BYD หุ้น: ลงทุนใน บีวายดี (BYD) อย่างไรให้คุ้มค่า?

เพื่อนๆ เคยสังเกตไหมครับ ช่วงนี้บนถนนเมืองไทย เห็นรถยนต์ยี่ห้อ BYD วิ่งกันเยอะขึ้นมากๆ ทั้งรถเก๋งส่วนบุคคล หรือแม้กระทั่งรถเมล์ไฟฟ้าสีน้ำเงินๆ ที่มีโลโก้ BYD โดดเด่น

พอเห็นชื่อ BYD บ่อยๆ ในข่าวรถยนต์ หรือเห็นข่าวต่างประเทศเกี่ยวกับบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตระเบิด หลายคนก็แอบสงสัยในใจว่า… “แล้วหุ้น BYD ล่ะ? ตัวนี้แหละที่เราควรลงทุนตามกระแส EV หรือเปล่า?” บางทีเปิดแอปเทรดหุ้น เจอชื่อ BYD ก็รีบกดเข้าไปดูข้อมูลทันที

แต่วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงิน ขอมาเฉลยให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ สบายๆ เหมือนนั่งจิบกาแฟคุยกับเพื่อนข้างบ้านว่า… จริงๆ แล้วเวลาเราพูดถึง “byd หุ้น” ในโลกของการลงทุน โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนไทยเนี่ย มันมีเรื่องให้เราทำความเข้าใจอยู่ **สองแบบ** นะครับ ไม่ใช่แค่ตัวเดียว! ซึ่งสองตัวนี้มีเรื่องราวและสถานะที่แตกต่างกันคนละขั้วเลย ว่าแล้วก็มาแกะรอยกันทีละตัวเลยดีกว่าครับ

**BYD หุ้น แบบที่ 1: บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ (บล.บียอนด์) – การพลิกโฉมของธุรกิจไทย**

แบบแรกเลย ที่นักลงทุนไทยน่าจะคุ้นชื่อ หรือเห็นกันบ่อยๆ ในตลาดหุ้นบ้านเรา ก็คือ **บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน)** หรือเรียกสั้นๆ ว่า **บล.บียอนด์** ครับ หุ้นตัวนี้มีชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า **BYD** นี่แหละ ตัวเดียวกันเลย!

แต่ก่อน บล.บียอนด์ เค้าก็ทำธุรกิจโบรกเกอร์ ซื้อขายหลักทรัพย์ ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือที่เรียกว่า TFEX ปกติเหมือนบริษัทหลักทรัพย์อื่นๆ ทั่วไปนี่แหละครับ เค้ามีประวัติเปลี่ยนชื่อมาแล้วหลายครั้ง จากเดิมชื่อ บล.ยูไนเต็ด ก็เปลี่ยนเป็น บล.เออีซี และล่าสุดก็มาเป็น บล.บียอนด์ ในปี 2564

ทีนี้ประเด็นสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต้องจับตา คือช่วงหลายปีที่ผ่านมา บล.บียอนด์ กำลังปรับตัวครั้งใหญ่มากๆ เรียกว่า “พลิกโฉม” จากธุรกิจโบรกเกอร์แบบเดิมๆ โดยมีเป้าหมายจะเปลี่ยนตัวเองเป็น **บริษัทโฮลดิ้งส์ (Holding Company)** หรือบริษัทที่ไปลงทุนในธุรกิจอื่นที่มีศักยภาพเติบโตสูงแทนการทำธุรกิจหลักทรัพย์เองเป็นหลัก

ธุรกิจใหม่ที่ บล.บียอนด์ เข้าไปลงทุนแบบจริงจัง และเป็นที่ฮือฮาในตลาด ก็คือ **ธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้า** โดยลงทุนใน **บริษัท ไทยสมายล์ บัส จำกัด (TSB)** ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถเมล์ไฟฟ้าเจ้าใหญ่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อันนี้แหละที่เชื่อมโยงกับภาพรถเมล์ไฟฟ้าสีน้ำเงินที่เราเห็นวิ่งกันเกลื่อนถนน! และอีกธุรกิจคือ **ธุรกิจลีสซิ่ง** (ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ) ผ่าน **บริษัท เอช อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (ACE)**

ตรงนี้เองที่น่าสนใจครับ เพราะการลงทุนใน TSB ถือว่าเกาะกระแส **เมกะเทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้า** อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกที่รัฐบาลหลายประเทศรวมถึงไทยก็พยายามสนับสนุน การเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ไฟฟ้าก็ช่วยลดมลพิษ ประหยัดพลังงาน และอาจมีต้นทุนบำรุงรักษาที่ต่ำกว่าในระยะยาว ส่วนธุรกิจลีสซิ่งก็เป็นอีกธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจ

แต่เรื่องที่ต้องมองอย่างตรงไปตรงมา คือ **ผลประกอบการ** ครับ จากข้อมูลที่ผ่านมา (เช่น ในช่วงปี 2561-2565) บล.บียอนด์ มีผลประกอบการขาดทุนสุทธิมาต่อเนื่องหลายปี นี่เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องรับทราบ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้นักลงทุนบางส่วนยังให้ความสนใจ หรือราคาหุ้นมีการซื้อขายกันอยู่นั้น อาจเป็นเพราะความคาดหวังต่อธุรกิจใหม่ที่ไปลงทุนครับ ลองดูตัวเลขทางการเงินอย่าง **P/BV (Price to Book Value Ratio)** ที่เคยมีการซื้อขายที่ระดับสูงถึง 19 เท่า (ตรงนี้อ้างอิงจากข้อมูล ณ ช่วงเวลาหนึ่งที่ผ่านมานะครับ ตัวเลขอาจเปลี่ยนแปลงได้ โปรดตรวจสอบล่าสุดเสมอ) P/BV คืออัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น ถ้าค่านี้สูงๆ ก็เหมือนเราซื้อของแพงกว่ามูลค่าตามบัญชีมากๆ สะท้อนว่าตลาดอาจจะมองเห็นศักยภาพการเติบโตในอนาคตจากธุรกิจใหม่ๆ ที่เค้าไปลงทุน และยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่ามูลค่าตามบัญชีปัจจุบัน

**ถามว่า แล้วความเสี่ยงล่ะ?** แน่นอนครับ การที่บริษัทยังขาดทุนต่อเนื่อง และมีเครื่องหมาย “C” ขึ้นที่หุ้น (เครื่องหมาย C ย่อมาจาก Caution หมายถึงบริษัทอาจมีเหตุที่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงิน ผลประกอบการ หรือการดำเนินธุรกิจ ทำให้นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวัง) ก็เป็นสัญญาณที่บอกว่าสถานะปัจจุบันยังมีความเปราะบางอยู่ การเปลี่ยนผ่านธุรกิจครั้งใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องใช้เวลาในการสร้างผลกำไรให้เกิดขึ้นจริงตามที่คาดหวัง

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดีๆ เลยนะครับ เค้าก็มีข่าวคราวความคืบหน้าของ TSB ที่ขยายเส้นทางรถเมล์ไฟฟ้า หรือ ACE ที่ผลประกอบการดีขึ้น และตัว บล.บียอนด์ เองก็มีกิจกรรมในตลาดฯ อย่างการร่วมจัดจำหน่ายหุ้น IPO (เช่น BKA, LTMH, PIS), หุ้นกู้ (เช่น ATV) หรือเคยได้รับรางวัล Fastest Growing Securities Firm ที่สะท้อนความพยายามปรับตัวและสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจใหม่ๆ

**BYD หุ้น แบบที่ 2: BYD Company Limited (บีวายดี จีน) – ยักษ์ใหญ่ EV ระดับโลก**

ทีนี้มาดู “byd หุ้น” อีกแบบที่คนมักจะพูดถึงกัน โดยเฉพาะเวลาเห็นข่าวเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเป็นที่นิยมในหลายๆ ประเทศ นั่นก็คือ **BYD Company Limited** หรือที่คนไทยมักจะเรียกว่า **”บีวายดี จีน”** ตัวที่เป็นข่าวใหญ่ๆ ทั่วโลกเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังจะแซงหน้าผู้ผลิตรถยนต์รายเดิมๆ นั่นแหละครับ

เจ้านี้เค้าเป็นบริษัทจากประเทศจีน และไม่ได้ทำธุรกิจหลักทรัพย์แบบ บล.บียอนด์ ในไทยนะครับ แต่เค้าเป็นผู้ผลิต **ยานยนต์ไฟฟ้า (EV)** รายใหญ่ของโลก และยังเป็นผู้ผลิต **แบตเตอรี่** ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรถ EV รวมถึง **ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์** ต่างๆ ด้วย

เรียกว่าเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจแบบครบวงจรในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำเลยทีเดียว และความสำเร็จของเค้าก็น่าทึ่งมากๆ ครับ ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่แข่งขันดุเดือดของประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดรถ EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก BYD จีน ถือเป็น **เบอร์ 1** เลยครับ แถมยังมี **Market Cap (มูลค่าตามราคาตลาด)** สูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าของจีนด้วย และติดอันดับ **1 ใน 4 ของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก** (เมื่อนับรวมทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและน้ำมันบางส่วน) สเกลธุรกิจนี่ระดับโลกจริงๆ ครับ

