หุ้นสามัญคืออะไร? ไขข้อสงสัย ทำไมต้องมีในพอร์ต!

เคยได้ยินคำว่า “ซื้อหุ้น” ไหมครับ? หลายคนคงคุ้นๆ หู แต่อาจจะยังงงๆ ว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ แล้วคำฮิตติดปากอย่าง “หุ้นสามัญ หมาย ถึง” อะไรล่ะ วันนี้ผมในฐานะคนเขียนคอลัมน์การเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้ฟังสบายๆ เหมือนชวนเพื่อนคุย จะพาไปทำความเข้าใจโลกของ “หุ้นทุน (Equity Instruments)” และ “ตราสารหนี้ (Debt Instruments)” แบบง่ายๆ กันครับ

ลองนึกภาพว่าเรากำลังจะเปิดร้านกาแฟเล็กๆ สักร้าน แทนที่จะใช้เงินตัวเองทั้งหมด เราอาจจะชวนเพื่อนๆ หรือคนรู้จักมาร่วมลงทุนด้วย การลงทุนแบบนี้แหละที่คล้ายคลึงกับการซื้อหุ้น นั่นคือ เรากำลังเอาเงินไปร่วมเป็น “เจ้าของ” กิจการนั้นๆ ในสัดส่วนที่เราลงทุนไป

ในโลกของการลงทุนจริงๆ ที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย เราจะเจอหลักๆ อยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ **หุ้นทุน (Equity Instruments)** ซึ่งก็คือความเป็นเจ้าของนี่แหละ กับอีกกลุ่มคือ **ตราสารหนี้ (Debt Instruments)** ที่เราไปในฐานะ “เจ้าหนี้” ให้เขากู้เงินไป วันนี้เราจะโฟกัสที่หุ้นทุนเป็นหลัก แต่ก็จะแตะไปถึงตราสารหนี้อย่าง “หุ้นกู้” ด้วย เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น

**ทำความรู้จัก “หุ้นทุน” : การเป็นเจ้าของกิจการ**

ในกลุ่มหุ้นทุน มีพระเอกนางเอกอยู่สองแบบครับ คือ “หุ้นสามัญ” และ “หุ้นบุริมสิทธิ”

**หุ้นสามัญ (Common Stock): พระเอกตัวจริงเสียงจริง**

มาดูกันแบบเจาะลึกเลยว่า **หุ้นสามัญ หมาย ถึง** อะไร? ง่ายๆ คือ หุ้นสามัญเป็น “ตราสารทุน” ที่แสดงความเป็น “เจ้าของ” บริษัทที่ออกหุ้นนั้นๆ ครับ พูดอีกแบบคือ เมื่อคุณซื้อหุ้นสามัญ คุณก็กลายเป็น “ผู้ถือหุ้นสามัญ” ซึ่งมีสิทธิ์มีเสียงในการบริหารงานของบริษัทผ่านการ “ออกเสียง” ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น เหมือนเวลาเราประชุมหุ้นส่วนร้านกาแฟเมื่อกี้ เรามีสิทธิ์โหวตว่าจะเปิดสาขาใหม่ไหม หรือจะเปลี่ยนสูตรกาแฟหรือเปล่า

ผลตอบแทนที่เราจะได้จากหุ้นสามัญมีหลักๆ สองทางครับ หนึ่งคือ “เงินปันผล” (Dividend) ถ้าบริษัทมีกำไร เขาก็อาจจะแบ่งกำไรส่วนหนึ่งมาจ่ายให้ผู้ถือหุ้น และสองคือ “กำไรจากส่วนต่างราคา” (Capital Gain) ถ้าบริษัทเติบโต ผลประกอบการดี ตลาดมองเห็นอนาคต ราคาหุ้นของเราก็มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น เราก็จะได้กำไรตอนที่เราขายหุ้นออกไปนั่นเอง

แต่แน่นอนว่า การเป็นเจ้าของย่อมมาพร้อมความเสี่ยงครับ ราคาหุ้นสามัญจะ “ผันผวน” ไปตามผลประกอบการของบริษัท สภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าบริษัทเจอวิกฤติ หรือตลาดโดยรวมไม่ดี ราคาหุ้นสามัญก็อาจจะปรับตัวลงแรงได้ พูดง่ายๆ คือ เป็นเจ้าของร้านกาแฟ ถ้าคนเข้าร้านเยอะ เราก็รวย แต่ถ้าคนไม่มาเลย เราก็อาจจะต้องขาดทุนได้

