โรงพยาบาลนพรัตน์ดีไหม? ไขปมสิทธิบัตรทอง, ค่ารักษา & ประกันสุขภาพ!

สวัสดีครับ! กลับมาพบกับคอลัมน์การเงินฉบับเข้าใจง่าย สไตล์เพื่อนเล่าให้ฟังอีกแล้วนะครับ วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องใกล้ตัวมากๆ ที่เกี่ยวพันกับกระเป๋าเงินเราอย่างจัง แถมยังเป็นเรื่องระดับประเทศด้วย นั่นก็คือ “เรื่องของโรงพยาบาล” ครับ

ช่วงนี้เพื่อนๆ หรือญาติผู้ใหญ่อาจจะเคยบ่นเรื่องไปโรงพยาบาลรัฐแล้วคนเยอะมากๆๆๆ รอคิวนานสุดๆ ใช่ไหมครับ บางทีได้ยินแล้วก็สงสัยว่า เอ๊ะ… **โรง พยาบาล นพรัตน์ ดี ไหม** หรือโรงพยาบาลรัฐบาลใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลนี่เค้าเป็นยังไงกันบ้าง ทำไมคนถึงแน่นขนาดนั้น?

**🏥 ทำไมโรงพยาบาลรัฐถึงแน่นเป็นพิเศษช่วงนี้? เหมือนสถานการณ์ไม่ปกติ?**

ถ้ามองในมุมการเงินและเศรษฐกิจสาธารณสุข เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่มีข้อมูลรองรับครับ คือช่วงที่ผ่านมาเนี่ย โรงพยาบาลรัฐบาลหลายแห่ง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และรอบๆ อย่างเช่นที่ **โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี** ต้องเจอกับศึกหนักจริงๆ ครับ ผู้ป่วยทะลักเข้ามาใช้บริการเยอะกว่าที่โรงพยาบาลจะรับไหว ทั้งแผนกผู้ป่วยนอกที่มาตรวจแล้วกลับบ้าน กับผู้ป่วยในที่ต้องนอนแอดมิด ปัญหาคือมันทำให้เกิดความแออัด คิวยาวเหยียด จนบางทีผู้ป่วยก็ต้องรอกันนานมากๆ หรือที่เรียกว่า ‘ผู้ป่วยตกค้าง’ นั่นแหละครับ

ทีนี้คำถามคือ **แล้วทำไมถึงแน่นขนาดนั้นล่ะ?** สาเหตุหลักๆ ที่ข้อมูลชี้ไปเลยก็คือ เป็นผลพวงมาจาก **การเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับสิทธิการรักษา** ครับ

ย้อนไปเมื่อไม่นานมานี้ **สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)** เค้ามีนโยบายบางอย่างที่ส่งผลกระทบโดยตรง คือมีการยกเลิกสัญญากับโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ ไป 9 แห่ง เพราะเจอเรื่องการเบิกจ่ายที่มีปัญหา (อาจจะไม่ถูกต้องตามระเบียบ) พอโรงพยาบาลเอกชนกลุ่มนี้ไม่ได้รับสิทธิบัตรทองแล้ว ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองจำนวนมหาศาลเลยครับ เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ตะวันออกนี่ก็ปาไปประมาณ 1.4 แสนคนเลยนะ! ผู้ป่วยกลุ่มนี้ก็ต้องกระจายตัวไปหาที่พึ่งใหม่ ทีนี้ที่พึ่งหลักที่รองรับสิทธิบัตรทองได้ก็คือ **โรงพยาบาลรัฐบาล** นี่แหละครับ พอคนเยอะมากๆ ก็เลยเกิดสภาพอย่างที่เห็น

ทาง สปสช. เค้าก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะครับ เค้าพยายามแก้ไขอยู่เหมือนกัน โดยให้สิทธิ์ผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็น “สิทธิ์ว่าง” คือสามารถไปใช้บริการที่ไหนก็ได้ในเครือข่าย (ที่ยังรับสิทธิบัตรทองได้) และกำลังเร่งเจรจาหาโรงพยาบาลเอกชนแห่งอื่นๆ มารองรับเพิ่มเติมอยู่ แต่กว่าจะจัดการได้ทั้งหมด โรงพยาบาลรัฐก็ต้องแบกรับภาระไปก่อน ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อการให้บริการโดยรวมนั่นแหละครับ

**💰 สร้างโรงพยาบาลรัฐบาลสักแห่ง ใช้เงินเท่าไหร่? แล้วงบประมาณบริหารจัดการล่ะ?**

ไหนๆ ก็พูดถึงโรงพยาบาลรัฐ อย่าง **โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี** หรือโรงพยาบาลรัฐอื่นๆ เราลองมองย้อนไปดูเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขของรัฐบ้างดีไหมครับ รู้ไหมว่ากว่าจะมาเป็นโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่สักแห่งเนี่ย ต้องใช้งบประมาณมหาศาลเลยนะ

ยกตัวอย่างข้อมูลเก่าๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ **โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี** เนี่ย ตอนที่เริ่มก่อตั้งเมื่อนานมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 แค่ค่าซื้อที่ดินอย่างเดียวก็ 5.5 ล้านบาทแล้วครับ ซึ่งถ้าเทียบกับค่าเงินสมัยนั้นคือเยอะมากๆๆๆ เลยนะครับ ส่วนงบประมาณการก่อสร้างก็เป็นงบผูกพันหลายปี วงเงินรวมๆ ก็หลายร้อยล้านบาทเลย (เช่น งบผูกพัน 33 ล้านบาท วงเงินรวม 317 ล้านบาท เป็นต้น) ซึ่งโครงการเหล่านี้ต้องผ่านการเห็นชอบจากหน่วยงานใหญ่อย่างสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วยนะ แสดงให้เห็นว่ากว่าจะมีโรงพยาบาลรัฐดีๆ สักแห่งต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลจากภาษีประชาชนจริงๆ ครับ

นอกจากงบลงทุนสร้างแล้ว งบประมาณประจำปีเพื่อบริหารจัดการ ซื้อยา อุปกรณ์ จ้างบุคลากร ก็เป็นเรื่องสำคัญมากๆ ครับ **สปสช.** มีบทบาทหลักในการบริหารกองทุนบัตรทอง ซึ่งเป็นงบประมาณก้อนใหญ่ที่นำมาจ่ายค่าบริการให้กับโรงพยาบาลที่รับสิทธิบัตรทอง นโยบายต่างๆ ของรัฐ อย่างเช่น นโยบาย “ฝากครรภ์ฟรีทุกที่” ที่ สปสช. ร่วมกับกรมอนามัยและกรมการแพทย์ จัดให้ผู้มีสิทธิบัตรทองและประกันสังคม สามารถไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลรัฐในสังกัด สปสช. ได้โดยไม่เสียเงิน ก็เป็นตัวอย่างการใช้งบประมาณภาครัฐเพื่อให้บริการสุขภาพพื้นฐานที่จำเป็นครับ

แต่ปัญหาที่โรงพยาบาลรัฐเจอ คือบางครั้งงบประมาณที่ได้รับอาจจะไม่เพียงพอต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้น หรือระบบการเบิกจ่ายที่อาจจะมีความซับซ้อน ทำให้เกิดปัญหาการเงินภายในของโรงพยาบาลได้เหมือนกันครับ

**🏨 แล้วถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชนล่ะ เค้าบริหารจัดการยังไง?**

พอเห็นภาพความท้าทายของโรงพยาบาลรัฐแล้ว ลองมาดูอีกมุมที่เป็นภาคธุรกิจกันบ้างครับ นั่นคือ **โรงพยาบาลเอกชน**

ถ้าลองดูจากการจัดอันดับโรงพยาบาลชั้นนำของโลก อย่างเช่น “The World’s Best Hospitals 2022” (การจัดอันดับโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก ปี 2022) ของต่างประเทศเนี่ย ประเทศไทยเราก็มีโรงพยาบาลที่ติดอันดับหลายแห่งเลยนะครับ ซึ่งก็มีทั้งโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังอย่าง โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท, โรงพยาบาลพระราม 9, โรงพยาบาลบางปะกอก 9, โรงพยาบาลรามคำแหง รวมถึงโรงพยาบาลรัฐวิสาหกิจ/ภายใต้คณะแพทย์ฯ อย่างโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ด้วย

โรงพยาบาลเอกชนเค้าก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างจากโรงพยาบาลรัฐชัดเจนครับ เค้าเน้นเรื่อง **การบริการที่สะดวกสบาย รวดเร็ว เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย** มีศูนย์เฉพาะทางที่หลากหลายมากๆ (อย่างสมิติเวชก็มี Japanese Medical Center รองรับชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ) และเค้าก็รองรับผู้ป่วยได้หลากหลายกลุ่ม ทั้งคนไทยที่มีกำลังจ่าย ประกัน หรือชาวต่างชาติที่เข้ามารักษา (บางแห่งอย่างบำรุงราษฎร์ก็มีนโยบายราคาเดียวสำหรับผู้ป่วยทุกสัญชาติ เพื่อความโปร่งใส)

ในมุมธุรกิจ โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งก็มีแผน **ขยายศักยภาพ** ของตัวเองอยู่ตลอดครับ อย่างโรงพยาบาลบางปะกอก 9 ก็มีโครงการขยายเตียงผู้ป่วยจาก 200 เตียงเป็น 500 เตียง ซึ่งการลงทุนขยายตัวแบบนี้ก็สะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจบริการสุขภาพในประเทศครับ

จะเห็นว่าระบบบริการสุขภาพเรามีผู้เล่นหลายแบบ แต่ละแบบก็มีโมเดลการดำเนินงานที่ต่างกัน โรงพยาบาลรัฐเน้นให้บริการประชาชนส่วนใหญ่ด้วยงบประมาณภาครัฐ ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนดำเนินงานแบบธุรกิจที่ต้องสร้างรายได้และผลกำไรจากการให้บริการที่มีคุณภาพและแตกต่าง

**💸 ป่วยที ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่? แล้วประกันสุขภาพช่วยเรายังไง?**

เรื่องค่าใช้จ่ายนี่แหละที่เป็นหัวใจสำคัญในการตัดสินใจว่าจะไปรักษาที่ไหนใช่ไหมครับ **ค่ารักษาพยาบาลและค่าบริการ** ของแต่ละโรงพยาบาลนี่ต่างกันลิบลับเลย

อย่างโรงพยาบาลรัฐบางแห่งก็จะเน้นค่าบริการที่สมเหตุสมผล เข้าถึงง่ายสำหรับประชาชน แต่ด้วยความที่คนเยอะ ก็ต้องแลกมาด้วยการรอคิวที่ยาวนานและอาจจะไม่สะดวกสบายเท่า

ส่วนโรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายก็จะสูงกว่าตามคุณภาพบริการและเทคโนโลยีที่เค้ามี อย่างการรักษาโรคบางอย่าง เช่น **หูด** ที่ดูเหมือนไม่ซับซ้อนมาก แต่ก็มีหลายวิธีให้เลือกเลยนะครับ ทั้งทายา จี้ความเย็น จี้ไฟฟ้า เลเซอร์ ผ่าตัด หรือแม้แต่กระตุ้นภูมิ ซึ่งแต่ละวิธีก็มีค่าใช้จ่ายต่างกันไป วิธีที่ทันสมัยอย่างเลเซอร์นี่ค่าใช้จ่ายก็ค่อนข้างสูงเลยแหละครับ

ทีนี้เครื่องมือที่ช่วยบริหารความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ดีมากๆ ก็คือ **ประกันสุขภาพ** ครับ โดยเฉพาะพวกประกันโรคร้ายแรงเนี่ย เค้ามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เราเข้าถึงการรักษาในโรงพยาบาลที่เราต้องการได้ง่ายขึ้น เพราะเค้าจะจ่ายเป็นเงินก้อนใหญ่ให้เราเอาไปบริหารจัดการค่ารักษาได้ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายก้อนโตที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาโรคที่ซับซ้อนหรือต้องใช้เวลานาน

จะเห็นว่าเรื่องเงินๆ ทองๆ เกี่ยวกับสุขภาพและการรักษานี่มันมีหลายมิติมากเลยครับ ตั้งแต่ระบบงบประมาณภาครัฐ สิทธิที่เรามี ค่าบริการของโรงพยาบาล ไปจนถึงเครื่องมือทางการเงินส่วนบุคคลอย่างประกันสุขภาพ

**🤝 ภาคเอกชนเค้ามาช่วยโรงพยาบาลรัฐบ้างไหม?**

นอกจากภาครัฐและโรงพยาบาลเอกชนที่ดำเนินธุรกิจของตัวเองแล้ว ยังมีภาคธุรกิจอื่นๆ ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนระบบสาธารณสุขของรัฐบาลด้วยนะครับ อย่างที่เราเห็นข่าวบ่อยๆ ว่าองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ อย่างเช่นกลุ่ม CP และ CPF เนี่ย เค้าก็มีการจัดกิจกรรมเพื่อ **ระดมทุน** (บางทีก็เอาจากรายได้ส่วนหนึ่งจากการซื้อสินค้าของลูกค้า) เพื่อนำไปบริจาคหรือสมทบทุนสนับสนุนการซ่อมแซม พัฒนา หรือซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลรัฐ อย่างเช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นต้น กิจกรรมพวกนี้ก็สะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจที่เห็นความสำคัญและต้องการช่วยเหลือระบบสาธารณสุขของประเทศให้เข้มแข็งขึ้นครับ

**💡 สรุปแล้ว เราควรทำยังไงดี?**

จากภาพรวมทั้งหมดที่เล่ามา ทั้งเรื่องความแออัดในโรงพยาบาลรัฐที่มาจากปัญหาเชิงนโยบาย งบประมาณภาครัฐที่จำกัด การดำเนินงานแบบธุรกิจของโรงพยาบาลเอกชนที่เน้นคุณภาพและบริการที่ต้องจ่ายแพงขึ้น รวมถึงบทบาทของประกันสุขภาพในการช่วยเราจัดการค่าใช้จ่าย

สำหรับพวกเราในฐานะประชาชนผู้ใช้บริการ ก็ต้องทำความเข้าใจระบบที่เรามีก่อนครับ

1. **เช็กสิทธิการรักษาตัวเองให้ดี:** เรามีสิทธิอะไรบ้าง? บัตรทอง ประกันสังคม สวัสดิการข้าราชการ? รู้ว่าสิทธิของเราอยู่ที่ไหน หรือใช้ที่ไหนได้บ้าง จะได้วางแผนถูกว่าถ้าป่วยเบื้องต้นควรไปที่ไหนก่อน
2. **ประเมินความต้องการและกำลังจ่าย:** ถ้าอาการไม่หนักมาก โรงพยาบาลรัฐที่ใกล้บ้าน หรือหน่วยปฐมภูมิ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดี ถึงแม้คนจะเยอะก็ต้องยอมรับข้อจำกัดตรงนี้ไป แต่ถ้าต้องการความรวดเร็ว สะดวกสบาย หรือรักษาโรคเฉพาะทางจริงๆ โรงพยาบาลเอกชนก็เป็นอีกทางเลือกครับ แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นด้วย
3. **พิจารณาเรื่องประกันสุขภาพ:** การมีประกันสุขภาพ เป็นเหมือนเครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านการเงินที่ดีมากๆ ครับ โดยเฉพาะถ้าเรากังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลในอนาคตจากโรคที่อาจจะมีความซับซ้อน หรือต้องการเข้าถึงโรงพยาบาลเอกชนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายมากเกินไป การแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาซื้อประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของเรา ก็เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาครับ

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็น **โรง พยาบาล นพรัตน์ ดี ไหม** หรือโรงพยาบาลอื่นๆ ทั้งรัฐและเอกชน ต่างก็มีบทบาทสำคัญในระบบสาธารณสุขของบ้านเราครับ สิ่งที่เราทำได้คือทำความเข้าใจภาพรวม วางแผนการเงินส่วนบุคคลให้พร้อมรับมือกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น และเลือกใช้บริการที่เหมาะสมกับความจำเป็นและกำลังของเราครับ

**⚠️ ข้อควรระวัง:** การวางแผนเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องระยะยาวนะครับ ค่ารักษาพยาบาลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเสมอ หากสุขภาพยังแข็งแรง การพิจารณาทำประกันสุขภาพไว้ล่วงหน้าจะช่วยเรื่องเบี้ยประกันที่ถูกกว่า และความคุ้มครองที่ไม่มีข้อจำกัดจากโรคที่เป็นมาก่อนครับ อย่ารอให้ป่วยแล้วค่อยคิด เพราะตอนนั้นอาจจะสายเกินไป หรือมีทางเลือกจำกัดลงครับ

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ เห็นภาพรวมของเรื่องสุขภาพและการเงินในระบบโรงพยาบาลบ้านเราได้ชัดเจนขึ้นนะครับ ไว้เจอกันใหม่คอลัมน์หน้าครับ!