครับ นี่แหละคือความท้าทายของ `หุ้นเทคโนโลยีไทย` ที่ต่างจากกระแสโลกอยู่บ้าง
ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยโดยรวมก็ดูเงียบเหงาไปหน่อยนะครับ สวนทางกับตลาดหุ้นใหญ่ๆ ในต่างประเทศอย่าง ตลาดแนสแด็ก (Nasdaq) ที่ยังดูคึกคักอยู่ ส่วนหนึ่งก็เพราะบ้านเรายังขาดบริษัทที่มีธุรกิจเข้ากับกระแสเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง AI, รถยนต์ไฟฟ้า, หรือชิปคอมพิวเตอร์นี่แหละครับ แต่ในมุมมองของนักวิเคราะห์บางท่านอย่างคุณกวี ชูกิจเกษม และคุณรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ เคยให้ความเห็นว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะเริ่มชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หรือคงดอกเบี้ยไว้ ก็อาจจะช่วยลดแรงกดดันต่อราคาหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกได้นะครับ และในระยะยาว `หุ้นเทคโนโลยี` ทั่วโลกก็ยังมีแนวโน้มเติบโตสูงและสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้ กระแสเรื่องสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกปัจจัยที่หนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอีกด้วย

ทีนี้มาเจาะลึกดูที่ `หุ้นเทคโนโลยีไทย` กันบ้าง ในตลาด SET กลุ่มเทคโนโลยีจะมีสองกลุ่มหลักๆ คือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และ สารสนเทศและการสื่อสาร ข้อมูล ณ วันที่ 6 กรกฎาคม 2566 บอกว่ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์มีน้ำหนักในตลาดประมาณ 47.6% และกลุ่มสารสนเทศฯ 52.4% โดยมีบริษัทใหญ่ๆ เช่น บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (Delta Electronics), บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS), บมจ. อินทัช โฮลดิ้งส์ (Intouch), และ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (True Corp) ที่มีน้ำหนักรวมกันกว่า 81.8% ซึ่งจะเห็นได้ว่าบริษัทเหล่านี้เป็นผู้นำในตลาดของตัวเองครับ ในส่วนของอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ณ วันที่ 6 กรกฎาคม 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 37.47 เท่าสำหรับกลุ่มสารสนเทศฯ และ 54.83 เท่าสำหรับกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ใน SET ครับ
ส่วนในตลาด mai หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ก็มี `หุ้นเทคโนโลยีไทย` อยู่หลายบริษัทเช่นกันครับ ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและโซลูชั่นต่างๆ เช่น บมจ. บลูบิค กรุ๊ป (Bluebik), บมจ. เบริล 8 พลัส (Beryl8), บมจ. จีเอเบิล (G-Able), บมจ. แนท แอบโซลูท เทคโนโลยีส์ (Nat Absolute Technologies), บมจ. เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว (nForce Secure), บมจ. เน็ตเบย์ (Netbay), บมจ. ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี (Silicon Craft Technology) เป็นต้น กลุ่มนี้น่าสนใจตรงที่มีบริษัทขนาดเล็กที่กำลังเติบโตและมีความยืดหยุ่นสูงครับ ผลประกอบการล่าสุดในไตรมาส 1 ปี 2567 ของกลุ่มเทคโนโลยีใน mai นี้ ภาพรวมรายได้รวมเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน แต่กำไรสุทธิรวมลดลงเล็กน้อย 2% ครับ อย่างไรก็ตาม มีหลายบริษัทที่กำไรเติบโตโดดเด่น เช่น บมจ. แนท แอบโซลูท เทคโนโลยีส์ กำไรโตถึง 271% และ บมจ. เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว กำไรโต 50% ส่วน บมจ. บลูบิค กรุ๊ป กำไรโต 18% และยังมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้อีกมาก บางผู้บริหารมั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะทำจุดสูงสุดใหม่ได้ครับ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วน P/E เฉลี่ยของกลุ่มเทคโนโลยีใน mai ก็อยู่ที่ประมาณ 39.84 เท่า ณ วันที่ 6 กรกฎาคม 2566 ครับ ซึ่งก็ต้องดูเป็นรายบริษัทไป

นอกเหนือจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และ ICT แล้ว ในโลกของเทคโนโลยียังมีสาขาที่น่าจับตาอีกมากมาย อย่าง `เทคโนโลยีชีวภาพ` (Biotech) ที่กำลังปฏิวัติวงการแพทย์ จากที่เคยรักษาแค่ตามอาการ ก็เริ่มรักษาที่สาเหตุของโรคได้แล้ว อย่างการใช้ยีนบำบัด (Gene Therapy) หรือวัคซีนเทคโนโลยี เอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA Technology) ที่เราคุ้นเคยจากโควิด-19 ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาไปรักษามะเร็งหรือโรคอื่นๆ ได้อีกไกลครับ แม้ว่า `หุ้นเทคโนโลยีไทย` ในตลาดของเราจะยังไม่เน้นด้านนี้โดยตรง แต่ก็เป็นเทรนด์ระดับโลกที่เราควรรับรู้ไว้
สำหรับการลงทุนใน `หุ้นเทคโนโลยีไทย` สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจก่อนว่าเรากำลังลงทุนในธุรกิจแบบไหนครับ ไม่ใช่เห็นว่าเป็น “หุ้นเทค” แล้วจะดีไปหมดเหมือนกัน การประเมินมูลค่าหุ้นควรพิจารณาจากโครงสร้างธุรกิจ ความสามารถในการทำกำไร และมูลค่าที่เหมาะสมของบริษัทนั้นๆ นักวิเคราะห์หลายท่านอย่างคุณรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ และคุณประกิต สิริวัฒนเกตุ ย้ำเสมอว่าต้องดูพื้นฐาน ไม่ใช่แค่กระแสครับ ความเสี่ยงอย่างหนึ่งสำหรับ `หุ้นเทคโนโลยีไทย` โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก คือฐานผู้ใช้งานที่ค่อนข้างกระจุกตัวอยู่แค่ในประเทศ ทำให้การเติบโตอาจจะจำกัดกว่าบริษัทระดับโลกที่มีตลาดใหญ่กว่ามากครับ
คุณกิจพณ ไพรไพศาลกิจ เคยกล่าวว่า แม้ภาพรวม `หุ้นเทคโนโลยีไทย` จะยังไม่เหมือนเทคโลก แต่ก็ยังมีบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตได้จากปัจจัยภายใน เช่น การเบิกจ่ายภาครัฐ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หรือความต้องการใช้เทคโนโลยีในประเทศที่เพิ่มขึ้น การกระจายการลงทุนไปยังบริษัทที่ทำธุรกิจหลากหลายในกลุ่มเทคโนโลยี หรือแม้แต่พิจารณาโอกาสการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีต่างประเทศผ่านช่องทางต่างๆ ก็เป็นวิธีบริหารความเสี่ยงที่น่าสนใจครับ
ลองดูภาพรวมตลาดล่าสุดสักหน่อยนะครับ ณ วันที่ 1 มีนาคม 2568 ดัชนี SET ปิดที่ 1,203.72 จุด ปรับตัวลดลง 12.01 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายรวม 74,536.25 ล้านบาท และ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 มีการซื้อขายที่น่าสนใจคือ นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ ส่วนนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ แสดงให้เห็นถึงแรงซื้อและแรงขายที่เข้ามาในตลาดในช่วงเวลานั้นๆ ครับ
สรุปแล้ว `หุ้นเทคโนโลยีไทย` ไม่ได้มีหน้าตาแบบเดียวกับหุ้นเทคในต่างประเทศทั้งหมด แต่ก็มีบริษัทที่มีศักยภาพน่าจับตาอยู่ในหลายๆ กลุ่ม ทั้งใน SET และ mai การลงทุนในกลุ่มนี้ยังคงต้องอาศัยการศึกษาข้อมูลเชิงลึก ทำความเข้าใจธุรกิจของแต่ละบริษัทจริงๆ ว่าทำเงินจากอะไร มีโอกาสเติบโตแค่ไหน และประเมินมูลค่าหุ้นอย่างรอบคอบครับ อย่าเพิ่งเชื่อตามกระแส หรือมองแค่ว่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่แล้วจะดีเสมอไป
⚠️ **ความเสี่ยงคือสิ่งคู่กับการลงทุน** นะครับ `หุ้นเทคโนโลยี` บางกลุ่มอาจมีความผันผวนสูง หากไม่เข้าใจธุรกิจจริงๆ หรือลงทุนโดยไม่กระจายความเสี่ยง อาจทำให้ขาดทุนได้ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของบริษัทที่สนใจให้ละเอียด ทั้งผลประกอบการ โครงสร้างธุรกิจ อัตราส่วนทางการเงินต่างๆ และพิจารณาความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเอง ก่อนตัดสินใจนำเงินไปลงทุนใน `หุ้นเทคโนโลยีไทย` หรือหุ้นกลุ่มอื่นๆ ทุกครั้งครับ