Googleหุ้น: ลงทุน AI ในไทย…อนาคตสดใส หรือแค่ฝันเฟื่อง?

เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมว่า บริษัทที่เราใช้ค้นหาข้อมูล ดูวิดีโอ หรือแม้แต่ส่งอีเมลอยู่ทุกวันอย่าง Google เนี่ย… เบื้องหลังเขาทำอะไรกันบ้าง แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงมีข่าวใหญ่ว่า Google จะมาลงทุนมหาศาลในเมืองไทย แถมยังเป็นประเด็นที่ทำให้หุ้นของบริษัทแม่เขาอย่าง ‘อัลฟาเบต อิงก์’ (Alphabet Inc.) หรือที่เราเรียกติดปากว่า googleหุ้น เนี่ย… มันน่าสนใจยังไงในตอนนี้?

ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพ Google ก็เหมือนสมองดิจิทัลของโลกยุคใหม่นะครับ ทุกการคลิก ทุกการค้นหา หรือทุกวิดีโอที่เราดูบน YouTube ล้วนผ่านระบบของเขา ซึ่งธุรกิจหลักๆ ของอัลฟาเบตก็คือ ‘โฆษณาดิจิทัล’ นี่แหละครับ ที่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำผ่าน Google Search และ YouTube ยักษ์ใหญ่สองตัวนี้ แต่เขาก็ไม่ได้มีแค่นี้นะ ยังมีธุรกิจดาวรุ่งอย่าง ‘กูเกิล คลาวด์’ (Google Cloud) หรือบริการเก็บข้อมูลและประมวลผลบนโลกออนไลน์สำหรับองค์กรต่างๆ ที่กำลังเติบโตแรงมาก และที่สำคัญคือ การลงทุนมหาศาลใน ‘เอไอ’ (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นระบบค้นหาที่ฉลาดขึ้น, การประมวลผลบนคลาวด์ที่เร็วขึ้น หรือแม้แต่รถยนต์ไร้คนขับอย่าง Waymo

แน่นอนว่าการเป็นผู้นำระดับโลกมันก็มีทั้งโอกาสและความท้าทายครับ โอกาสใหญ่สุดๆ ตอนนี้ก็คือการที่เทคโนโลยีเอไอกำลังบูม ทำให้บริการอย่าง Google Cloud และการค้นหามีศักยภาพไปได้อีกไกล แต่ความท้าทายก็มีเหมือนกัน คือ ต้นทุนการลงทุนในการพัฒนาเอไอมันสูงปรี๊ด และยังมีกระแสที่ว่าเอไอแบบ ‘เจเนอเรทีฟ เอไอ’ (Generative AI) อย่าง ChatGPT อาจจะเข้ามา disrupt วิธีการค้นหาข้อมูลแบบเดิมๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้จาก Google Search ได้ในอนาคต อันนี้ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนที่มองหา googleหุ้น ต้องจับตาดูครับ

ทีนี้ มาดูข่าวใหญ่ที่ใกล้ตัวคนไทยอย่างเราๆ บ้างดีกว่าครับ ข่าวที่น่าตื่นเต้นมากๆ ก็คือ Google ประกาศจะทุ่มเงินลงทุน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 36,000 ล้านบาท ในประเทศไทย เพื่อสร้าง ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ (Data Center) และ ‘คลาวด์รีเจียน’ (Cloud Region) แห่งแรกในประเทศ นี่ไม่ใช่แค่การมาตั้งออฟฟิศ แต่เป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระยะยาว เพื่อรองรับเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง ‘เอไอ’ (AI) และบริการคลาวด์ที่โตวันโตคืน ซึ่งการลงทุนก้อนนี้ไม่ใช่เล่นๆ นะครับ เพราะคาดว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ

จากการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์หลายสำนัก (เช่น บล.เอเซีย พลัส, บล.เมย์แบงก์, บล.กรุงศรี) คาดการณ์ว่า การลงทุนของ Google ในไทยครั้งนี้จะช่วยสร้างงานในพื้นที่ได้อีกอย่างน้อย 14,000 ตำแหน่ง ระหว่างปี 2568–2572 และที่สำคัญคือ มีส่วนช่วยเพิ่ม ‘ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ’ (GDP) ของไทยได้อย่างน้อย 140,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 0.9% ของ GDP ทั้งหมดเลยนะครับ โอ้โห! นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องของ Google หรือ googleหุ้น แล้ว แต่มันคือเรื่องของเศรษฐกิจและอนาคตดิจิทัลของประเทศไทยโดยตรงเลย

แล้วการลงทุนนี้ใครจะได้ประโยชน์บ้างล่ะ? แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ Google แต่มีหลายกลุ่มอุตสาหกรรมในไทยที่ได้อานิสงส์ไปเต็มๆ ครับ ลองนึกภาพตามนะครับว่า ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาลมากๆ ดังนั้น กลุ่ม ‘โรงไฟฟ้า’ ก็จะได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น แถม Google ยังสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนด้วย บริษัทที่น่าจะได้รับประโยชน์ก็มี GULF, BGRIM, GPSC เป็นต้น นอกจากนี้ ดาต้าเซ็นเตอร์ก็ต้องการที่ดินในการก่อสร้าง กลุ่ม ‘นิคมอุตสาหกรรม’ ที่มีศักยภาพในการรองรับการตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ก็มีโอกาส อย่าง WHA (ซึ่งดูมีโอกาสสูงกว่าเพราะมีฐานลูกค้ากลุ่มเศรษฐกิจใหม่และพัฒนาตัวเองสู่ความเป็นเทคคอมพานีมากขึ้น) และ AMATA

ยังไม่หมดนะครับ การเชื่อมต่อข้อมูลความเร็วสูงก็เป็นหัวใจสำคัญของดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ ดังนั้น กลุ่ม ‘สื่อสาร-ไอที’ ที่วางโครงข่ายพื้นฐานอย่างเส้นใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) หรือให้บริการด้านดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์อยู่แล้ว ก็จะมีงานเพิ่มขึ้นแน่ๆ อย่าง ADVANC, TRUE, AIT, INSET, iTEL ส่วนกลุ่ม ‘เทคคอนซัลต์’ ที่ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีและการวางระบบ ก็ได้รับอานิสงส์เช่นกัน เช่น BBIK, BE8 พูดง่ายๆ คือ การมาของ Google ครั้งนี้ เหมือนกับการปักธงดิจิทัลขนาดใหญ่ ที่สร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับบริษัทไทยที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีอย่างครบวงจรเลยทีเดียว

ฟังดูดีมากๆ ใช่ไหมครับ ทั้งศักยภาพของธุรกิจ Google เอง และผลดีต่อประเทศไทย แต่ในมุมของนักลงทุนที่กำลังมองหา googleหุ้น มันก็มีอีกด้านที่ต้องพิจารณาครับ นั่นคือเรื่องของ ‘ตัวเลขทางการเงิน’ และ ‘ราคาหุ้น’ ในตลาด

อัลฟาเบตเป็นบริษัทที่ทำเงินได้มหาศาล มูลค่าตามราคาตลาดของเขาอยู่ที่ประมาณ 2.11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงมากๆ อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ท้ายสุดอยู่ที่ประมาณ 26.93 เท่า กำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ประมาณ 6.52 ดอลลาร์สหรัฐฯ และมีอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 27.74% แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการทำกำไรที่ดี

ผลประกอบการไตรมาสล่าสุด (ตุลาคม – ธันวาคม 2024) ก็ยังแสดงให้เห็นการเติบโตที่แข็งแกร่งนะครับ รายได้รวมเพิ่มขึ้น 12%, กำไรรวมเพิ่มขึ้น 28% โดยเฉพาะธุรกิจ ‘กูเกิล คลาวด์’ ที่พุ่งแรงถึง 30% รายได้ส่วนใหญ่ก็ยังมาจาก ‘กูเกิล เซอร์วิสเซส’ (Google Services) ซึ่งรวมบริการค้นหา โฆษณา และ YouTube คิดเป็นเกือบ 87% ของรายได้ทั้งหมดในไตรมาสนี้

แต่สิ่งที่ทำให้นักลงทุนแอบตกใจเล็กน้อยคือ ‘งบลงทุน’ (Capital Expenditure หรือ CapEx) ที่สูงกว่าคาด โดยไตรมาสเดียวทุ่มไป 472,100 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 6% และที่สำคัญคือ คาดการณ์ว่างบลงทุนในปี 2025 จะพุ่งไปถึง 2.5 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์เคยประเมินไว้พอสมควร การใช้เงินลงทุนมหาศาลนี้ ส่วนใหญ่ก็เพื่อเร่งเครื่องพัฒนา ‘เอไอ’ นั่นแหละครับ

นี่เองที่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ราคา googleหุ้น ปรับตัวลงกว่า -7.3% หลังประกาศผลประกอบการในวันเดียว คิดเป็นมูลค่าบริษัทที่หายไปถึง 6.2 ล้านล้านบาท! มันแสดงให้เห็นว่า แม้ผลประกอบการจะดี แต่การลงทุนที่สูงลิ่วเพื่ออนาคต ก็สร้างความกังวลเรื่องต้นทุนที่อาจจะสูงเกินไป หรือผลตอบแทนที่อาจจะยังไม่เห็นชัดเจนในระยะสั้นได้เหมือนกัน เหมือนเรากำลังสร้างบ้านหลังใหญ่มากๆ ต้องใช้เงินเยอะในช่วงแรก แต่ผลตอบแทนจะมาเมื่อบ้านเสร็จและใช้งานได้เต็มที่นั่นแหละ นักลงทุนบางส่วนอาจจะมองว่า Google ใช้เงินเยอะไปหน่อยในตอนนี้

ทีนี้ ถ้าฟังมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่า ‘เออ googleหุ้น ก็น่าสนใจนะ แล้วคนไทยอย่างเราจะไปซื้อหุ้นบริษัทระดับโลกแบบนี้ได้ยังไง?’ มันก็มีอยู่หลายวิธีครับ

วิธีแรกที่ค่อนข้างดั้งเดิม คือ การซื้อผ่าน ‘บริษัทหลักทรัพย์’ (โบรกเกอร์) ในประเทศไทยที่ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศโดยตรง วิธีนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีเงินทุนจำนวนมากหน่อย และเน้นการลงทุนระยะยาวจริงๆ เพราะขั้นตอนอาจจะค่อนข้างยุ่งยากและต้องใช้เอกสารเยอะพอสมควรในการเปิดบัญชีสำหรับซื้อขายหุ้นต่างประเทศ

อีกวิธีที่น่าสนใจและเข้าถึงง่ายกว่าสำหรับนักลงทุนทั่วไป หรือคนที่มีเงินทุนไม่มากนัก คือ การซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ ‘ซีเอฟดี’ (CFD: Contract for Difference) ซึ่งเป็นการซื้อขาย ‘สัญญาซื้อขายส่วนต่าง’ คือเราไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้น googleหุ้น โดยตรง แต่เทรดตามความเคลื่อนไหวของราคา ข้อดีคือ ใช้เงินทุนเริ่มต้นน้อยกว่า เพราะสามารถเทรดด้วย ‘อัตราทด’ หรือ ‘เลเวอเรจ’ (Leverage) ได้ ช่วยให้ใช้เงินน้อยแต่ควบคุมมูลค่าการซื้อขายที่ใหญ่กว่าได้ และยังสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลงของราคาหุ้น แถมยังเปิดบัญชีง่าย และค่าใช้จ่ายไม่สูงเท่าการซื้อหุ้นจริงๆ

ขั้นตอนการซื้อขาย googleหุ้น ผ่านโบรกเกอร์ CFD ก็ไม่ซับซ้อนครับ อย่างเช่นถ้าใช้แพลตฟอร์มอย่าง Moneta Markets หรืออื่นๆ ทั่วไป ก็เริ่มจาก เปิดบัญชี ซึ่งมักจะทำได้ง่ายๆ ผ่านเบอร์โทรศัพท์ อีเมล หรือบัญชี Google/Facebook จากนั้นก็ลงทะเบียนข้อมูลส่วนตัว ยืนยันตัวตน (ปกติจะมีบัญชีทดลองพร้อมเงินเสมือนจริงให้ลองเทรดก่อนได้ด้วยนะครับ อันนี้ดีมากๆ สำหรับมือใหม่) พอเปิดบัญชีเรียบร้อยก็ ฝากเงินเข้าบัญชี ซึ่งเดี๋ยวนี้หลายแพลตฟอร์มรองรับช่องทางการฝากเงินที่หลากหลาย รวมถึงช่องทางของไทยเอง เช่น การสแกน QR Code หรือผ่านออนไลน์แบงก์กิ้ง หรือจะใช้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราอย่าง Wise เพื่อลดค่าธรรมเนียมแฝงก็ได้

