หุ้นทองคํา ชื่อย่อ: ลงทุนทองคำยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ซื้อทองแท่ง!

ช่วงนี้เดินไปไหนมาไหน หรือเปิดโซเชียลมีเดียขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะเห็นข่าวเกี่ยวกับ “ทองคำ” ราคาพุ่งทำลายสถิติกันรายวันเลยใช่ไหมครับ เพื่อนผมคนนึงชื่อสมชาย วันก่อนยังไลน์มาถามเลยว่า “เฮ้ยแกร… ทองขึ้นเอาๆ แบบนี้ ซื้อเก็บไว้ตอนนี้ยังทันไหมวะ? แล้วมันมีวิธีซื้อแบบอื่นนอกจากไปร้านทองหรือเปล่า?”

คำถามของสมชายนี่ ผมว่าน่าจะอยู่ในใจของใครหลายๆ คนเลยทีเดียว เพราะเวลาเศรษฐกิจดูแกว่งๆ เงินเฟ้อก็เหมือนจะคอยมาหลอกหลอน ทองคำก็มักจะถูกพูดถึงในฐานะ “หลุมหลบภัย” หรือสินทรัพย์ปลอดภัยที่คนนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ เหมือนเวลาฝนตกหนักๆ แล้วเรามองหาร่มหรือที่กำบังนั่นแหละครับ ธนาคารกลางทั่วโลกเองก็ยังคงสะสมทองคำเป็นทุนสำรองกันอย่างต่อเนื่อง มันก็ยิ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นในคุณค่าของโลหะสีเหลืองอร่ามนี้เข้าไปอีก

แต่การจะกระโดดเข้าไปลงทุนในทองคำ มันก็ไม่ได้มีแค่การเดินเข้าร้านทองไปซื้อทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณเก็บไว้เท่านั้นนะครับ เดี๋ยวนี้โลกการเงินมันหมุนไปไกล มีทางเลือกให้เราลงทุนในทองคำได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสีย ความเสี่ยง และความเหมาะสมกับนักลงทุนแต่ละคนแตกต่างกันไป วันนี้เราจะมาค่อยๆ แกะดูกันทีละแบบ สไตล์บ้านๆ เข้าใจง่าย รับรองว่าอ่านจบแล้วน่าจะพอเห็นภาพมากขึ้นว่าแบบไหนที่น่าจะ “ใช่” สำหรับเรา

เริ่มกันที่วิธีคลาสสิกสุดๆ ที่ทุกคนคุ้นเคย: การซื้อทองคำจริงๆ จับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่ง หรือทองรูปพรรณที่เราใส่กันสวยๆ นี่แหละ ข้อดีคือมันให้ความรู้สึกมั่นคงทางใจ ได้เป็นเจ้าของจริงๆ แต่ข้อเสียก็มีใช่ย่อยนะครับ อย่างแรกเลยคือเรื่องการเก็บรักษา จะเก็บไว้ที่บ้านก็กลัวโจร จะเช่าตู้นิรภัยธนาคารก็มีค่าใช้จ่าย แถมเวลาจะซื้อจะขาย ก็มีส่วนต่างราคาซื้อ-ขาย (Spread) ที่ร้านทองคิด ทำให้เราอาจไม่ได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าราคาทองที่ประกาศกัน แถมถ้าต้องการใช้เงินด่วน การจะแปลงทองคำแท่งใหญ่ๆ หรือทองรูปพรรณกลับเป็นเงินสดทันทีอาจจะไม่คล่องตัวเท่าไหร่ เปรียบเหมือนเราซื้อตู้เย็นหลังใหญ่มาเก็บไว้ที่บ้าน มันก็มีประโยชน์ใช้สอยดี แต่ถ้าวันนึงอยากจะขายต่อทันทีในราคาดีๆ อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย

ทีนี้ มาดูทางเลือกที่กำลังฮิตและสะดวกสบายขึ้นมาอีกระดับ นั่นคือ “กองทุนรวมทองคำ” ครับ ลองนึกภาพตามง่ายๆ เหมือนเราไปลงขันกับคนอื่นๆ แล้วจ้างมืออาชีพ (ผู้จัดการกองทุน) ไปซื้อทองคำมาเก็บไว้ให้ แล้วเราก็ได้ส่วนแบ่งความเป็นเจ้าของตามเงินที่เราลงไป ในรูปแบบของ “หน่วยลงทุน” กองทุนทองคำในบ้านเรามีให้เลือกเยอะแยะเลยครับ ทั้งแบบที่ซื้อขายได้ทุกวันทำการเหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ที่เรียกว่า Gold ETF (Exchange Traded Fund หรือ กองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์) อย่างเช่น กองทุนเปิดเคแทม โกลด์ อีทีเอฟ แทร็กเกอร์ (GLD) ที่หลายคนอาจเคยเห็นผ่านตา หรือจะเป็นกองทุนรวมทองคำทั่วไปที่เราซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หรือธนาคารต่างๆ

ข้อดีของการลงทุนผ่านกองทุนคือ ใช้เงินเริ่มต้นน้อย บางกองหลักร้อยหลักพันก็เริ่มได้แล้ว ไม่ต้องปวดหัวเรื่องหาที่เก็บทองคำเอง อยากซื้ออยากขายก็ทำได้สะดวกผ่านแอปพลิเคชันหรือสาขา มีสภาพคล่องสูงกว่าทองคำแท่ง แถมยังมีผู้เชี่ยวชาญคอยบริหารจัดการให้ด้วย กองทุนทองคำในไทยที่น่าสนใจก็มีหลายกองครับ ยกตัวอย่างจากข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี (ข้อมูลช่วงปี 2566-2567) ที่ทำได้ดี ก็มีอย่าง กองทุนเปิดเคเคพี โกลด์ (KKP GOLD) ที่ไปลงทุนใน SPDR Gold MiniShares Trust หรือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (SCBGOLDE) ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลักระดับโลกอย่าง SPDR Gold Trust (GLD) หรือจะเป็นกองทุนดังๆ อย่าง กองทุนเปิดบัวหลวงโกลด์ฟันด์ (BGOLD) และ กองทุนเปิดเค เอ เอส โกลด์ (K-GOLD) ซึ่งเป็นกองทุนประเภท Feeder Fund ที่ไปลงทุนต่อใน SPDR Gold Trust เช่นกัน และบางกองก็มีนโยบายจ่ายปันผลด้วย

แต่เดี๋ยวก่อน… การลงทุนในกองทุนทองคำก็มีความเสี่ยงนะครับ ราคาหน่วยลงทุนมันก็ขึ้นๆ ลงๆ ตามราคาทองคำในตลาดโลก และอาจมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนด้วย เพราะกองทุนส่วนใหญ่ไปลงทุนในทองคำต่างประเทศ ถ้าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น มูลค่ากองทุนในรูปเงินบาทก็อาจจะลดลงได้ (แต่บางกองทุนก็มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงินให้นะครับ สังเกตง่ายๆ มักจะมีตัวย่อ -UH ต่อท้ายชื่อกองทุน) ดังนั้น ก่อนลงทุนควรอ่านหนังสือชี้ชวน ทำความเข้าใจนโยบาย ความเสี่ยง และค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้ดีก่อนเสมอ

เอาล่ะ สำหรับสายซิ่งที่ชอบความตื่นเต้น รับความเสี่ยงได้สูง และอยากเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาทองคำในระยะสั้น อาจจะสนใจอีกทางเลือกหนึ่งคือ “Gold Futures” หรือ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า ครับ อันนี้จะซื้อขายกันในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ของบ้านเราเลย โดยอ้างอิงกับราคาทองคำแท่งในประเทศ (มาตรฐาน 96.5%) มีให้เลือกเทรด 2 ขนาด คือ สัญญาใหญ่ (Gold Futures – GF) เทียบเท่าทองคำ 50 บาท และสัญญาเล็ก (Gold Online Futures – GF10) เทียบเท่าทองคำ 10 บาท

หลักการของ Gold Futures คือการที่เราเข้าไป “ทำสัญญา” ว่าจะซื้อหรือจะขายทองคำที่ราคาใดราคาหนึ่งในอนาคต แต่พอถึงเวลาจริงๆ ไม่ต้องมีการส่งมอบทองคำกันนะครับ เขาจะใช้วิธี “ชำระราคาด้วยเงินสด” (Cash Settlement) คือดูส่วนต่างราคาว่าเรากำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่ก็จ่ายเงินกันไป ข้อดีคือ เราสามารถทำกำไรได้ทั้งในภาวะตลาดขาขึ้น (โดยการเปิดสถานะซื้อ หรือ Long) และตลาดขาลง (โดยการเปิดสถานะขาย หรือ Short) และที่สำคัญคือมันใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อยกว่ามูลค่าจริงของทองคำ เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า “อัตราทด” (Leverage) เข้ามาเกี่ยวข้อง เปรียบเสมือนเราวางเงินมัดจำนิดหน่อย แต่สามารถควบคุม (เก็งกำไร) ทองคำมูลค่าสูงๆ ได้

ฟังดูเหมือนจะดีใช่ไหมครับ? แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ Leverage ที่ว่านี่แหละครับคือดาบสองคม เพราะมันขยายทั้งกำไรและขาดทุนได้เท่าๆ กัน ถ้าคาดการณ์ผิดทาง ก็อาจจะขาดทุนหนักและรวดเร็วได้เช่นกัน ดังนั้น Gold Futures จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ เข้าใจกลไกตลาดอนุพันธ์เป็นอย่างดี และต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่รัดกุมมากๆ ไม่ใช่เครื่องมือสำหรับมือใหม่หรือคนที่ใจไม่ถึงนะครับ ⚠️ สำหรับคนที่มีเงินเย็นไม่มาก หรือรับความผันผวนสูงๆ ไม่ได้ อาจจะต้องคิดหนักๆ ก่อนจะเลือกลงทุนในรูปแบบนี้ครับ

สุดท้ายนี้ หลายคนอาจจะเคยได้ยินเรื่อง หุ้นทองคํา ชื่อย่อ ต่างๆ ในตลาดหุ้น มันคืออะไร? ต่างจากการลงทุนทองคำโดยตรงยังไง? อันนี้คือการลงทุนใน “บริษัท” ที่ทำธุรกิจเหมืองแร่ทองคำครับ ไม่ใช่การลงทุนในตัวทองคำเองโดยตรง ข้อดีคือ ถ้าบริษัทนั้นบริหารจัดการได้ดี มีต้นทุนการผลิต (ที่เรียกว่า All-in Sustaining Costs หรือ AISC) ต่ำ ค้นพบแหล่งแร่ใหม่ๆ หรือราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมากๆ ราคาหุ้นก็อาจจะปรับตัวขึ้นได้มากกว่าราคาทองคำเปล่าๆ และบางบริษัทก็มีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นด้วย

แต่การลงทุนใน หุ้นทองคํา ชื่อย่อ ก็มีความเสี่ยงเฉพาะตัวของมันเพิ่มเข้ามาอีก นอกเหนือจากความเสี่ยงเรื่องราคาทองคำแล้ว ยังมีความเสี่ยงเรื่องการบริหารงานของบริษัทนั้นๆ ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในประเทศที่เหมืองตั้งอยู่ ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งความเสี่ยงจากการดำเนินงาน เช่น อุบัติเหตุในเหมือง เป็นต้น การจะเลือกลงทุนในหุ้นเหมืองทองคำจึงต้องวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้นๆ อย่างละเอียด ไม่ใช่แค่ดูราคาทองคำอย่างเดียว ซึ่งบริษัทเหมืองทองคำใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงส่วนมากจะจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นต่างประเทศ เช่น Newmont, Barrick Gold, Agnico Eagle ซึ่งนักลงทุนไทยที่สนใจอาจจะต้องลงทุนผ่านช่องทางที่เปิดให้ซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้ การลงทุนในหุ้นเหมืองทองคำจึงเปรียบเหมือนการลงทุนใน “ชาวนา” ที่ปลูกทองคำ มากกว่าจะลงทุนใน “ผลผลิตทองคำ” โดยตรง ความสำเร็จของชาวนาก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างนอกเหนือจากราคาผลผลิตนั่นเอง

เห็นไหมครับว่า โลกของการลงทุนทองคำมันมีอะไรมากกว่าที่เราคิดเยอะเลย ตั้งแต่การซื้อทองคำแท่งแบบดั้งเดิม ไปจนถึงกองทุนรวมที่สะดวกสบาย สัญญา Futures สำหรับสายซิ่ง หรือแม้กระทั่งหุ้นของบริษัทเหมืองทองคำ

แล้วแบบไหนล่ะ ที่เหมาะกับเรา? คำตอบนี้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวครับ มันขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนของคุณ ระยะเวลาที่ต้องการลงทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ความรู้ความเข้าใจในแต่ละผลิตภัณฑ์ และเงินทุนที่คุณมี

ถ้าคุณต้องการความมั่นคงทางใจ ชอบอะไรที่จับต้องได้ และไม่ได้ต้องการสภาพคล่องสูงมากนัก การทยอยซื้อทองคำแท่งเก็บไว้อาจจะตอบโจทย์ แต่ถ้าคุณต้องการความสะดวกสบาย ใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก ต้องการสภาพคล่อง และอยากมีมืออาชีพช่วยดูแล กองทุนรวมทองคำ หรือ Gold ETF ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ หรือถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์ รับความเสี่ยงได้สูง และต้องการเก็งกำไรระยะสั้น Gold Futures ก็อาจจะเป็นเครื่องมือที่ใช่ แต่สำหรับ หุ้นทองคํา ชื่อย่อ นั้น เหมาะกับคนที่พร้อมจะศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างลึกซึ้งและรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นได้

สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การศึกษาข้อมูล” ครับ ก่อนจะตัดสินใจลงทุนในอะไรก็ตาม ควรอ่านข้อมูล ทำความเข้าใจลักษณะของสินทรัพย์นั้นๆ ผลตอบแทนที่คาดหวัง ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้ถ่องแท้ อย่าลงทุนตามกระแส หรือเพราะเห็นคนอื่นรวยจากมัน การกระจายความเสี่ยงก็เป็นอีกหัวใจสำคัญ อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปกับการลงทุนประเภทใดประเภทหนึ่ง ควรกระจายไปในสินทรัพย์หลายๆ แบบตามความเหมาะสมกับตัวเรา

จำไว้เสมอว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน” และผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคตนะครับ หากไม่แน่ใจ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาทางการเงินที่ได้รับใบอนุญาต ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่จะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างรอบคอบมากขึ้นครับ หวังว่าข้อมูลวันนี้จะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ นำไปปรับใช้กับการวางแผนการลงทุนของตัวเองได้ไม่มากก็น้อยนะครับ!