
เคยสงสัยไหมครับว่าเวลาเราทำธุรกิจ หรือแค่คิดจะลงทุนในหุ้นสักตัว เราจะรู้ได้ยังไงว่าบริษัทนั้นๆ เขากำลัง “ทำเงิน” ได้ดีแค่ไหน? เห็นยอดขายเยอะๆ แล้วแปลว่ารวยจริงหรือเปล่า? เงินที่หามาได้หายไปไหนหมด? คำถามเหล่านี้มีคำตอบซ่อนอยู่ในรายงานสำคัญฉบับหนึ่งครับ ที่เรียกกันว่า “งบการเงิน” ซึ่งเปรียบเสมือนสมุดพกรวมสุขภาพของกิจการเลยทีเดียว
งบการเงินมีหลายส่วนประกอบนะครับ ทั้งงบที่บอกว่าบริษัทมีทรัพย์สิน หนี้สิน เจ้าของลงเงินไปเท่าไหร่ (งบแสดงฐานะการเงิน) งบที่บอกว่าเงินสดเข้าออกไปทางไหนบ้าง (งบกระแสเงินสด) แต่วันนี้ ถ้าจะเจาะดูเฉพาะเรื่อง “ผลการดำเนินงาน” หรือสรุปง่ายๆ ว่า “ช่วงที่ผ่านมา บริษัททำเงินได้เท่าไหร่ ใช้เงินไปเท่าไหร่ เหลือเป็นกำไรหรือขาดทุน” เนี่ย เราต้องพุ่งเป้าไปที่พระเอกของเราครับ นั่นคือ **งบกำไรขาดทุน**
ลองนึกภาพว่างบกำไรขาดทุนก็เหมือนแผนผังเส้นเลือดที่บอกความแข็งแรงในการสร้างรายได้และควบคุมค่าใช้จ่ายของธุรกิจ เปรียบเทียบกับชีวิตเราก็เหมือนการทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของตัวเองนั่นแหละครับ งบนี้จะบอกว่า ในช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่น 3 เดือนที่ผ่านมา หรือ 1 ปีที่แล้ว บริษัทมีรายได้รวมเท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง แล้วสุดท้ายเหลือเป็น “กำไรสุทธิ” หรือ “ขาดทุนสุทธิ” เท่าไหร่ การเข้าใจ **งบกําไรขาดทุน มีอะไรบ้าง** จึงเป็นพื้นฐานสำคัญมากๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการที่อยากวางแผนธุรกิจ คุมค่าใช้จ่าย วางแผนภาษี หรือนักลงทุนที่อยากจะประเมินว่าบริษัทนี้เก่งจริงไหม น่าลงทุนด้วยหรือเปล่า

หัวใจหลักในการทำความเข้าใจ งบกำไรขาดทุน คือสมการง่ายๆ นี่แหละครับ:
**รายได้ – ค่าใช้จ่าย = กำไร (หรือ ขาดทุน)**
ใช่ครับ! แค่นี้เลย สมการนี้บอกความสัมพันธ์พื้นฐานระหว่างสิ่งที่กิจการหามาได้ (รายได้) กับสิ่งที่กิจการต้องจ่ายออกไป (ค่าใช้จ่าย) ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะบอกว่ากิจการนั้น “เหลือกำไร” หรือ “ขาดทุน” ในช่วงเวลานั้นๆ
แล้วใน งบกำไรขาดทุน มีอะไรบ้าง แยกย่อยออกมาดูดีกว่าครับ
เริ่มจาก **รายได้** ก่อนเลย รายได้หลักๆ ที่เห็นบ่อยๆ คือ **ยอดขายสุทธิ** อันนี้คือเงินที่ได้มาตรงๆ จากการขายสินค้าหรือบริการที่เราทำธุรกิจนั้นๆ เช่น ร้านกาแฟก็คือค่ากาแฟ ค่าขนม ร้านเสื้อผ้าก็คือค่าเสื้อผ้าที่เราขายไป ส่วน **รายได้อื่นๆ** ก็เหมือนรายได้เสริมครับ ไม่ได้มาจากกิจกรรมหลักโดยตรง เช่น บริษัทมีเงินฝากได้ดอกเบี้ย หรือเอาสินทรัพย์ที่ไม่ใช้แล้วไปขายได้เงินมา นี่ก็นับเป็นรายได้อื่นๆ เหมือนกัน พูดง่ายๆ คือ รายได้ก็คือเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ไหลเข้ามาในกิจการนั่นแหละ
ถัดมาคือ **ค่าใช้จ่าย** อันนี้คือเงินที่ต้องควักออกไปเพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้ ซึ่งมันมีหลายประเภทมากครับ แบ่งง่ายๆ ได้แก่:
1. **ต้นทุนในการผลิตสินค้าหรือบริการ (ต้นทุนขาย):** อันนี้คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น “พร้อมกับการขาย” ของเราเลยครับ ขายกาแฟหนึ่งแก้ว ต้นทุนขายก็คือ ค่าเมล็ดกาแฟ ค่านม ค่าแก้ว ค่าแรงคนชงกาแฟ ขายเสื้อผ้าหนึ่งตัว ต้นทุนขายก็คือ ค่าผ้า ค่าด้าย ค่าแรงคนเย็บ ยิ่งขายเยอะ ต้นทุนส่วนนี้ก็ยิ่งเยอะตาม
