เพื่อนๆ เคยไหมครับ? ใช้ Google ค้นหาข้อมูล ใช้ YouTube ดูคลิปเพลินๆ ทุกวัน? บริการพวกนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราไปแล้วเนอะ บางทีเราก็ใช้ Google Docs ทำงาน หรือเปิด Google Maps ตอนหลงทาง ชีวิตประจำวันเรานี่ผูกพันกับบริการของกูเกิลสุดๆ ไปเลย
แต่เคยสงสัยไหมครับว่า บริษัทเบื้องหลังบริการระดับโลกพวกนี้ คือใคร? แล้วถ้าอยากเป็นเจ้าของ ‘หุ้น google ชื่ออะไร’ ล่ะ ต้องซื้อตัวไหน? วันนี้เราจะมาคุยกันถึง ‘บริษัท แอลฟาเบต อิงก์’ หรือที่เรารู้จักกันดีในฐานะบริษัทแม่ของกูเกิลนี่แหละครับ

**แอลฟาเบต อิงก์: อาณาจักรดิจิทัลที่ใหญ่กว่าแค่กูเกิลเสิร์ช**
เวลาพูดถึงกูเกิล เรามักจะนึกถึงแค่ช่องสี่เหลี่ยมๆ ที่ให้เราพิมพ์คำค้นหาลงไปใช่ไหมครับ แต่วันนี้ต้องบอกว่า แอลฟาเบตเนี่ยไม่ใช่แค่บริษัททำ Google Search นะครับ เขาเป็นอาณาจักรเทคโนโลยีระดับโลกเลยทีเดียว มีบริการดิจิทัลที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน ทั้ง Gmail, Google Maps, ระบบ Android บนมือถือของเราอีก บริษัทนี้ไม่ได้อยู่ในเมืองไทยนะครับ สำนักงานใหญ่เขาอยู่ที่เมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นบริษัทเก่าแก่พอสมควร ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 โน่นแน่ะ และปัจจุบันบริหารโดยคุณนายซันดาร์ พิชัย ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารครับ ลองคิดดูสิครับว่าจะมีสักกี่บริษัทในโลกที่บริการเข้าถึงคนได้เกือบ 200 ประเทศแบบนี้! ความยิ่งใหญ่นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ
ทีนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วหุ้นของบริษัทที่เป็นเจ้าของกูเกิลมันชื่ออะไรกันแน่? คำตอบก็คือ หุ้นของ ‘บริษัท แอลฟาเบต อิงก์’ นี่แหละครับ เขาจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq) ของสหรัฐอเมริกา เป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมสื่อปฏิสัมพันธ์และบริการ ซึ่งสะท้อนถึงธุรกิจหลักของเขาที่เกี่ยวกับการเชื่อมต่อผู้คนเข้ากับข้อมูลและบริการต่างๆ นั่นเอง
**รายได้มาจากไหน? ไม่ใช่แค่โฆษณา แต่มีคลาวด์ที่มาแรง!**
แล้วเงินทองของแอลฟาเบตมาจากไหนบ้าง? ถ้าดูจากข้อมูลช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (สิ้นสุด 30 กันยายน) ที่ผ่านมาเนี่ย โครงสร้างรายได้ของเขาก็น่าสนใจมากครับ หลักๆ ก็คือบริการค้นหาของกูเกิลนี่แหละ กินไปตั้ง 144,050 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 56.81% ของรายได้รวมเลยครับ ก็คือค่าโฆษณาที่เราเห็นเวลาค้นหา หรือเวลาที่แบรนด์ต่างๆ ต้องการให้เว็บไซต์ของตัวเองขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ เวลามีคนค้นหานั่นแหละครับ ยิ่งมีคนใช้กูเกิลเยอะ โฆษณาก็เข้าเยอะตามไปด้วย
รองลงมาแต่ก็เป็นก้อนใหญ่มากๆ เช่นกัน คือโฆษณาบน YouTube ครับ ทำรายได้ไป 25,674 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 10.13% ครับ ลองนึกภาพคอนเทนต์หลากหลายที่เราดูกันบนยูทูบสิครับ ก่อนจะเข้าคลิปก็ต้องดูโฆษณา สังเกตไหมครับว่าโฆษณามันมักจะตรงกับสิ่งที่เราสนใจด้วย นั่นแหละครับคือพลังของการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้งานของกูเกิล

นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากเครือข่ายของกูเกิล (Google Network) อีก 22,405 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (8.84%) และรายได้จากการสมัครสมาชิก แพลตฟอร์ม และอุปกรณ์ต่างๆ ของกูเกิล เช่น Play Store, YouTube Premium, หรืออุปกรณ์อย่าง Pixel ก็ทำไป 28,707 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (11.32%) ครับ
ส่วนธุรกิจที่กำลังมาแรงแบบติดจรวดและเป็นความหวังใหม่ก็คือ ‘บริการคลาวด์ของกูเกิล’ ครับ ทำรายได้ไปถึง 31,274 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 12.33% เลยนะครับ ธุรกิจนี้คือการให้บริการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลออนไลน์ การประมวลผล หรือเครื่องมือต่างๆ สำหรับบริษัทอื่นๆ ซึ่งมีอัตราการเติบโตที่น่าประทับใจมากๆ ครับ อย่างในไตรมาสล่าสุดที่ผ่านมา ธุรกิจคลาวด์ของกูเกิลเติบโตถึง 34.98% เลยทีเดียว ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่โซลูชันปัญญาประดิษฐ์และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกยุคใหม่มากๆ
สุดท้ายคือ ‘โครงการอื่นๆ’ (Other Bets) เช่น โครงการรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติชื่อเวย์โม (Waymo) หรือเทคโนโลยีสุขภาพอย่างเวอร์ริลี (Verily) ตรงนี้ยังเป็นเหมือนการลงทุนในอนาคตครับ รายได้ยังไม่เยอะมาก แค่ 1,248 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (0.49%) แต่มีศักยภาพในการสร้างการเติบโตในระยะยาวที่มหาศาลมากครับ รวมๆ แล้ว รายได้รวมของแอลฟาเบตในช่วง 9 เดือนแรกของปี 67 อยู่ที่ 253,549 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และที่น่าทึ่งคือเขามีอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 27.74% ครับ แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีความสามารถในการสร้างกำไรจากธุรกิจหลักได้ดีมากๆ
**จุดเด่นที่ทำให้แอลฟาเบตแข็งแกร่งในระยะยาว**
ทำไมแอลฟาเบตถึงยืนหยัดได้ในโลกเทคโนโลยีที่แข่งขันสูงขนาดนี้ แถมยังดูมีอนาคตที่สดใส? มีหลายข้อเลยครับ
ข้อแรกเลยคือ **ความเป็นผู้นำในตลาดโฆษณาดิจิทัล:** อย่างที่เห็นจากโครงสร้างรายได้ ธุรกิจโฆษณาของกูเกิลและยูทูบยังคงเป็นแหล่งเงินสดที่สำคัญมากๆ ของบริษัท ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้งาน ทำให้โฆษณามีความแม่นยำสูง ทำให้ผู้ลงโฆษณาพอใจ และอยากใช้บริการต่อไปเรื่อยๆ ครับ

ข้อสองคือ **การเติบโตสุดว้าวของ Google Cloud:** ธุรกิจคลาวด์ไม่ใช่แค่มาแรง แต่ยังทำกำไรได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วย การที่บริษัทต่างๆ ทั่วโลกกำลังย้ายระบบงานไปอยู่บนคลาวด์ และความต้องการโซลูชันปัญญาประดิษฐ์เพิ่มขึ้น ทำให้ Google Cloud มีโอกาสเติบโตอีกเยอะมาก การที่เติบโตเกือบ 35% ในไตรมาสล่าสุดมันเป็นสัญญาณที่ดีมากๆ ครับ
ข้อสามคือ **ฐานผู้ใช้งานมหาศาลและหลากหลาย:** แพลตฟอร์มต่างๆ ของกูเกิล ทั้งยูทูบ จีเมล Google Maps หรือระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ มีผู้ใช้งานทั่วโลกจำนวนมหาศาลครับ เหมือนมีคนเดินเข้าห้างสรรพสินค้าของเราตลอดเวลา! ฐานผู้ใช้งานที่ใหญ่ขนาดนี้ ทำให้แอลฟาเบตยังคงเข้าถึงผู้คนทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นเหมือนกำแพงป้องกันคู่แข่งได้ดีมากๆ ครับ
ข้อสี่คือ **การลงทุนในอนาคต (Other Bets):** แม้โครงการเหล่านี้ยังไม่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำ แต่ลองจินตนาการถึงวันที่รถยนต์ขับเคลื่อนเองของเวย์โมกลายเป็นเรื่องปกติ หรือเทคโนโลยีด้านสุขภาพของเวอร์ริลีปฏิวัติวงการดูสิครับ ศักยภาพตรงนี้มันมหาศาลมาก และเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ที่อาจจะเน้นแค่ธุรกิจหลักในปัจจุบันเท่านั้นครับ การลงทุนเหล่านี้แสดงให้เห็นวิสัยทัศน์ระยะยาวของผู้บริหาร
ข้อห้าคือ **ฐานะการเงินที่ปึ้กมาก:** อัตรากำไรสุทธิที่สูงกว่า 27% และรายได้รวมที่เติบโตถึง 14.38% ใน 12 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรและบริหารจัดการต้นทุนที่ดีเยี่ยม บริษัทที่มีเงินสดเยอะและทำกำไรได้ดี ย่อมมีความยืดหยุ่นในการลงทุนวิจัยและพัฒนา หรือรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าครับ
**เรื่องหุ้น: GOOGL กับ GOOG ต่างกันยังไง? เลือกซื้อตัวไหนดี?**
มาถึงคำถามที่หลายคนอยากรู้ ‘หุ้น google ชื่ออะไร?’ อย่างที่บอกไปครับ บริษัทแม่ชื่อ แอลฟาเบต อิงก์ เวลาเราจะซื้อขายหุ้นของบริษัทนี้ในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก มันจะมีสัญลักษณ์อยู่สองตัวที่คนนิยมซื้อขายกัน คือ GOOGL และ GOOG ครับ มูลค่าตามราคาตลาดรวมๆ ของแอลฟาเบตตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 2.11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ใหญ่มากๆ ครับ ส่วนผลตอบแทน 1 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ 24 มีนาคม 2568) อยู่ที่ 9.13% ครับ