ต่างจาก บล.บียอนด์ ในไทยตรงที่ BYD จีน เค้ามีความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งมากครับ มีผลประกอบการเป็นกำไรต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว มี **รายได้รวม** และ **กำไรสุทธิ** ระดับ **”แสนล้านหยวน”** ต่อไตรมาส (1 หยวน ประมาณ 5 บาท ลองคูณดูครับว่าเยอะขนาดไหน) มูลค่าตามราคาตลาดหรือ Market Cap ก็ระดับ **”ล้านล้านหยวน”** และที่สำคัญ เค้ามีการ **จ่ายเงินปันผล (Dividend)** ให้ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องด้วย

อะไรคือปัจจัยหนุนความสำเร็จของ BYD จีน? นอกจากความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีแบตเตอรี่ของตัวเองแล้ว ปัจจัยสำคัญมากๆ อีกอย่างก็คือ **นโยบายของรัฐบาลจีน** ที่สนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเต็มที่ ทั้งการให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ซื้อ การอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ หรือการไม่จำกัดการใช้งานรถ EV ในบางพื้นที่ ซึ่งเป็นแรงส่งให้ตลาด EV จีนเติบโตแบบก้าวกระโดด และ BYD ในฐานะผู้นำตลาดก็ได้รับประโยชน์เต็มๆ

ที่สำคัญกว่านั้นคือ BYD จีน มีนักลงทุนระดับโลกถือหุ้นอยู่ด้วยครับ ที่โด่งดังที่สุดก็คือ **วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)** ผ่านบริษัท **Berkshire Hathaway** นอกจากนี้ยังมีกองทุนยักษ์ใหญ่อื่นๆ ระดับโลกอีกเพียบ เช่น **Blackrock, Vanguard, State Street** การที่มีนักลงทุนสถาบันใหญ่ๆ แบบนี้ถือหุ้นอยู่ด้วย ก็เหมือนเป็นการตอกย้ำความน่าเชื่อถือและความแข็งแกร่งของตัวบริษัทในสายตาของตลาดโลก

**แล้วนักลงทุนไทยที่สนใจ BYD จีน จะลงทุนได้ยังไง?** BYD Company Limited จดทะเบียนซื้อขายอยู่ใน **ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange)** ด้วยรหัสหุ้น **1211 HK** และใน **ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (Shenzhen Stock Exchange)** ด้วยรหัสหุ้น **002594 SZSE**

นักลงทุนไทยสามารถลงทุนในหุ้น BYD จีน ได้หลายวิธีครับ วิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุดสำหรับนักลงทุนทั่วไป อาจจะผ่าน **DR (Depositary Receipt)** หรือ **DRx** ที่มีบริษัทหลักทรัพย์ในไทยเป็นผู้ออกและนำมาจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งการซื้อขาย DR/DRx ก็จะเหมือนการซื้อขายหุ้นไทยปกติเลย แค่ระบุชื่อ DR/DRx ของ BYD จีน ที่มีให้บริการ (ต้องตรวจสอบกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ท่านใช้บริการอีกครั้งว่ามีตัวไหนบ้างนะครับ) ส่วนนักลงทุนที่มีพอร์ตลงทุนต่างประเทศอยู่แล้ว ก็สามารถซื้อตรงในตลาดฮ่องกง หรือเซินเจิ้น ได้เลย

**สรุปแล้ว “BYD หุ้น” ตัวไหนที่น่าสนใจ?**

เอาล่ะครับ หวังว่าถึงตรงนี้ เพื่อนๆ ผู้อ่านจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้วนะครับว่า “byd หุ้น” ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ เนี่ย มันมีสองเรื่อง สองตัว ที่ไม่เหมือนกันเลย

1. **บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ (บล.บียอนด์, หุ้น BYD ในไทย):** เป็นบริษัทไทยที่กำลังปรับโครงสร้างจากธุรกิจโบรกเกอร์ไปเป็น Holding Company เน้นลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ในประเทศที่มีศักยภาพเติบโตสูงอย่างรถบัสไฟฟ้า (TSB) และลีสซิ่ง (ACE) แม้สถานะการเงินปัจจุบันจะยังขาดทุนต่อเนื่อง (ขาดทุนสุทธิในช่วงปี 2561-2565) และมีเครื่องหมาย C แต่ตลาดอาจจะให้ค่ากับ “ความหวัง” และศักยภาพในการสร้างผลกำไรในอนาคตจากธุรกิจใหม่ๆ ที่ไปลงทุน สะท้อนผ่านค่า P/BV ที่สูงลิ่ว การลงทุนในตัวนี้ เหมือนเรากำลัง “ร่วมลุ้น” ไปกับการปรับโครงสร้างและสร้างธุรกิจใหม่ในประเทศ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ถ้าสำเร็จตามแผน ผลตอบแทนก็อาจจะสูงเช่นกัน

2. **BYD Company Limited (บีวายดี จีน, หุ้น 1211 HK / 002594 SZSE):** คือบริษัทระดับโลกที่แข็งแกร่งในธุรกิจ EV และแบตเตอรี่ มีผลประกอบการที่ทำกำไรมหาศาล เป็นผู้นำในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก (จีน) และได้รับการยอมรับจากนักลงทุนสถาบันทั่วโลก มีรายได้และกำไรสุทธิระดับแสนล้านหยวนต่อไตรมาส และมีมูลค่าตามราคาตลาดระดับล้านล้านหยวน การลงทุนในตัวนี้ คือการลงทุนในบริษัทผู้นำของโลกในเมกะเทรนด์ EV ซึ่งมีความเสี่ยงจากการแข่งขันสูงในตลาดโลก และปัจจัยด้านนโยบายรัฐบาลจีน แต่อาศัยความแข็งแกร่งของตัวธุรกิจเองเป็นหลัก และมีนักลงทุนระดับโลกเป็นผู้ถือหุ้น

เวลาดู BYD จีน เราจะดูพวกอัตราส่วนทางการเงินอย่าง **P/E Ratio (ราคาต่อกำไร)**, **EPS (กำไรต่อหุ้น)** เพื่อประเมินว่าราคาสมเหตุสมผลกับความสามารถในการทำกำไรไหม ซึ่งต่างจาก บล.บียอนด์ ที่ยังไม่มีกำไรให้คำนวณ P/E ได้ในบางช่วง หรือมีค่าเป็นลบ

ก่อนจะตัดสินใจลงทุนใน “byd หุ้น” ตัวไหนก็ตาม (ไม่ว่าจะเป็น บล.บียอนด์ หรือ BYD จีน) คำแนะนำง่ายๆ สไตล์คอลัมนิสต์ก็คือ…

1. **ทำความเข้าใจก่อนว่าคุณกำลังดู “byd หุ้น” ตัวไหนอยู่:** อย่าเพิ่งรีบตามกระแส แค่เห็นชื่อเหมือนกันแล้วคิดว่าเป็นตัวเดียวกัน
2. **ศึกษาข้อมูลเชิงลึกของบริษัทนั้นๆ:** ไม่ว่าจะเป็น บล.บียอนด์ หรือ BYD จีน ก็ต้องดูงบการเงิน (ดูรายได้, กำไร/ขาดทุนสุทธิ), รูปแบบธุรกิจ, แนวโน้มอุตสาหกรรมที่บริษัททำอยู่, ข่าวสารความเคลื่อนไหว, ผู้บริหาร ฯลฯ ให้ละเอียด โดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ (เช่น เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์, ข่าวสารจากสำนักข่าวการเงินที่น่าเชื่อถือ เช่น ข่าวหุ้นธุรกิจ, กรุงเทพธุรกิจ, Hoonsmart, เว็บไซต์ทางการของบริษัทเอง, บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ที่มีใบอนุญาต)
3. **ประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้:** การลงทุนใน บล.บียอนด์ ที่กำลังปรับโครงสร้างและยังขาดทุน อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าบริษัทที่ทำกำไรสม่ำเสมอ ส่วนการลงทุนใน BYD จีน ก็มีความเสี่ยงจากการแข่งขันในตลาดโลก หรือปัจจัยด้านนโยบายของรัฐบาลจีนที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับเงินหยวน/เงินดอลลาร์ฮ่องกงด้วย

จำไว้เสมอว่า **การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอครับ** และไม่มีการรับประกันผลตอบแทนในตลาดหุ้น

⚠️ **คำเตือน:** หากท่านเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือต้องการสภาพคล่องสูง ควรศึกษาข้อมูลและประเมินความเหมาะสมของเงินลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้น หรือสินทรัพย์ใดๆ โดยเฉพาะหุ้นที่มีความผันผวนสูง หรือบริษัทที่กำลังอยู่ในช่วงปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ หรือบริษัทที่มีสถานะการเงินยังไม่แข็งแรง การลงทุนผ่าน DR/DRx แม้จะสะดวก แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับหุ้นอ้างอิงในต่างประเทศและอัตราแลกเปลี่ยน โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน