เจาะลึกหุ้น Microsoft: โอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนควรรู้

ถ้าพูดถึงบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ชื่อแรกๆ ที่คนนึกถึงคงหนีไม่พ้นชื่อที่ขึ้นต้นด้วยตัว M อย่าง “ไมโครซอฟต์ คอร์ปอเรชัน” (Microsoft Corporation) เจ้าของระบบปฏิบัติการที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เจ้าของโปรแกรมทำงานที่เราคุ้นเคย และที่สำคัญ เจ้าของธุรกิจคลาวด์ที่มาแรงแซงโค้งมากๆ นี่แหละครับ แล้ว “หุ้นmicrosoft” ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ นี่แหละ ที่วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงินจะชวนทุกคนมานั่งคุยกันแบบสบายๆ สไตล์เพื่อนเล่าเรื่องให้ฟัง ว่ายักษ์ใหญ่ตัวนี้เขามีความเป็นมายังไง ตอนนี้เป็นยังไง และถ้าเราอยากเป็นเจ้าของ “หุ้นmicrosoft” บ้าง ต้องดูอะไรบ้าง

ช่วงนี้สังเกตไหมครับว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมันดูเหวี่ยงๆ จังเลย โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ นี่แหละ ขึ้นทีก็ขึ้นแรง ลงทีก็ลงน่าใจหาย ซึ่งกลุ่มที่อ่อนไหวเป็นพิเศษก็หนีไม่พ้นกลุ่ม “หุ้นเทคโนโลยี” ตัวใหญ่ๆ ทั้งหลายนั่นแหละครับ เหตุผลส่วนหนึ่งก็มาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เข้ามาปั่นป่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ “เงินเฟ้อ” ที่บางทีก็สูง บางทีก็เหมือนจะลด ทำให้หลายคนกังวลว่าเศรษฐกิจจะถดถอยไหม? หรือท่าทีของ “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” (Fed) ที่คอยดูจังหวะปรับ “อัตราดอกเบี้ย” ซึ่งไอ้เจ้าอัตราดอกเบี้ยนี่แหละตัวดีเลย เพราะมันส่งผลกระทบโดยตรงต่อการประเมินมูลค่าของหุ้น โดยเฉพาะหุ้นเติบโตอย่างกลุ่มเทคฯ เพราะส่วนใหญ่กำไรจะไปอยู่ไกลๆ ในอนาคต พอคิดลดกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบันโดยใช้อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น มูลค่ามันก็เลยลดลงนั่นเองครับ เหมือนดอกเบี้ยพันธบัตรขึ้นทีไร หุ้นเทคโนโลยีก็มักจะมีย่อตัวตาม ซึ่ง “หุ้นmicrosoft” ก็เป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มนี้ที่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยมหภาคเหล่านี้ด้วยครับ

ไม่แค่เรื่องดอกเบี้ยนะ ตอนนี้กระแสของ “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) ก็มาแรงมากๆ จนกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นกลุ่มเทคฯ แต่ก็มีนักลงทุนบางส่วนที่เริ่มกังวลเหมือนกันว่า ราคาหุ้นหลายตัวในกลุ่ม AI มันอาจจะพุ่งแรงเกินปัจจัยพื้นฐานไปหรือเปล่า หรือผลตอบรับจากการลงทุนใน AI จริงๆ แล้วจะคุ้มค่าตามที่ตลาดคาดหวังไหม ซึ่งประเด็นพวกนี้ก็สร้างความผันผวนในตลาดได้เหมือนกันครับ แม้แต่ในตลาด “คลาวด์” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ “ไมโครซอฟต์” เอง การแข่งขันกับคู่แข่งยักษ์ใหญ่เจ้าอื่นก็ยังคงดุเดือดไม่เคยหยุดหย่อนเลย

ทีนี้มาเจาะลึกที่ตัวบริษัท “ไมโครซอฟต์ คอร์ปอเรชัน” (Microsoft Corporation) กันบ้างดีกว่าครับ บริษัทนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 โดยสองเพื่อนซี้ “บิล เกตส์” และ “พอล แอลเลน” ปัจจุบันมี “สัตยา นาเดลลา” เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ “แนสแด็ก” (Nasdaq) สหรัฐฯ ถามว่าเขาทำอะไรบ้าง ก็เรียกว่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ครอบคลุมหลายอย่างมากๆ ครับ ถ้าให้แบ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ๆ ตามโครงสร้างรายได้หลักๆ (อ้างอิงจากปีงบประมาณ 2567) ก็มี 3 หลังประมาณนี้ครับ

หลังแรกคือ Productivity & Business Processes คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 31.71% บ้านหลังนี้รวมเอาผลิตภัณฑ์ที่เราคุ้นเคยดีอย่าง **”ออฟฟิศ” (Office)** ไม่ว่าจะเป็น Word, Excel, PowerPoint ที่กลายมาเป็น “ออฟฟิศ 365″ ในยุคคลาวด์ นอกจากนี้ก็มี **”ลิงก์อิน” (LinkedIn)** แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสำหรับมืออาชีพ และโซลูชันสำหรับธุรกิจอย่าง **”ไดนามิกส์” (Dynamics)** บ้านหลังนี้ถือเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงและสร้างเม็ดเงินจำนวนมากให้กับบริษัทครับ

หลังที่สองคือ Intelligent Cloud นี่คือบ้านหลังที่มาแรงมากๆ และเป็นหัวใจของการเติบโตในยุคนี้ คิดเป็นสัดส่วนรายได้สูงถึง 42.98% พระเอกของบ้านหลังนี้คือ **”อาซัวร์” (Azure)** บริการคลาวด์ของ “ไมโครซอฟต์” ที่เข้าไปแข่งขันกับเจ้าตลาดอย่าง Amazon Web Services (AWS) ของอะเมซอน และ Google Cloud ของกูเกิล การที่ธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกหันมาใช้บริการคลาวด์มากขึ้น ทำให้บ้านหลังนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดดเลยครับ

หลังที่สามคือ More Personal Computing บ้านหลังนี้คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 25.31% มีผลิตภัณฑ์ที่ใกล้ตัวเรามากๆ อย่างระบบปฏิบัติการ **”วินโดวส์” (Windows)** ที่อยู่บนคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ นอกจากนี้ก็มีธุรกิจเกมผ่าน **”เอ็กซ์บ็อกซ์” (Xbox)** แพลตฟอร์มเกมคอนโซลและบริการเกมต่างๆ รวมถึงเครื่องมือค้นหา **”บิง” (Bing)** และอุปกรณ์อย่าง Surface แม้ธุรกิจวินโดวส์อาจจะไม่ได้โตหวือหวาเท่าเมื่อก่อน แต่ก็ยังเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญมากๆ ครับ

แล้วอะไรที่ทำให้ “หุ้นmicrosoft” ยังดูน่าสนใจในมุมของการเติบโตล่ะ? หลักๆ เลยก็คือความแข็งแกร่งในธุรกิจ **”คลาวด์” (Cloud)** ผ่าน **”อาซัวร์”** ที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตดีตามความต้องการใช้งานขององค์กรต่างๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ การลงทุนในเทคโนโลยี **”ปัญญาประดิษฐ์” (AI)** อย่างมหาศาล รวมถึงการร่วมมือกับบริษัทชั้นนำอย่าง OpenAI ก็ถูกคาดหวังว่าจะช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์เดิมๆ ให้ฉลาดขึ้น และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์โลกอนาคตได้

นอกจากนี้ การเข้าซื้อกิจการใหญ่ๆ หลายครั้งก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งได้มาก อย่างการซื้อ **”ลิงก์อิน”** ช่วยเสริมธุรกิจโซลูชันสำหรับองค์กร การซื้อ **”กิตฮับ” (GitHub)** แพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนา ช่วยดึงนักพัฒนาร่วมสร้าง Ecosystem และล่าสุดที่ใหญ่ที่สุดคือการเข้าซื้อ **”แอคติวิชัน บลิซซาร์ด” (Activision Blizzard)** เจ้าของเกมดังมากมาย ก็ทำให้ “ไมโครซอฟต์” กลายเป็นผู้เล่นรายสำคัญในอุตสาหกรรมเกม ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่และยังมีศักยภาพเติบโตสูงครับ

“ไมโครซอฟต์” ยังมีความได้เปรียบในหลายๆ ด้าน เช่น Switching costs หรือต้นทุนในการเปลี่ยนค่ายที่สูงสำหรับลูกค้าองค์กรที่ใช้บริการ “อาซัวร์” หรือ “ออฟฟิศ 365” อยู่แล้ว หรือ Network effects ในกรณีของ “ลิงก์อิน” ที่ยิ่งมีผู้ใช้งานมาก แพลตฟอร์มก็ยิ่งมีคุณค่ามากขึ้น รวมถึงการที่ยังมีสถานะค่อนข้างผูกขาดในบางธุรกิจอย่าง **”วินโดวส์”** หรือ **”ออฟฟิศ 365″** ก็เป็นแหล่งเงินทุนชั้นดีที่สามารถนำไปลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ หรือธุรกิจที่ยังอยู่ในช่วงเติบโตสูงอย่าง **”คลาวด์”** และ **”ปัญญาประดิษฐ์”** ได้อย่างต่อเนื่อง