2. **ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร:** อันนี้คือค่าใช้จ่าย “คงที่” หรือกึ่งคงที่ ที่ต้องจ่ายเพื่อให้บริษัทอยู่ได้ ไม่ว่าจะขายได้มากหรือน้อย ส่วนใหญ่ต้องจ่ายเป็นประจำทุกเดือน เช่น ค่าเช่าร้าน ค่าไฟ ค่าน้ำ เงินเดือนพนักงานบัญชี พนักงานฝ่ายขาย ค่าโฆษณา ค่าเดินทางของฝ่ายขาย
3. **ต้นทุนทางการเงิน:** อันนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับสินทรัพย์หรือการเงิน เช่น ดอกเบี้ย ที่ต้องจ่ายให้ธนาคารถ้าไปกู้เงินมาลงทุน หรือ **ค่าเสื่อมราคา** ของอาคาร เครื่องจักร อุปกรณ์ใหญ่ๆ ที่เราซื้อมาใช้ ซึ่งมูลค่ามันจะลดลงไปเรื่อยๆ ตามเวลา
มีข้อควรระวังเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยนะครับ โดยเฉพาะเวลาจะคำนวณภาษี เพราะบางอย่างเราจ่ายไปจริง แต่มันถือเป็น **รายจ่ายต้องห้าม** ตามกฎหมายภาษี เช่น ค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่เอามาปนกับธุรกิจ ค่ารับรองที่เกินกำหนด พวกนี้เอามาหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีไม่ได้นะครับ ต้องระวังให้ดี

พอมีรายได้กับค่าใช้จ่ายแล้ว เราก็จะเริ่มเห็น “กำไร” ในขั้นต่างๆ ครับ ขั้นแรกเลยคือ **กำไร (ขาดทุน) ขั้นต้น** อันนี้มาจากการเอารายได้ทั้งหมด (ส่วนใหญ่คือยอดขายสุทธิ) มาหักออกด้วยต้นทุนขายก่อน ตัวเลขนี้สำคัญมากนะครับ เพราะมันบอกว่าตัวสินค้าหรือบริการของเรา “ทำกำไร” ได้ดีแค่ไหน ก่อนที่จะไปหักค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ และถ้าตัวเลขนี้เป็นบวก ก็แปลว่ามีกำไรขั้นต้น ซึ่งจะเป็นฐานในการคำนวณภาษีเบื้องต้นด้วย
นอกจากกำไรขั้นต้นแล้ว งบกำไรขาดทุนยังอาจแสดง “กำไร” ในขั้นอื่นๆ อีก เพื่อให้เห็นภาพละเอียดขึ้น เช่น
* **กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit):** อันนี้คือการเอา กำไรขั้นต้น มาหักออกด้วย ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร แล้ว อันนี้บอกว่าธุรกิจของเราทำกำไรได้เท่าไหร่จากการดำเนินงาน “หลัก” จริงๆ
* **กำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษีเงินได้ (EBIT – Earnings Before Interest and Tax):** อันนี้คือ กำไรจากการดำเนินงาน ที่บวกกลับต้นทุนทางการเงินบางอย่าง เช่น ดอกเบี้ย เพื่อให้เห็นกำไรก่อนที่จะโดนภาระเรื่องหนี้สินและภาษี
* **กำไรก่อนหักภาษีเงินได้ (EBT – Earnings Before Tax):** อันนี้คือ กำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษีเงินได้ (EBIT) ที่หักต้นทุนทางการเงินออกแล้ว คือกำไรที่ได้จากการดำเนินงาน *และ* การจัดหาเงินทุน ก่อนที่จะไปโดนภาษี
สุดท้าย ตัวเลขอันดับสุดท้ายที่เราเห็นใน งบกำไรขาดทุน คือ **กำไร (ขาดทุน) สุทธิ** ครับ อันนี้คือผลลัพธ์จริงๆ หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึง “ภาษีเงินได้” ที่ต้องจ่ายแล้วด้วย ตัวเลขนี้แหละที่บอกว่าสรุปแล้วในช่วงเวลานั้น บริษัท “รวย” หรือ “จน” ลงไปเท่าไหร่ ถ้าเป็นบวกเยอะๆ ก็แปลว่าบริษัททำเงินได้ดี มีประสิทธิภาพ และเงินส่วนนี้บางส่วนก็จะสะสมไปเป็น “กำไรสะสม” ในงบแสดงฐานะการเงินต่อไป
รูปแบบการนำเสนอ งบกำไรขาดทุน ก็มีหลายแบบนะครับ ที่เห็นบ่อยๆ คือ
* **แบบชั้นเดียว (Single-step):** อันนี้ง่ายสุดๆ ครับ คือเอารายได้ทุกประเภทมารวมกัน แล้วเอาค่าใช้จ่ายทุกประเภทมารวมกัน จากนั้นก็เอา รายได้รวม หัก ค่าใช้จ่ายรวม ได้เป็น กำไร (ขาดทุน) สุทธิ ไปเลย จบ ไม่ได้แยกย่อยอะไรมาก