พอมีเงินในบัญชีแล้ว ก็ถึงขั้นตอน เปิดคำสั่งซื้อขาย ในแพลตฟอร์มเทรด CFD หุ้น googleหุ้น อาจจะมีสัญลักษณ์เป็น ‘GOOG’ (Class C) หรือ ‘GOOGL’ (Class A) หรืออาจใช้ชื่อ “Alphabet” ค้นหาก็เจอครับ เราสามารถเลือกประเภทคำสั่งว่าจะซื้อที่ราคาตลาดปัจจุบัน (Market Order) หรือกำหนดราคาที่ต้องการซื้อ (Limit Order) และที่สำคัญคือ สามารถเลือกใช้ ‘อัตราทด’ ได้ (เช่น 2/5/10/20 เท่า) ซึ่งตรงนี้ต้องระวังมากๆ ครับ เพราะมันเพิ่มความเสี่ยงขึ้นหลายเท่าตัว **⚠️ คำแนะนำสำหรับมือใหม่มากๆ คือ ปิดการใช้งานอัตราทด หรือเลือกแค่ 1X ก่อนนะครับ** เพื่อลดความเสี่ยงให้เหมือนกับการซื้อหุ้นปกติ ไม่ใช้เลเวอเรจ ถ้าเราคาดว่าราคาหุ้นจะขึ้น เราก็เปิดคำสั่งซื้อ (Buy) แต่ถ้าคาดว่าจะลง (จากข่าวร้าย หรือแนวโน้มตลาด) เราก็สามารถเปิดคำสั่งขาย (Sell หรือ Short) เพื่อทำกำไรในขาลงได้ด้วยครับ

ข้อควรพิจารณาสำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจ googleหุ้น คือ การลงทุนในหุ้นต่างประเทศอาจมีค่าใช้จ่ายในการโอนเงินข้ามประเทศ หรือค่าธรรมเนียมอื่นๆ เพิ่มเติมได้ ดังนั้นควรศึกษาให้ละเอียดก่อนตัดสินใจครับ

สรุปแล้ว googleหุ้น หรือ อัลฟาเบต อิงก์ ยังเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดยเฉพาะจากธุรกิจคลาวด์และคลื่นลูกใหม่อย่าง ‘เอไอ’ ซึ่งการลงทุนในประเทศไทยก็ตอกย้ำกลยุทธ์ระยะยาวนี้ แม้ว่างบลงทุนที่สูงลิ่วจะสร้างความกังวลในระยะสั้น แต่ในมุมมองระยะยาว การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเอไอเหล่านี้ อาจเป็นกุญแจสำคัญที่พาอัลฟาเบตเติบโตไปได้อีกไกล

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นต่างประเทศมีความเสี่ยงสูง ทั้งจากความผันผวนของราคาหุ้นเอง (อย่างที่เห็นว่าราคาเคยร่วงแรงในวันเดียวได้) ความเสี่ยงจากคู่แข่งรายอื่นในตลาดเทคโนโลยี และความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เราใช้ซื้อขาย **⚠️ ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจธุรกิจของบริษัท และประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ** โดยเฉพาะหากจะใช้เครื่องมืออย่าง CFD ที่มีอัตราทดเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะมันสามารถขยายผลขาดทุนได้อย่างรวดเร็ว หากราคาวิ่งสวนทางกับที่เราคาดการณ์ไว้ครับ สำหรับนักลงทุนที่มีเงินทุนจำกัด หรือเน้นเก็งกำไรระยะสั้น CFD อาจเป็นเครื่องมือที่น่าสนใจ แต่ก็ต้องมาพร้อมกับความรู้ความเข้าใจและการบริหารความเสี่ยงที่ดีเยี่ยมด้วยนะครับ

อย่าลืมนะครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุนครับ