เจาะลึก หุ้นน้ำมัน: ทำไมราคาน้ำมันขึ้นลง ถึงกระทบพอร์ตเรา?

โอ้โห! เรื่อง “ทองคำสีดำ” หรือ “น้ำมัน” นี่น่าสนใจจริงๆ ค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องเติมรถ แต่เชื่อมโยงไปถึงตลาดหุ้นถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ในฐานะนักเขียนคอลัมน์การเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้เหมือนเม้าท์กับเพื่อน ขอพาไปเจาะลึกเรื่องราวของ “หุ้นน้ำมัน” ในตลาดหุ้นไทยกันค่ะ

**เติมน้ำมันรถทุกวัน… แล้วรู้ไหมว่า “หุ้นน้ำมัน” เกี่ยวกับเรายังไง?**

เคยไหมคะ เวลาไปเติมน้ำมันที่ปั๊ม แล้วเห็นราคาขึ้นลงแบบใจหายใจคว่ำ บางทีขึ้นติดๆ กันหลายวันจนต้องบ่นอุบในใจ แต่อีกมุมหนึ่งของเรื่องน้ำมันนี้ มันไปเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ระดับประเทศ ระดับโลก แถมยังเป็นพระเอกตัวท็อบในตลาดหุ้นไทยด้วย นั่นก็คือ “หุ้นน้ำมัน” หรือหุ้นในกลุ่มธุรกิจพลังงานนั่นเองค่ะ

ทำไมกลุ่มนี้ถึงสำคัญ? ลองนึกภาพนะคะ น้ำมันไม่ได้ใช้แค่เติมรถอย่างเดียว แต่เป็นต้นทุนพลังงานของเกือบทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่โรงงาน ไฟฟ้า ขนส่ง หรือแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ที่เราใช้กันทุกวันนี้ก็มาจากปิโตรเคมี ซึ่งก็เป็นผลผลิตต่อเนื่องจากน้ำมันอีกที ด้วยความสำคัญขนาดนี้ บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันในบ้านเราจึงมีขนาดใหญ่มากๆ และมีมูลค่าตลาดรวมสูงลิ่ว เป็นกลุ่มที่นักลงทุนทั้งรายใหญ่รายย่อยให้ความสนใจเป็นพิเศษเลยค่ะ

แต่จะลงทุนใน “หุ้นน้ำมัน” เนี่ย ต้องเข้าใจก่อนว่าธุรกิจนี้ไม่ได้มีแค่อย่างเดียวนะคะ เขาแบ่งเป็นหลายด่านมากๆ เหมือนการเดินทางของน้ำมันดิบกว่าจะมาเป็นน้ำมันให้เราเติม หรือเป็นพลาสติกให้เราใช้ ลองมาทำความรู้จักเส้นทางของมันกันค่ะ

**เส้นทางทองคำสีดำ: จากใต้ดินสู่ปั๊มน้ำมัน**

ธุรกิจน้ำมันจริงๆ แล้วแบ่งง่ายๆ ได้เป็น 3 ส่วนหลักๆ ค่ะ

1. **ธุรกิจต้นน้ำ (Upstream): นักล่าทองคำใต้พิภพ**
* ส่วนนี้คือพวกที่ออกไป “สำรวจและขุดเจาะ” แหล่งน้ำมันดิบ หรือก๊าซธรรมชาติ ทั้งบนบกในทะเล หรือแม้แต่ในต่างประเทศ บริษัทเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากๆ ในการค้นหาและนำทรัพยากรขึ้นมา
* *รายได้หลักมาจากไหน?* มาจากการขายน้ำมันดิบหรือก๊าซธรรมชาติที่ขุดขึ้นมาได้
* *อะไรคือตัวชี้วัดสำคัญ?* “ราคาน้ำมันดิบโลก” โดยตรงเลยค่ะ ถ้า “ราคาน้ำมันดิบ” ในตลาดโลกสูง พวกนี้ก็กำไรเยอะ ถ้า “ราคาน้ำมันดิบ” ตก ก็กระทบหนักเหมือนกัน
* ลองนึกถึงบริษัทที่ต้องออกไปสำรวจหาแหล่งพลังงานในทะเลไกลๆ หรือแม้แต่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา อินโดนีเซีย หรือในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกเลยค่ะ

