สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน! หรือจะเรียกว่าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่สนใจเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็ได้นะครับ วันนี้คอลัมน์ของเราจะพาไปเจาะลึกเรื่องใกล้ตัวสุดๆ ที่เราเห็นกันทุกวัน ไม่ว่าจะขับรถ เติมน้ำมัน ทำกับข้าว หรือแม้แต่ใช้ชีวิตประจำวัน เพราะเบื้องหลังของสิ่งเหล่านี้ มี “ทองคำสีดำ” และ “หุ้นน้ํามัน ไทย” ที่น่าทำความเข้าใจซ่อนอยู่

**หุ้นน้ำมันไทย: ไม่ใช่แค่ปั๊ม แต่คือห่วงโซ่ธุรกิจขนาดใหญ่**
เวลาพูดถึง หุ้นน้ํามัน ไทย หลายคนอาจจะนึกถึงแค่ปั๊มน้ำมันที่เราแวะเติมประจำ แต่จริงๆ แล้วธุรกิจน้ำมันและพลังงานในตลาดหุ้นบ้านเรานั้นกว้างใหญ่กว่านั้นเยอะครับ ข้อมูลจาก SET Invest Now บอกเราว่าธุรกิจนี้แบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลักๆ เหมือนสายพานการผลิตเลย
1. **ต้นน้ำ (Upstream):** อันนี้คือพวกที่ออกเรือไปสำรวจ ขุดเจาะ หาแหล่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ทั้งบนบกและในทะเล ตัวชี้วัดสำคัญของธุรกิจกลุ่มนี้คือ “ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก” และ “อัตราแลกเปลี่ยน” ครับ เพราะเขาขายเป็นเงินดอลลาร์ แล้วแปลงกลับมาเป็นเงินบาท
2. **กลางน้ำ (Midstream):** ได้น้ำมันดิบมาแล้ว ก็ส่งมาที่นี่ครับ คือพวก “โรงกลั่นน้ำมัน” และ “โรงงานปิโตรเคมี” หน้าที่คือเอาน้ำมันดิบมาแปรรูป กลายเป็นน้ำมันสำเร็จรูปสารพัดชนิด (เบนซิน ดีเซล น้ำมันเครื่องบิน ก๊าซหุงต้ม) หรือเอาไปแตกโมเลกุลเป็นสารเคมีพื้นฐานที่เรียกว่า “ปิโตรเคมี” ซึ่งเจ้าปิโตรเคมีนี่แหละที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้นของผลิตภัณฑ์พลาสติก เส้นใยสังเคราะห์ และเคมีภัณฑ์ต่างๆ ที่เราใช้กันทุกวัน ตั้งแต่ขวดน้ำ ถุงร้อน แปรงสีฟัน ไปจนถึงชิ้นส่วนรถยนต์ หรือแม้แต่ปุ๋ยเคมีเลยทีเดียว ปัจจัยสำคัญของกลุ่มนี้คือ “ค่าการกลั่น” (Gross Refining Margin) และ “การบริหารสต๊อกน้ำมัน” ครับ ถ้าค่าการกลั่นดี กำไรก็ดี ถ้าสต๊อกน้ำมันตอนราคาลงเยอะๆ ก็มีโอกาส “ขาดทุนสต็อก” ได้

3. **ปลายน้ำ (Downstream):** นี่คือส่วนที่ใกล้ตัวเราที่สุดครับ คือพวก “สถานีบริการน้ำมัน” หรือ “ปั๊มน้ำมัน” นั่นเอง ทำหน้าที่ขายน้ำมันสำเร็จรูปให้ผู้บริโภครายย่อยๆ อย่างเราๆ นี่แหละ ตัวชี้วัดสำคัญคือ “ค่าการตลาดน้ำมัน” (Marketing Margin) ซึ่งคือส่วนต่างระหว่างราคาที่รับมากับราคาขายปลีก และ “ธุรกิจ Non-Oil” หรือธุรกิจอื่นๆ ที่อยู่ในปั๊ม เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ฯลฯ เพราะลำพังแค่ขายน้ำมันบางทีอาจจะเหนื่อย กำไรส่วน Non-Oil นี่แหละที่ช่วยเสริมทัพให้แข็งแกร่ง
ข้อมูลจาก Mitrade เปรียบเทียบน้ำมันว่าเป็น “ทองคำสีดำ” เพราะมีมูลค่ามหาศาลจริงๆ ทั้งในแง่ทรัพยากรและการลงทุนใน หุ้นน้ํามัน ไทย
**มองผ่านผลประกอบการ: ไตรมาส 3/2567 หุ้นน้ำมันไทย หลายตัวเหนื่อย แต่ไตรมาส 4/2567 เริ่มเห็นแสง?**
ลองมาดูผลงานช่วงที่ผ่านมาของ หุ้นน้ํามัน ไทย ตัวดังๆ กันบ้างครับ ข้อมูลและมุมมองจากหลายโบรกเกอร์อย่าง บล. บัวหลวง, บล. หยวนต้า, บล. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ชี้ว่า ไตรมาส 3 ปี 2567 เป็นช่วงที่หลายบริษัทในกลุ่มพลังงานค่อนข้างเหนื่อย
* **OR (โออาร์):** บริษัทลูกของ ปตท. ที่ดูแลธุรกิจค้าปลีกและ Non-Oil หลายคนคงคุ้นเคยกับปั๊ม PTT Station หรือร้านกาแฟพันธุ์ไทย ไตรมาส 3/2567 ขาดทุนสุทธิไป 1,609 ล้านบาท จากที่ปีก่อนมีกำไรถึง 5,170 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากผลกระทบราคาน้ำมันโลกที่ลดลง และธุรกิจ Non-Oil ก็ได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายพิเศษในการยุติธุรกิจบางส่วน นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาส 4/2567 ผลประกอบการน่าจะดีขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล ทั้งฤดูท่องเที่ยวและอากาศเย็น แต่ก็มีการปรับลดประมาณการกำไรหลักปี 2567 ลงไปเยอะพอสมควร
* **BCP (บางจาก):** อีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ในวงการ ซึ่งมีทั้งโรงกลั่นและปั๊มน้ำมัน ไตรมาส 3/2567 ก็ขาดทุนสุทธิหนักเช่นกันที่ 2,093 ล้านบาท สาเหตุคล้ายๆ กันคือธุรกิจโรงกลั่นมีค่าการกลั่นพื้นฐานลดลง และเจอ “ขาดทุนสต็อกน้ำมัน” ไปกว่า 5.1 พันล้านบาท จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง รวมถึงยอดขายน้ำมันที่ลดลงจากฤดูฝน อย่างไรก็ตาม คาดว่าไตรมาส 4/2567 จะพลิกกลับมามีกำไรได้ และปี 2568 มีแนวโน้มกำไรเติบโตโดดเด่น จากหลายปัจจัยบวก เช่น ขาดทุนสต็อกหายไป กำลังการกลั่นเพิ่มขึ้น และผลดีจากการรวมกิจการ (Synergy)
* **PTG (พีทีจี):** เจ้าของปั๊ม PT ซึ่งเน้นการขยายธุรกิจ Non-Oil อย่างร้านกาแฟพันธุ์ไทยมากๆ เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในกลุ่มปลายน้ำ ไตรมาส 3/2567 กลับมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 211.3% อยู่ที่ 74 ล้านบาท แม้ภาพรวมตลาดจะเหนื่อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยอดขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจ Non-Oil คาดว่าไตรมาส 4/2567 จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากอานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
* **SUSCO (ซัสโก้):** อีกหนึ่งผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันขนาดกลาง ไตรมาส 3/2567 ก็มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 18.70% อยู่ที่ 77.69 ล้านบาท จากรายได้การขายน้ำมันที่เติบโตขึ้นเช่นกัน
จะเห็นว่า แม้จะอยู่ในกลุ่ม หุ้นน้ํามัน ไทย เหมือนกัน แต่ผลประกอบการก็ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทเน้นธุรกิจส่วนไหนในห่วงโซ่
**แล้วโรงกลั่นและปิโตรเคมีล่ะ?**
กลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี (ที่อยู่ในดัชนี PETRO) ก็เจอความท้าทายเหมือนกันครับ ข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ และ บล. กสิกรไทย ชี้ว่าในช่วงต้นปี 2567 หุ้นกลุ่มนี้หลายตัวราคาปรับตัวลงหนัก อย่าง IVL (อินโดรามา เวนเจอร์ส) เจอผลตอบแทนราคา YTD ติดลบกว่า 13% ปัจจัยหลักคือ “ค่าการกลั่นสิงคโปร์” ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากเฉลี่ย 7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาส 1/2567 เหลือประมาณ 3-4 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาส 2/2567 และหากราคาน้ำมันดิบโลกลดลงต่อเนื่อง ก็จะเกิด “ขาดทุนสต็อกน้ำมัน” ที่กระทบกำไรได้

แต่แนวโน้มครึ่งปีหลัง 2567 คาดว่าจะเริ่มดีขึ้นบ้างในช่วงฤดูขับขี่ (Driving Season) และฤดูหนาวที่มีดีมานด์น้ำมันบางชนิดเพิ่มขึ้น ส่วนแนวโน้มระยะกลาง-ยาวในปี 2568 นักวิเคราะห์หลายค่ายมองว่าราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมูนิตี้) อาจจะไม่ได้พุ่งสูงมากนัก คาดว่าจะทรงตัวหรือปรับลงเล็กน้อย อยู่ในโซนไม่เกิน 70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
**เรื่องน้ำมันพืช… เรื่องเฉพาะตัว**
นอกเหนือจาก หุ้นน้ํามัน ไทย ในกลุ่มปิโตรเลียมแล้ว ยังมี หุ้นน้ํามัน ไทย อีกกลุ่มที่น่าสนใจและมีปัจจัยเฉพาะตัวคือ กลุ่ม “น้ำมันพืช” ครับ ข้อมูลจาก บล. ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี และ บล. เคทีบีเอสที เคยรายงานว่า หุ้นกลุ่มนี้อย่าง CPI, LST, TVO, UVAN, UPOIC, VPO เคยปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า เพราะได้รับอานิสงส์จากนโยบายของประเทศอินโดนีเซียที่ประกาศขยายมาตรการระงับการส่งออกน้ำมันปาล์ม ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมจากราคาถั่วเหลืองที่สูงขึ้นเพราะปัญหาภัยแล้งและสงครามรัสเซีย-ยูเครนด้วย นี่แสดงให้เห็นว่า หุ้นในหมวดธุรกิจที่ดูคล้ายๆ กัน ก็มีปัจจัยขับเคลื่อนที่แตกต่างกันได้
ตัวอย่างเช่น TVO (บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน)) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลืองและกากถั่วเหลือง ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ วันที่ 29 เมษายน 2568 เวลา 11:39:45 ราคาหุ้นอยู่ที่ 22.80 บาท เปลี่ยนแปลง -0.20 บาท จากราคาปิดก่อนหน้า เขาเน้นธุรกิจน้ำมันถั่วเหลืองเป็นหลัก มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 60% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษี ซึ่งก็เป็นอีกประเภทของ “หุ้นน้ำมัน” ในตลาดหุ้นไทยครับ
**สรุปและคำแนะนำสำหรับนักลงทุน**
จากภาพรวมที่เล่ามา จะเห็นว่าการลงทุนใน หุ้นน้ํามัน ไทย มีหลายแง่มุมที่ต้องพิจารณาครับ ราคาน้ำมันโลก ค่าการกลั่น ค่าการตลาด ธุรกิจ Non-Oil นโยบายภาครัฐ หรือแม้แต่ปัจจัยเฉพาะของสินค้าเกษตรอย่างน้ำมันปาล์มและถั่วเหลือง ล้วนส่งผลกระทบต่อผลประกอบการและราคาหุ้นในกลุ่มนี้
* **ทำความรู้จักบริษัท:** ก่อนลงทุนใน หุ้นน้ํามัน ไทย ตัวไหน ลองดูดีๆ ครับว่าบริษัทนั้นเน้นธุรกิจช่วงไหน (ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ) เพราะแต่ละช่วงมีปัจจัยบวก/ลบที่แตกต่างกัน
* **ติดตามปัจจัยสำคัญ:** สำหรับกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี “ค่าการกลั่น” สำคัญมาก ส่วนกลุ่มปั๊มน้ำมัน ให้ดู “ค่าการตลาด” และการเติบโตของ “ธุรกิจ Non-Oil” ครับ
* **ดูผลประกอบการและแนวโน้ม:** ข้อมูลผลประกอบการไตรมาสล่าสุดช่วยบอกสถานะปัจจุบัน ส่วนบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ต่างๆ (อย่างที่อ้างอิงมา) ก็ให้มุมมองแนวโน้มในอนาคตได้
* **อย่าลืมปัจจัยมหภาค:** เศรษฐกิจโลก ดีมานด์น้ำมัน นโยบายกลุ่ม OPEC หรือแม้แต่สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ก็มีผลต่อราคาน้ำมันโลก ซึ่งส่งผลกระทบไปถึง หุ้นน้ํามัน ไทย ด้วย
การลงทุนในหุ้นพลังงานและปิโตรเคมีอาจมีความผันผวนสูง เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมยากหลายอย่างครับ เหมือนนั่งรถไฟเหาะที่ราคาน้ำมันโลกขึ้นๆ ลงๆ
⚠️ **คำเตือนความเสี่ยง:** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนใน หุ้นน้ํามัน ไทย หรือหลักทรัพย์ใดๆ และควรพิจารณาความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตนเองด้วยนะครับ ถ้าเงินลงทุนของคุณไม่ได้มีสภาพคล่องสูงมาก การทำความเข้าใจธุรกิจและประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ ครับ
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มองภาพรวมของ หุ้นน้ํามัน ไทย ได้ชัดเจนขึ้น ไม่ใช่แค่ปั๊มน้ำมันข้างทาง แต่คือโลกธุรกิจพลังงานที่เชื่อมโยงกับชีวิตเรา และเต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายที่น่าศึกษาครับ แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์หน้านะครับ!