* **แบบหลายชั้น (Multi-step):** แบบนี้จะให้รายละเอียดมากกว่าครับ โดยจะแยก รายได้จากการดำเนินงานหลัก กับ รายได้อื่นๆ ออกจากกัน และจะแสดงกำไรเป็นขั้นๆ ให้เห็น เช่น กำไรขั้นต้น กำไรจากการดำเนินงาน ก่อนจะไปถึงกำไรสุทธิ ทำให้เราเห็นที่มาของกำไรหรือขาดทุนชัดเจนกว่า
นอกจากนี้ ยังมีการจัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายที่ต่างกันตามมาตรฐานบัญชี เช่น จัดตาม **ธรรมชาติของค่าใช้จ่าย** (เดิมชื่อ ตามลักษณะของค่าใช้จ่าย) คือแยกตามประเภทที่เกิดขึ้นจริง เช่น ค่าแรง ค่าเสื่อมราคา ค่าเช่า หรือจัดตาม **หน้าที่** เช่น ต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ซึ่งจะให้มุมมองที่แตกต่างกันไปในการวิเคราะห์ และอาจจะนำเสนอในรูปแบบ **รายงาน** ที่เรียงรายการลงมา หรือแบบ **บัญชี** ที่เป็นรูปตัว “T” ก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสม
เวลาที่เราดู งบกำไรขาดทุน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูที่ **กำไรสุทธิ** ครับ ถ้าตัวเลขเป็นบวก แสดงว่ารายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย กิจการมีกำไร แต่ถ้าเป็นลบ แสดงว่ารายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย กิจการขาดทุน และสิ่งที่นักลงทุนหรือผู้ประกอบการควรจะมองหาคือ “แนวโน้ม” ครับ บริษัทที่เก่งจริงควรจะมีกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอ หรืออย่างน้อยก็ทรงตัวในภาวะเศรษฐกิจปกติ นั่นแสดงถึงประสิทธิภาพในการทำธุรกิจที่ยั่งยืน
ปิดท้ายด้วยการอัปเดตเล็กๆ น้อยๆ ครับ สำหรับใครที่ต้องทำบัญชี หรือเป็นผู้ประกอบการที่ต้องเตรียมงบการเงิน รู้ไว้ก็ดีนะ… ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เขาได้กำหนดรูปแบบรายการย่อในงบการเงินใหม่ให้สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีมากขึ้น ทำให้ชื่อบางรายการใน งบกำไรขาดทุน มีการเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย เช่น จากเดิมที่เรียก “งบกำไรขาดทุนจำแนกค่าใช้จ่ายตามลักษณะของค่าใช้จ่าย” ก็เปลี่ยนเป็น “งบกำไรขาดทุนจำแนกค่าใช้จ่ายตามธรรมชาติของค่าใช้จ่าย” แทน และมีการปรับคำเรียกของรายการย่อยอื่นๆ อีกบ้างเล็กน้อย เพื่อให้การจัดทำงบการเงินเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ต้องศึกษาและปรับตามด้วยนะครับ
เห็นไหมครับว่างบกำไรขาดทุนเนี่ย ไม่ใช่แค่ตัวเลขน่าเบื่อๆ แต่มันคือ “ผลลัพธ์” ของการทำงานทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่ง มันบอกว่าเราทำเงินได้ดีแค่ไหน คุมค่าใช้จ่ายอยู่มือไหม และมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานมากพอที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้หรือเปล่า การอ่านและทำความเข้าใจ **งบกําไรขาดทุน มีอะไรบ้าง** จะช่วยให้คุณมองธุรกิจ หรือบริษัทที่คุณสนใจลงทุนได้ขาดมากขึ้น วางแผนได้แม่นยำขึ้น และตัดสินใจได้ดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอนครับ อย่ามองข้ามเครื่องมือสำคัญชิ้นนี้นะ!
⚠️ การอ่านงบการเงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ธุรกิจหรือการลงทุนเท่านั้น ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วยเสมอ และตัวเลขในอดีตไม่ได้การันตีผลการดำเนินงานในอนาคตนะครับ