2. **ธุรกิจกลางน้ำ (Midstream): โรงงานแปรรูปมหึมา**
* ส่วนนี้รับไม้ต่อจากต้นน้ำค่ะ น้ำมันดิบที่ขุดมาได้จะถูกส่งมาที่นี่เพื่อเข้าสู่กระบวนการ “โรงกลั่น” (Refinery) เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเครื่องบิน หรือแม้แต่น้ำมันเตา
* นอกจากโรงกลั่น ก็มีส่วนของ “ปิโตรเคมี” (Petrochemicals) ที่นำผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นบางส่วนไปเป็นวัตถุดิบ เพื่อผลิตเม็ดพลาสติก เส้นใย หรือสารเคมีต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของข้าวของเครื่องใช้รอบตัวเรา
* *รายได้หลักมาจากไหน?* มาจากส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับราคาน้ำมันดิบที่ซื้อมา หรือที่เรียกว่า “ค่าการกลั่น” (Refinery Margin) และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบ
* *อะไรคือตัวชี้วัดสำคัญ?* “ค่าการกลั่น” โดยตรงเลยค่ะ ถ้าค่าการกลั่นดี คือกลั่นออกมาแล้วขายได้ราคาสูงกว่าต้นทุนน้ำมันดิบเยอะๆ พวกนี้ก็กำไรดี แต่ถ้าค่าการกลั่นไม่ดี ก็กระทบหนักเช่นกันค่ะ

3. **ธุรกิจปลายน้ำ (Downstream): ใกล้ตัวเราที่สุด**
* ส่วนนี้คือส่วนที่นำผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจากโรงกลั่นมาขายต่อให้ผู้บริโภคค่ะ ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ “สถานีบริการน้ำมัน” (Service Station) หรือปั๊มน้ำมันต่างๆ ทั่วประเทศ
* นอกจากนี้ก็ยังมีธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ ที่พ่วงมาด้วย เช่น ร้านสะดวกซื้อในปั๊ม กาแฟ หรือแม้แต่ธุรกิจหล่อลื่น LPG หรือ NGV
* *รายได้หลักมาจากไหน?* มาจากส่วนต่างราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปกับต้นทุนที่รับมาจากโรงกลั่น ซึ่งส่วนต่างนี้เรียกว่า “ค่าการตลาด” (Marketing Margin) และจากยอดขายสินค้า/บริการอื่นๆ ในสถานีบริการ
* *อะไรคือตัวชี้วัดสำคัญ?* “ปริมาณการขาย” น้ำมัน และ “ค่าการตลาด” ค่ะ ยิ่งคนใช้น้ำมันเยอะ ยิ่งขายของในปั๊มได้มาก ก็ยิ่งมีรายได้ แต่ค่าการตลาดมักจะถูกควบคุมโดยภาครัฐเพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับประชาชน

เห็นไหมคะว่าธุรกิจน้ำมันซับซ้อนกว่าที่คิด แต่ละส่วนมีเสน่ห์และความเสี่ยงต่างกันไป การจะลงทุนใน “หุ้นน้ำมัน” ก็ต้องมาดูก่อนว่าเราสนใจบริษัทที่ทำธุรกิจส่วนไหนค่ะ

**”ราคาน้ำมันดิบ” ตัวแปรสำคัญ…ที่ทำให้งบการเงินหัวหมุน!**

ทีนี้มาดูหัวใจหลักที่ส่งผลกระทบต่อ “หุ้นน้ำมัน” กันค่ะ นั่นก็คือ “ราคาน้ำมันดิบโลก” ที่เราได้ยินข่าวกันบ่อยๆ ตัวเลขเหล่านี้ (อย่างเช่น “น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต” หรือ “WTI” และ “น้ำมันดิบเบรนต์” หรือ “Brent”) เป็นเกณฑ์อ้างอิงสำคัญในตลาดโลก

ความผันผวนของ “ราคาน้ำมัน” เนี่ยส่งผลกระทบต่องบการเงินของบริษัทน้ำมันโดยตรงมากๆ เลยนะคะ ทั้งในส่วนของรายได้ ต้นทุน และที่สำคัญคือ “สินค้าคงเหลือ”

ลองนึกภาพตามง่ายๆ นะคะ สมมติว่าบริษัทโรงกลั่นมีน้ำมันดิบสต็อกไว้เยอะๆ ในราคาถูก พอ “ราคาน้ำมันดิบ” ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมากๆ เนี่ย มูลค่าของสต็อกน้ำมันดิบที่บริษัทมีอยู่ก็สูงขึ้นตามไปด้วย พอเอาไปกลั่นแล้วขายใน “ราคา” น้ำมันสำเร็จรูปที่สูงขึ้นตาม “ราคา” ตลาด ก็จะทำให้มี “กำไร” พิเศษจากส่วนนี้ ที่เรียกว่า “กำไรจากสินค้าคงเหลือ” หรือ “กำไรสต็อก” นี่แหละค่ะ เป็นช่วงขาขึ้นที่ “หุ้นน้ำมัน” กลุ่มโรงกลั่นมักจะยิ้มกว้างเป็นพิเศษ

แต่กลับกัน ถ้าบริษัทมีสต็อกน้ำมันดิบราคาแพงอยู่ แล้วจู่ๆ “ราคาน้ำมันดิบ” ดิ่งลงเหว มูลค่าสต็อกนั้นก็ลดลงตามทันที พอเอาไปกลั่นขายใน “ราคา” ที่ลดลง บริษัทก็จะบันทึกเป็น “ขาดทุนจากสินค้าคงเหลือ” หรือ “ขาดทุนสต็อก” ในงบการเงินทันทีเลยค่ะ ต่อให้ขายน้ำมันได้ปกติ ก็อาจจะเจอกับผลขาดทุนก้อนโตจากสต็อกนี้ได้ ดังที่เราเห็นตัวอย่างย้อนกลับไปช่วงปี 2025 ที่บริษัทแห่งหนึ่งเคยรายงาน “กำไรขั้นต้น” เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรก (จาก 6.43% เป็น 14.54%) เพราะมีรายการกลับรายการ “ขาดทุนจากสินค้าคงเหลือ” แต่พอมาไตรมาสสอง “กำไรขั้นต้น” พุ่งสูงกว่าเดิมอีก (20.19%) แต่ก็ยังมีการ “ขาดทุนจากสินค้าคงเหลือ” อยู่ และหนักสุดคือไตรมาสสามที่เจอ “ขาดทุน” ตั้งแต่ “กำไรขั้นต้น” แถม “ขาดทุนจากสินค้าคงเหลือ” ก็เพิ่มขึ้นอีก

ข้อมูลตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นชัดเลยว่า “ราคาน้ำมันดิบ” ที่ขึ้นๆ ลงๆ มันส่งผลโดยตรงและรุนแรงมากๆ ต่องบการเงินของบริษัทในกลุ่มนี้ โดยเฉพาะพวกที่มีสต็อกเยอะๆ อย่างโรงกลั่นหรือธุรกิจต้นน้ำค่ะ

**นโยบายรัฐและปัจจัยภายนอก: ผู้คุมเกมที่มองข้ามไม่ได้**

นอกจากเรื่อง “ราคาน้ำมันดิบ” แล้ว ยังมีปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่ส่งผลต่อ “หุ้นน้ำมัน” ด้วยค่ะ

* **นโยบายภาครัฐ:** โดยเฉพาะในส่วนของ “ค่าการตลาด” น้ำมัน ที่รัฐบาลมักจะเข้ามาดูแลเพื่อให้ “ราคา” น้ำมันขายปลีกไม่สูงเกินไป จนกระทบค่าครองชีพประชาชน ตรงนี้ส่งผลโดยตรงกับธุรกิจปลายน้ำอย่างพวกสถานีบริการน้ำมันค่ะ บางที “ราคาน้ำมันดิบ” ขึ้น แต่ “ค่าการตลาด” ถูกกดไว้ ทำให้ “กำไร” ของกลุ่มนี้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น

* **กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ (โอเปก+):** การตัดสินใจของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก เช่น การประกาศลดกำลังการผลิต เพื่อพยุง “ราคาน้ำมัน” เนี่ย มีอิทธิพลมหาศาลต่อ “ราคาน้ำมันดิบ” ในตลาดโลกเลยค่ะ ข่าวเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อ “หุ้นน้ำมัน” ทันที

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ “อัตราแลกเปลี่ยน” ที่ส่งผลต่อต้นทุนน้ำมันดิบที่เรานำเข้า และความต้องการใช้น้ำมัน (อุปสงค์) ตามฤดูกาล เช่น ช่วงฤดูหนาวในต่างประเทศที่ความต้องการใช้พลังงานเพื่อทำความร้อนสูงขึ้น หรือช่วงไฮซีซั่นการท่องเที่ยวที่คนเดินทางเยอะขึ้น ทำให้ “ราคาน้ำมัน” และ “ค่าการกลั่น” มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ อย่างที่เคยมีการคาดการณ์ไว้สำหรับไตรมาส 4 ปี 2027

**ส่อง “หุ้นน้ำมัน” ไทย…สถานการณ์จริงเป็นยังไง?**

ทีนี้มาดูภาพใหญ่ในตลาด “หุ้นน้ำมัน” ไทยกันบ้างค่ะ กลุ่มนี้มีบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งที่เรารู้จักกันดี เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ “ปตท.” ที่เป็นบริษัทแม่, บริษัทลูกอย่าง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ “PTTGC” ที่ทำเรื่องปิโตรเคมี, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ “TOP” ที่เป็นโรงกลั่นหลัก, บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ “IRPC” ที่ทำทั้งโรงกลั่นและปิโตรเคมี, บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ “OR” ที่เน้นธุรกิจปลายน้ำและค้าปลีกอื่นๆ และยังมีบริษัทอื่นๆ อีกอย่าง บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “BCP” ที่ทำทั้งโรงกลั่นและสถานีบริการ หรือ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) ที่เน้นธุรกิจสถานีบริการ

ข้อมูลในอดีต ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2026 เคยชี้ให้เห็นว่า “หุ้นน้ำมัน” หลายตัวในตลาดไทยปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง บางตัวอย่าง ซัสโก้ ลดลงถึง 40% ตามมาด้วย “BCP”, “TOP”, “IRPC” และ “OR” ซึ่งการปรับตัวลงเหล่านี้มักจะสะท้อนถึงความกังวลเรื่องทิศทาง “ราคาน้ำมัน” หรือผลประกอบการที่ไม่สดใสในเวลานั้น

นักวิเคราะห์จากหลายๆ ที่ก็มีการประเมิน “หุ้นน้ำมัน” เหล่านี้อยู่ตลอดเวลาค่ะ อย่างช่วงปลายปี 2026 ถึงต้นปี 2027 เคยมีมุมมองจากนักวิเคราะห์บางส่วนเกี่ยวกับหุ้นบางตัว เช่น

* **BCP:** นักวิเคราะห์ บล. หยวนต้า เคยปรับลด “ราคาเหมาะสม” ณ สิ้นปี 2028 ลงเหลือ 40 บาท แต่ยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยมีข้อสังเกตเรื่องความเสี่ยงที่อาจถูกปรับออกจากดัชนี “SET50”
* **TOP:** นักวิเคราะห์ บล. หยวนต้า เคยคงคำแนะนำ “เทรดดิ้ง” (คือเน้นซื้อขายระยะสั้นตามจังหวะตลาด) โดยให้ “ราคาเหมาะสม” ณ สิ้นปี 2028 ไว้ที่ 55 บาท ระบุว่าผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2026 อ่อนแอกว่าที่คาดไว้
* **IRPC:** นักวิเคราะห์ บล. หยวนต้า เคยคงประมาณการผล “ขาดทุนสุทธิ” ไว้ถึงปี 2027 (ขาดทุน 4.7 พันล้านบาท) และปี 2028 (ขาดทุน 872 ล้านบาท) แนะนำ “เทรดดิ้ง” โดยให้ “ราคาเหมาะสม” ณ สิ้นปี 2028 ที่ 1.70 บาท
* **OR:** นักวิเคราะห์ บล. ธนชาต เคยแนะนำ “ขาย” โดยให้ “ราคาเป้าหมาย” ที่ 12.6 บาท เนื่องจากมองว่าแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวยังจำกัด

ข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างมุมมองของนักวิเคราะห์และสถานการณ์ของ “หุ้นน้ำมัน” ณ ช่วงเวลาหนึ่งๆ เท่านั้นนะคะ ตลาดหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา “ราคา” และมุมมองต่างๆ อาจเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ปัจจุบันค่ะ แต่ก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่าการลงทุนใน “หุ้นน้ำมัน” ต้องพิจารณาปัจจัยเฉพาะของแต่ละบริษัทด้วย นอกจากภาพรวมของ “ราคาน้ำมันดิบ

นอกจากข้อมูลจากบริษัทไทยแล้ว การติดตามข้อมูล “สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ” ในประเทศสำคัญอย่าง สหรัฐฯ ก็มีผลค่ะ เพราะตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลกได้ หากสินค้าคงคลังลดลง อาจตีความได้ว่าความต้องการใช้น้ำมันสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนุน “ราคาน้ำมันดิบ” ได้

**สรุปแล้ว…ลงทุนใน “หุ้นน้ำมัน” ต้องทำยังไงดี?**

การลงทุนใน “หุ้นน้ำมัน” เนี่ย เหมือนกับการเล่นรถไฟเหาะตีลังกาเลยค่ะ เพราะปัจจัยที่กระทบเยอะแยะไปหมด แถมส่วนใหญ่เราก็ควบคุมไม่ได้ด้วย ทั้ง “ราคาน้ำมันดิบ” โลก นโยบายของกลุ่ม โอเปก+ หรือแม้แต่สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศอย่างความขัดแย้งในยูเครน-รัสเซีย หรือตะวันออกกลาง ก็ส่งผลต่อ “ราคาน้ำมัน” ได้ทั้งสิ้น

ดังนั้น ถ้าสนใจ “หุ้นน้ำมัน” สิ่งสำคัญคือ:

1. **ทำความเข้าใจโครงสร้างธุรกิจ:** ต้องรู้ว่าบริษัทที่เราสนใจทำธุรกิจส่วนไหน (ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ) เพราะแต่ละส่วนมีปัจจัยขับเคลื่อน “กำไร” ที่ต่างกัน
2. **ติดตาม “ราคาน้ำมันดิบ” และ “ค่าการกลั่น” อย่างใกล้ชิด:** นี่คือตัวแปรสำคัญที่จะบอกทิศทางผลประกอบการของธุรกิจส่วนใหญ่
3. **ศึกษาผลประกอบการและงบการเงินของบริษัท:** ดูว่าบริษัทมี “กำไรขั้นต้น” ดีไหม มีเรื่อง “ขาดทุนจากสินค้าคงเหลือ” มากน้อยแค่ไหน การบริหารสต็อกเป็นยังไง
4. **อ่านบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ:** มุมมองของนักวิเคราะห์ช่วยให้เราเห็นภาพรวมและปัจจัยที่ต้องระวัง แต่อย่าเชื่อทั้งหมด ให้ใช้ประกอบการตัดสินใจของตัวเอง
5. **ระวังเรื่องความผันผวน:** “หุ้นน้ำมัน” เป็นกลุ่มที่มีความผันผวนสูงมาก “ราคาหุ้น” สามารถขึ้นลงได้เร็วและแรงมากๆ ค่ะ

⚠️ **คำเตือน:** การลงทุนใน “หุ้นน้ำมัน” มีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของ “ราคาน้ำมัน” และปัจจัยภายนอกอื่นๆ ผลประกอบการในอดีตไม่ได้รับประกันผลการดำเนินงานในอนาคต ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจความเสี่ยง และพิจารณาถึงระดับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้เสมอค่ะ ถ้าเงินที่นำมาลงทุนเป็นเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น อาจจะต้องพิจารณาให้รอบคอบมากๆ ค่ะ

หวังว่าเรื่องราวของ “หุ้นน้ำมัน” ที่เล่ามานี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมและปัจจัยสำคัญๆ ได้ชัดเจนขึ้นนะคะ การลงทุนไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเราศึกษาและทำความเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ค่ะ