ทีนี้มาดูตัวเลขกันบ้างดีกว่าครับ (อันนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2567 ตามข้อมูลดิบที่ได้รับมานะครับ ตัวเลขจริงอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา) ราคา “หุ้นmicrosoft” ณ วันนั้นอยู่ที่ประมาณ 359.12 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งก็มีการปรับลดลงบ้างในช่วงที่ผ่านมา ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายปี โดยเคยทำราคาสูงสุดที่ 468.35 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนราคาในอดีตที่ต่ำมากๆ ก็มีเหมือนกันตอนที่บริษัทยังเล็กๆ อยู่ การที่ราคาหุ้นมีการย่อตัวลงมา ก็อาจเป็นผลมาจากปัจจัยตลาดที่เราคุยกันไปตอนต้นนั่นแหละครับ

ในแง่ของผลประกอบการล่าสุด (ไตรมาสล่าสุดตามข้อมูล) “ไมโครซอฟต์” ก็ยังทำได้ดีนะ มี **”กำไรต่อหุ้น” (EPS)** ที่ 3.23 ดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ (ประมาณ 3.12 ดอลลาร์สหรัฐฯ) หรือที่เรียกว่า “เซอร์ไพรส์” ไปเล็กน้อย ในส่วนของ **”รายได้”** ก็ทำได้ 69.63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าประมาณการเช่นกัน ส่วน **”กำไรสุทธิ”** อยู่ที่ 24.11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตัวเลขพวกนี้บอกว่า แม้ตลาดจะผันผวน แต่ธุรกิจของ “ไมโครซอฟต์” ยังคงแข็งแกร่งอยู่ครับ

ถ้าดูในมุมของมูลค่า บริษัทมี **”มูลค่าตามราคาตลาด”** ประมาณ 2.73 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เรียกว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกเลยทีเดียว ถ้าดูตัวชี้วัดอื่นๆ อย่าง **”อัตราส่วนราคาต่อกำไร” (P/E Ratio)** ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (LTM) อยู่ที่ 33.94 ซึ่งก็ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม (24.75) เล็กน้อย อันนี้บอกว่าตลาดให้มูลค่า “หุ้นmicrosoft” ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับกำไร แสดงว่านักลงทุนยังคาดหวังการเติบโตในอนาคตอยู่ครับ ส่วน **”อัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น” (ROE)** ก็สูงถึง 30.64% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมมาก อันนี้บ่งชี้ว่าบริษัทใช้เงินทุนของผู้ถือหุ้นไปสร้างกำไรได้ดีเยี่ยมเลยครับ และ “ไมโครซอฟต์” ก็ยังมีการจ่าย **”เงินปันผล”** ให้ผู้ถือหุ้นทุกไตรมาสด้วยนะ โดยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลย้อนหลัง 12 เดือน (TTM) อยู่ที่ 0.86%

แต่ว่านะ… การลงทุนใน “หุ้นmicrosoft” ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลยครับ นอกจากความผันผวนของตลาดโดยรวม และความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่เราคุยกันไปตอนแรก ก็ยังมีความเสี่ยงเฉพาะของบริษัทด้วยครับ

อย่างแรกเลยคือ **”การแข่งขัน”** ที่รุนแรงมากๆ ในหลายกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะในตลาด **”คลาวด์”** ที่ต้องงัดข้อกับเจ้าอื่นตลอดเวลา หรือในตลาดซอฟต์แวร์อื่นๆ คู่แข่งก็เยอะเหมือนกันครับ

อย่างที่สองคือ **”ประเด็นทางกฎหมายและการต่อต้านการผูกขาด”** บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่มักจะถูกเพ่งเล็งจากหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก โดยเฉพาะเวลาที่เข้าซื้อกิจการใหญ่ๆ อย่าง “แอคติวิชัน บลิซซาร์ด” ก็ต้องใช้เวลานานและเจออุปสรรคทางกฎหมาย กว่าจะได้รับการอนุมัติให้เข้าซื้อสำเร็จ และก็ยังมีความเสี่ยงที่จะโดนตรวจสอบในอนาคตได้อีกครับ

อย่างที่สามคือ **”ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงาน”** บริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้ มีระบบและข้อมูลมหาศาล การบริหารจัดการ การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ศูนย์ข้อมูลต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงและต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องครับ

นอกจากนี้ ธุรกิจบางอย่างก็อาจจะเริ่มอิ่มตัวได้ อย่างจำนวนผู้ใช้งาน **”ออฟฟิศ 365″** ที่อาจไม่ได้โตหวือหวาเท่าช่วงแรกๆ หรือธุรกิจโทรศัพท์มือถือที่ “ไมโครซอฟต์” เคยพยายามทำ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรครับ

แล้วถ้าเราคนไทยอยากเป็นเจ้าของ “หุ้นmicrosoft” บ้างล่ะ ทำได้ไหม? ทำได้ครับ มีหลายวิธีเลย

วิธีแรกคือ **ลงทุนโดยตรง** ผ่านโบรกเกอร์ไทยที่เปิดให้บริการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ เราก็สามารถส่งคำสั่งซื้อขาย “หุ้นmicrosoft” ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ “แนสแด็ก” สหรัฐฯ ได้เลย โดยทั่วไปก็ซื้อขั้นต่ำ 1 หุ้นครับ

อีกทางเลือกหนึ่งคือการ **ลงทุนผ่านกองทุนรวม** หรือ **”กองทุนอีทีเอฟ” (ETF)** ที่ไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นกองทุนที่เน้นหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ หรือกองทุนที่อ้างอิงดัชนีอย่าง “แนสแด็ก 100” ซึ่งรวมเอาหุ้นเทคฯ ตัวใหญ่ๆ ไว้เพียบ และ “หุ้นmicrosoft” ก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ การลงทุนผ่านกองทุนก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี

ข้อสำคัญมากๆ ที่นักลงทุนไทยต้องพิจารณาเวลาลงทุนใน “หุ้นmicrosoft” หรือหุ้นต่างประเทศอื่นๆ ก็คือเรื่อง **”อัตราแลกเปลี่ยน”** ครับ เพราะเราต้องใช้เงิน “ดอลลาร์สหรัฐฯ” ในการซื้อขาย พอเราจะขายหุ้นแล้วแลกเงินกลับมาเป็นเงินบาทไทย “อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน” ก็จะมีผลต่อผลตอบแทนรวมของเราด้วย ถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ราคาหุ้นจะเท่าเดิมหรือขึ้นเล็กน้อย แต่พอแปลงเป็นเงินบาท เราอาจจะได้เงินน้อยลง หรือกำไรลดลงก็ได้ครับ อันนี้เป็นความเสี่ยงที่เราควบคุมไม่ได้ แต่ต้องตระหนักไว้เสมอครับ

บางทีคนไทยเรามักจะมี Home Bias หรืออคติที่ชอบลงทุนแต่ในประเทศตัวเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่การมองหาโอกาสในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในบริษัทระดับโลกที่มีศักยภาพการเติบโตสูงอย่าง “ไมโครซอฟต์” ก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและอาจจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาวนะครับ ปัจจุบันก็มี **”แพลตฟอร์มซื้อขายหุ้นต่างประเทศ”** ที่ให้บริการนักลงทุนไทยมากขึ้น บางแห่งก็มีเงื่อนไขการซื้อขายที่แตกต่างกันไป เช่น Moneta Markets หรืออื่นๆ ซึ่งนักลงทุนก็ต้องศึกษาเงื่อนไขและค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้รอบคอบก่อนเลือกใช้บริการครับ

สรุปแล้ว “ไมโครซอฟต์” เนี่ย เป็นบริษัทที่ใหญ่ แข็งแกร่ง มีธุรกิจหลากหลายและครอบคลุมเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง **”คลาวด์”** และ **”ปัญญาประดิษฐ์”** การเข้าซื้อกิจการใหญ่ๆ ก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งและขยายตลาดได้อย่างน่าสนใจครับ แต่ในขณะเดียวกัน การลงทุนใน “หุ้นmicrosoft” ก็มาพร้อมกับความท้าทาย ทั้งจากความผันผวนของตลาดโลกเอง การแข่งขันที่ดุเดือด และความเสี่ยงด้านกฎหมายและการกำกับดูแล

สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจ “หุ้นmicrosoft” หรืออยากลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้อง **”ศึกษาข้อมูล”** ทั้งตัวบริษัทเอง แนวโน้มอุตสาหกรรม และปัจจัยมหภาคต่างๆ รวมถึงต้องเข้าใจ **”ความเสี่ยงที่รับได้”** ของตัวเองครับ อย่าลืมเรื่อง **”การกระจายความเสี่ยง”** ไม่ใช่ทุ่มหมดหน้าตักไปที่หุ้นตัวเดียว และต้องไม่มองข้ามเรื่อง **”อัตราแลกเปลี่ยน”** ด้วยครับ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศที่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินเพิ่มเข้ามา ควรพิจารณาความเสี่ยงเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจให้ดีครับ