ดังนั้น หุ้นสามัญจึงเหมาะกับนักลงทุนที่ “รับความเสี่ยงได้สูง” หน่อยครับ และมองการลงทุนใน “ระยะยาว” เพราะต้องการให้เงินทุนเติบโตไปพร้อมกับบริษัทในอนาคต เหมือนคนที่เชื่อในศักยภาพของร้านกาแฟเรามากๆ และพร้อมจะร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็ชี้ให้เห็นว่า ในระยะยาว หุ้นสามัญมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนประเภทอื่นๆ แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่สูงกว่าเช่นกัน ซึ่งเป็นธรรมชาติของการลงทุนที่ยิ่งความเสี่ยงสูง โอกาสได้ผลตอบแทนสูงก็มีตามไปด้วย (และโอกาสขาดทุนสูงก็มีด้วยเช่นกัน!)

**หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock): เจ้าของแบบมีสิทธิ์พิเศษ**

ทีนี้มาดูนางเอกของเราบ้าง “หุ้นบุริมสิทธิ” ก็เป็น “ตราสารทุน” เหมือนกันครับ แสดงความเป็นเจ้าของเหมือนกัน แต่จะมี “สิทธิพิเศษ” เหนือกว่าหุ้นสามัญในบางเรื่อง ลองนึกภาพว่าในร้านกาแฟ มีหุ้นส่วนพิเศษที่ตกลงกันไว้ว่า “ถ้ามีกำไรนะ ฉันขอเงินปันผลก่อนเลยนะ ได้เท่านี้เป๊ะๆ ไม่ว่าร้านจะกำไรมากหรือน้อยก็ตามในระดับหนึ่ง”

ใช่ครับ สิทธิพิเศษหลักๆ ของหุ้นบุริมสิทธิคือ “สิทธิในการได้รับเงินปันผลก่อน” หุ้นสามัญครับ แถมบางครั้งเงินปันผลก็อาจจะ “คงที่” ด้วย ไม่ขึ้นลงตามผลประกอบการมากนัก และอีกข้อดีคือ หากบริษัทเลิกกิจการ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิก็มี “สิทธิในการได้รับคืนเงินลงทุนก่อน” ผู้ถือหุ้นสามัญด้วย ทำให้ดูเหมือนจะมีความมั่นคงกว่า

แต่สิทธิพิเศษนี้ก็ต้องแลกมากับบางอย่างครับ โดยทั่วไปแล้ว (ย้ำว่าโดยทั่วไป เพราะบางบริษัทอาจมีเงื่อนไขพิเศษ) ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมักจะ “ไม่มีสิทธิออกเสียง” ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นครับ เหมือนเป็นหุ้นส่วนที่เน้นรับผลตอบแทน ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจ และโอกาสที่จะได้กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) ก็อาจจะน้อยกว่าหุ้นสามัญด้วย เพราะราคาหุ้นบุริมสิทธิมักจะอ้างอิงกับเงินปันผลที่ได้รับมากกว่า

สรุปง่ายๆ คือ หุ้นบุริมสิทธิมีความ “เสี่ยงต่ำกว่า” หุ้นสามัญครับ ให้ผลตอบแทนที่ “สม่ำเสมอ” ในรูปของเงินปันผล แต่มีข้อจำกัดด้านสิทธิออกเสียงและโอกาสในการเติบโตของราคา จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ “ไม่ชอบความเสี่ยงมาก” และ “ต้องการรายได้ประจำ” จากเงินปันผล เช่น กลุ่มคนที่เกษียณแล้ว หรือคนที่ต้องการสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอจากการลงทุน

**ความแตกต่างระหว่าง หุ้นสามัญ กับ หุ้นบุริมสิทธิ: เหมือนพี่น้องแต่คนละสไตล์**

เพื่อความชัดเจน เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ ไปเลย:

* **สิทธิออกเสียง:** หุ้นสามัญมีสิทธิ์ออกเสียงเต็มที่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ส่วนหุ้นบุริมสิทธิโดยทั่วไปไม่มี (เหมือนหุ้นสามัญเป็นหุ้นส่วนใหญ่ หุ้นบุริมสิทธิเป็นหุ้นส่วนที่เน้นผลตอบแทนเป็นหลัก)
* **เงินปันผลและการคืนทุน:** หุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลและเงินคืนทุนก่อนหุ้นสามัญเสมอ (เหมือนหุ้นบุริมสิทธิเป็นคิวก่อน คิว VIP)
* **ความเสี่ยงและผลตอบแทน:** หุ้นสามัญมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนทั้งเงินปันผลและกำไรส่วนต่างราคาที่สูงกว่าและเติบโตได้มากกว่า ส่วนหุ้นบุริมสิทธิความเสี่ยงต่ำกว่า ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แต่โอกาสโตของราคามีน้อยกว่า
* **ความเหมาะสม:** หุ้นสามัญเหมาะกับคนรับความเสี่ยงได้ ต้องการโตระยะยาว ส่วนหุ้นบุริมสิทธิเหมาะกับคนเน้นรายได้ประจำ ลดความเสี่ยง

คุณอาจจะถามว่า แล้วทำไมบางบริษัทต้องออกทั้งสองแบบ? ส่วนหนึ่งก็เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่หลากหลายกลุ่มนั่นเองครับ

**หุ้นสามัญ มีหลายประเภทซะด้วยนะ!**

ถึงแม้จะเป็น “หุ้นสามัญ” เหมือนกัน แต่ก็มีหลายแบบ หลายสไตล์ ให้เลือกตามลักษณะของบริษัทและวัตถุประสงค์ในการลงทุนครับ ลองดูคร่าวๆ นะ:

* **หุ้นบลูชิป (Blue Chip Stocks):** เหมือนร้านใหญ่เจ้าดังในห้างที่คนรู้จักทั้งประเทศ เป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีผลประกอบการมั่นคง ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ แต่โอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดดอาจมีน้อยกว่า
* **หุ้นปันผล (Income Stocks):** บริษัทที่มักจะจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด เหมาะกับคนที่ต้องการรายได้ประจำจากเงินปันผล
* **หุ้นเติบโต (Growth Stocks):** บริษัทที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตสูงมากๆ มักจะนำกำไรไปลงทุนต่อยอดธุรกิจ ไม่ค่อยจ่ายเงินปันผล หรือจ่ายน้อยมากๆ เหมาะกับคนที่เน้นกำไรจากส่วนต่างราคาในอนาคต
* **หุ้นวัฏจักร (Cyclical Stocks):** ราคาขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจ เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ถ้าเศรษฐกิจดี คนใช้เยอะ ราคาหุ้นก็ขึ้น
* **หุ้นป้องกันความเสี่ยง (Defensive Stocks):** ราคาไม่ค่อยผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก เช่น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า ประปา) หรือโรงพยาบาล เพราะคนยังต้องใช้บริการเหล่านี้แม้เศรษฐกิจจะไม่ดี
* **หุ้นขนาดใหญ่ (Large-cap), กลาง (Mid-cap), เล็ก (Small-cap):** แบ่งตามมูลค่าตลาดรวมของบริษัท ยิ่งขนาดเล็ก โอกาสโตก็อาจจะสูง แต่ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย

การรู้จักประเภทของหุ้นสามัญเหล่านี้ช่วยให้เราเลือกหุ้นได้ตรงกับสไตล์และเป้าหมายการลงทุนของเรามากขึ้นครับ

**แล้ว “หุ้นกู้” ล่ะ เกี่ยวอะไรด้วย?**

ข้ามฝั่งมาที่ “ตราสารหนี้” บ้างครับ คู่แข่งที่สำคัญของหุ้นทุนก็คือ “หุ้นกู้ (Corporate Bond)” อันนี้สถานะเปลี่ยนไปเลยครับ จากการเป็น “เจ้าของ” กลายมาเป็น “เจ้าหนี้” แทน

อธิบายง่ายๆ คือ บริษัทต้องการระดมเงินทุน แต่แทนที่จะขายหุ้น (แบ่งความเป็นเจ้าของ) บริษัทเลือกที่จะ “กู้เงิน” จากประชาชนทั่วไป แล้วออกหลักฐานการกู้ที่เรียกว่า “หุ้นกู้” ให้เราถือไว้ครับ ในฐานะผู้ถือหุ้นกู้ เราคือ “เจ้าหนี้” ของบริษัท

ผลตอบแทนที่เราได้รับจากหุ้นกู้คือ “ดอกเบี้ย” ซึ่งมักจะกำหนดอัตราไว้คงที่ และจ่ายเป็นงวดๆ ตามที่ตกลงกันครับ และเมื่อครบกำหนดอายุของหุ้นกู้ บริษัทก็จะคืนเงินต้นที่เราให้กู้ไปให้เรา

ความเสี่ยงของหุ้นกู้คือ “ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้” ครับ คือถ้าบริษัทที่เราซื้อหุ้นกู้ไป เกิดประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จนไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยหรือคืนเงินต้นได้ เราก็อาจจะสูญเงินลงทุนไปได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว หุ้นกู้จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นสามัญครับ เพราะเจ้าหนี้มีสิทธิ์ในการเรียกร้องหนี้สินคืนก่อนผู้ถือหุ้นเมื่อบริษัทมีปัญหาหรือเลิกกิจการ (ได้คิวก่อนทั้งหุ้นบุริมสิทธิและหุ้นสามัญเลย)

หุ้นกู้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ “เน้นความมั่นคง” และ “ต้องการรายได้สม่ำเสมอ” ในรูปของดอกเบี้ย ไม่ต้องการความผันผวนสูงๆ เหมือนในตลาดหุ้น

**ภาพรวมตลาดและปัจจัยที่ต้องจับตา**

ไม่ว่าจะเป็นหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หรือหุ้นกู้ ทุกอย่างล้วนอยู่ใน “ตลาดทุน” ซึ่งมีความเคลื่อนไหวตลอดเวลาครับ ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงในระยะยาว แต่ก็มีความเสี่ยงสูงตามไปด้วย ในขณะที่ตลาดตราสารหนี้มีความผันผวนน้อยกว่า และให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ แต่โดยทั่วไปแล้วจะต่ำกว่าหุ้น

ปัจจัยภายนอกอย่าง “นโยบายการเงิน” ของธนาคารกลางก็ส่งผลกระทบต่อตลาดเหล่านี้ครับ เช่น ถ้าธนาคารกลางขึ้นอัตราดอกเบี้ย การลงทุนในหุ้นกู้ที่ให้ดอกเบี้ยคงที่อาจจะดูน่าสนใจขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทสูงขึ้น อาจส่งผลต่อนักลงทุนในหุ้นได้ นอกจากนี้ “ตัวเลขเศรษฐกิจ” ต่างๆ เช่น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) หรืออัตราเงินเฟ้อ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลประกอบการบริษัทและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งส่งผลต่อราคาหุ้นและหุ้นกู้เช่นกัน นักลงทุนจึงควรติดตามข่าวสารและแนวโน้มเหล่านี้อยู่เสมอครับ

**สรุป: เลือกลงทุนอะไรดี?**

กลับมาที่คำถามสำคัญ “แล้วเราเหมาะกับอะไรล่ะ?”

* ถ้าคุณรับความเสี่ยงได้สูง มองหาการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว และอยากมีสิทธิ์มีเสียงในบริษัท การลงทุนใน **หุ้นสามัญ** อาจเป็นคำตอบ
* ถ้าคุณต้องการรายได้สม่ำเสมอ ไม่ชอบความเสี่ยงสูงๆ และเน้นรับเงินปันผลแบบมีสิทธิพิเศษ การลงทุนใน **หุ้นบุริมสิทธิ** อาจจะใช่กว่า
* ถ้าคุณเน้นความมั่นคง ต้องการเป็นเจ้าหนี้ที่ได้รับดอกเบี้ยคงที่ และรับความเสี่ยงได้ต่ำ การลงทุนใน **หุ้นกู้** น่าจะตอบโจทย์ที่สุด

การลงทุนไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวครับ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้อง “รู้จักตัวเอง” ก่อน ประเมินว่าเรารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน มีเป้าหมายการลงทุนอย่างไร ระยะเวลาเท่าไหร่ จากนั้นค่อยศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์ที่เราสนใจให้ “รอบคอบ” ที่สุด

หลายครั้งนักลงทุนก็เลือกลงทุนแบบ “ผสมผสาน” ครับ คือมีทั้งหุ้นสามัญเพื่อโอกาสเติบโต มีหุ้นบุริมสิทธิเพื่อสร้างรายได้ประจำ และมีหุ้นกู้เพื่อเพิ่มความมั่นคงในพอร์ตลงทุน แบบนี้เรียกว่าการ “กระจายความเสี่ยง” ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการลงทุนครับ

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำความเข้าใจว่า **หุ้นสามัญ หมาย ถึง** อะไร หรือกำลังสนใจการลงทุน ลองเริ่มต้นจากน้อยๆ ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม อ่านบทวิเคราะห์ ฟังผู้เชี่ยวชาญ (โดยตรวจสอบข้อมูลให้แน่ใจด้วยนะ) ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปทีละขั้นตอนครับ

⚠️ และที่สำคัญที่สุด! ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า **การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ** ไม่ว่าจะเป็นหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หรือหุ้นกู้ ทุกการลงทุนล้วนมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ครับ เข้าใจธรรมชาติของมัน แล้วเราจะลงทุนได้อย่างมั่นใจมากขึ้นครับ