แล้วสองตัวนี้ต่างกันยังไงล่ะ? ตัวที่ใช้สัญลักษณ์ GOOGL คือหุ้นชนิด A (Class A Stock) ส่วนตัวที่ใช้สัญลักษณ์ GOOG คือหุ้นชนิด C (Class C Stock) ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือ **หุ้นชนิด A (GOOGL) มีสิทธิโหวต** ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นครับ ส่วน **หุ้นชนิด C (GOOG) ไม่มีสิทธิโหวต** ครับ
เหตุผลเบื้องหลังที่แอลฟาเบตออกหุ้นมาสองชนิดแบบนี้ก็คือ เพื่อรักษาสิทธิการควบคุมบริษัทของผู้ก่อตั้งเดิมครับ คือคุณนายลอว์เรนซ์ อี. เพจ คุณนายเซอร์เกย์ มิกไฮโลวิช บริน และคุณนายอีริก ชมิดต์ ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่ถือหุ้นชนิด B (Class B Stock) ซึ่งเป็นหุ้นที่ไม่ได้มีการซื้อขายในตลาดทั่วไป และที่สำคัญคือ หุ้นชนิด B มีสิทธิโหวตมากกว่าหุ้นชนิด A และ C ถึง 10 เท่า! การออกหุ้นชนิด C ที่ไม่มีสิทธิโหวต ก็เหมือนเป็นการระดมทุนจากสาธารณะ โดยที่อำนาจการตัดสินใจหลักยังคงอยู่ที่กลุ่มผู้ก่อตั้งนั่นเองครับ
แล้วเราซึ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยควรเลือกซื้อตัวไหนดีล่ะ? GOOGL ที่มีสิทธิโหวต หรือ GOOG ที่ไม่มีสิทธิโหวต? ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ‘เป้าหมาย’ การลงทุนของเราครับ สำหรับนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ถือหุ้นในปริมาณมหาศาล สิทธิโหวตในที่ประชุมอาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนมากนัก เพราะเสียงของเราเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับอำนาจโหวตของกลุ่มผู้ก่อตั้งครับ ดังนั้น สำหรับหลายๆ คน การเลือกซื้อ GOOGL หรือ GOOG ก็อาจจะดูจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ราคา ณ ขณะนั้น หรือสภาพคล่องในการซื้อขายครับ ซึ่งโดยทั่วไปราคาของทั้งสองตัวมักจะใกล้เคียงกัน หรืออาจจะมีส่วนต่างเล็กน้อยที่เปลี่ยนแปลงไปตามกลไกตลาดในแต่ละวันครับ
**ข้อควรพิจารณาในการลงทุนในหุ้นแอลฟาเบต**
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่าหุ้นของบริษัทแอลฟาเบต อิงก์ (หุ้น google ชื่ออะไร? ก็คือหุ้นของแอลฟาเบตนั่นเอง) เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ก็ต้องบอกว่าแอลฟาเบตเป็นตัวเลือกที่เหมาะมากๆ สำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตในระยะยาว (Long-Term Growth) ในบริษัทเทคโนโลยีที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีนวัตกรรมล้ำๆ และมีศักยภาพในการขยายธุรกิจไปในด้านใหม่ๆ อย่างธุรกิจคลาวด์ หรือโครงการอนาคตอื่นๆ ครับ ฐานะการเงินที่มั่นคงและอัตรากำไรที่สูงก็เป็นปัจจัยบวกที่สำคัญ
แต่จำไว้เสมอนะครับว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะหุ้นต่างประเทศแบบนี้ ราคาอาจผันผวนได้ตามปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสภาวะเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี คู่แข่งที่เกิดขึ้นใหม่ หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบต่างๆ ครับ
ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้น GOOGL หรือ GOOG ลองถามตัวเองว่า เป้าหมายการลงทุนของเราคืออะไร? เรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน? และเราได้ศึกษาข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับผลประกอบการ แผนธุรกิจ และความเสี่ยงต่างๆ ของบริษัท แอลฟาเบต อิงก์ อย่างละเอียดแล้วหรือยัง การทำการบ้านก่อนลงทุนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเสมอครับ
⚠️ การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน