
ช่วงนี้ตลาดหุ้นบ้านเราเหมือนจะยังลุ่มๆ ดอนๆ นะครับ ดัชนีก็แกว่งตัวในกรอบแคบๆ มูลค่าการซื้อขายก็ไม่คึกคักเท่าที่ควร หลายคนอาจจะกำลังคิดอยู่ว่า “เอ๊ะ เราควรจะดูหุ้นตัวไหน หรือตลาดมันจะไปทางไหนต่อดีนะ?” ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่คลุกคลีกับตลาดมานาน วันนี้ผมอยากชวนเพื่อนๆ นักลงทุนมาลองแกะภาพรวมตลาดล่าสุด พร้อมส่องหุ้นรายตัวที่เราคุ้นเคยกันดูครับ
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ปิดไปที่ 1,113.58 จุด ลดลงมาจิ๊ดเดียวแค่ 0.91 จุด หรือประมาณ -0.08% เท่านั้นเองครับ มูลค่าซื้อขายทั้งวันก็แค่ 27,531.25 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ ดัชนีระหว่างวันก็เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ระหว่าง 1,112.25 จุด ถึง 1,119.13 จุด สะท้อนว่านักลงทุนยังคงชะลอการลงทุน หรืออาจจะกำลังรอดูอะไรบางอย่างอยู่ แต่ที่น่าสนใจนิดๆ คือจำนวนหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมีมากกว่าหุ้นที่ปรับลดลงเล็กน้อยนะครับ คือเพิ่มขึ้น 243 หลักทรัพย์ ลดลง 197 หลักทรัพย์ ส่วนที่เหลืออีก 220 หลักทรัพย์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนตลาดกำลังหาทิศทางของตัวเองอยู่
ในบรรยากาศที่ตลาดภาพรวมยังไม่ไปไหนไกลแบบนี้ การมองหา “เรื่องราว” หรือ “ปัจจัยเฉพาะตัว” ของบริษัทแต่ละแห่งก็อาจจะน่าสนใจไม่แพ้กันนะครับ อย่างที่เห็นภาพความเคลื่อนไหวในตลาดทุนช่วงนี้ ก็มีงานใหญ่ๆ อย่าง งาน SET in the City 2025 ที่จัดไปเมื่อ 14-15 มิถุนายน หรือ งาน mai FORUM 2025 ที่กำลังจะจัดขึ้นวันที่ 21 มิถุนายนนี้ งานพวกนี้เป็นเหมือนเวทีให้บริษัทต่างๆ มาอัปเดตข้อมูลธุรกิจ พบปะนักลงทุนโดยตรง อย่างในงาน mai FORUM 2025 ก็เห็นว่ามีบริษัทที่น่าสนใจอย่าง PHOL ซึ่งทำธุรกิจสินค้าและบริการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม หรือ CHAYO ที่เก่งเรื่องบริหารสินทรัพย์และติดตามหนี้สิน ก็เตรียมไปให้ข้อมูลด้วย
ทีนี้ ลองมาซูมดูหุ้นรายตัวที่มีข่าวคราวหรือข้อมูลน่าสนใจกันบ้างครับ ตัวแรกที่น่าจับตาคือ AURA หรือ บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) ล่าสุดมีข่าวดีคือเขาได้รับคัดเลือกให้เข้าคำนวณในดัชนี SET100 และ SET Well-being (SETWB) สำหรับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม 2568 การได้เข้าดัชนีใหญ่แบบนี้มักจะทำให้กองทุนต่างๆ ต้องเข้ามาซื้อหุ้นตามดัชนี ถือเป็นปัจจัยบวกทางเทคนิคที่น่าสนใจเลยทีเดียวครับ
วิสัยทัศน์ของ AURA ก็น่าติดตามครับ เขาตั้งเป้าจะเป็น “Gold Tech Company” ซึ่งฟังดูทันสมัยดี ธุรกิจหลักๆ ของเขาก็มี 2 ขาที่แข็งแรงคือ การค้าปลีกทองคำ ซึ่งเราคงเคยเห็นร้านออโรร่าตามห้างต่างๆ และอีกขาคือธุรกิจสินเชื่อทองคำ ที่มีชื่อน่ารักว่า “ทองมาเงินไป” ซึ่งให้ลูกค้าเอาทองมาเป็นหลักประกันเพื่อกู้เงินได้ แผนธุรกิจของเขาก็ทะเยอทะยานไม่เบาเลยครับ วางแผนขยายสาขาให้ได้ถึง 1,070 แห่ง และเพิ่มพอร์ตสินเชื่อ “ทองมาเงินไป” ให้แตะระดับ 20,000 ล้านบาทภายในปี 2570 เพื่อรองรับการเติบโตนี้ AURA ก็เตรียมจะออกหุ้นกู้ใหม่ไม่เกิน 3,000 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2568 ด้วย
ที่สำคัญคือ ราคาทองคำในตลาดโลกช่วงนี้ยังอยู่ในโซนขาขึ้นนะครับ ณ วันที่ 17 มิถุนายน Gold Spot หรือราคาทองคำอ้างอิงในตลาดโลกอยู่ที่ 3,396 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำรูปพรรณ 96.5% ในไทยก็อยู่ที่บาทละ 53,000.00 บาท (ราคาขายออก) ราคาทองที่สูงขึ้นแบบนี้ส่งผลดีโดยตรงต่อธุรกิจสินเชื่อทองคำของ AURA นะครับ เพราะมูลค่าทองคำที่ใช้เป็นหลักประกันของลูกค้าก็จะสูงขึ้นด้วย ทำให้ความเสี่ยงของธุรกิจลดลงไปด้วยนั่นเอง ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำผันผวนช่วงนี้ก็หนีไม่พ้นสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน และผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาดูอยู่ครับ ราคาทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยก็เลยยังคงมีแรงซื้อเข้ามาอยู่

แล้วหุ้นที่เราคุ้นเคยอย่างร้านสุกี้ชื่อดัง หรือร้านอาหารญี่ปุ่นที่ไปกินบ่อยๆ ล่ะ? ใช่ครับ กำลังพูดถึงหุ้น M หรือ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นั่นเอง ลองมาดูข้อมูลล่าสุดที่มีการรายงานเกี่ยวกับ ราคาหุ้น m เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 นะครับ ราคาปิดอยู่ที่ 18.80 บาท ปรับเพิ่มขึ้นมา 0.10 บาท หรือประมาณ 0.53% จากวันก่อนหน้า วันนั้นมีการซื้อขายไป 1,123,667 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 21,007.62 พันบาท
สำหรับคนที่ดูตัวเลขทางการเงิน ราคาหุ้น m ณ เวลานั้นเทียบกับผลประกอบการก็ดูน่าสนใจอยู่ครับ อัตราส่วน P/E อยู่ที่ 11.47 เท่า ซึ่งก็ไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับหลายๆ บริษัท อัตราส่วน P/BV อยู่ที่ 1.23 เท่า ส่วนที่น่าดึงดูดใจมากๆ สำหรับนักลงทุนที่ชอบปันผลก็คือ อัตราผลตอบแทนเงินปันผล ณ วันที่ 25 เมษายน อยู่ที่ 8.01%! ถือว่าสูงใช้ได้เลยทีเดียวครับ โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลค่อนข้างเยอะ เห็นได้จากอัตราการจ่ายเงินปันผลในปี 2567 ที่สูงถึง 95.31% ของกำไรเลยทีเดียว
ธุรกิจหลักๆ ของ M เราก็คงรู้จักกันดีนะครับ นอกจากร้านสุกี้ MK แล้ว ยังมีร้านอาหารญี่ปุ่น Yayoi, ร้านอาหารทะเล แหลมเจริญ ซีฟู้ด และอื่นๆ อีกหลายแบรนด์ ซึ่งก็ทำให้มีรายได้มาจากหลากหลายช่องทาง หากย้อนดูประวัติ ราคาหุ้น m ตั้งแต่เข้าตลาดมา ราคาต่ำสุดเคยอยู่ที่ 16.30 บาท (เมื่อ 9 เมษายน 2568) ส่วนราคาสูงสุดในอดีตเคยไปถึง 91.30 บาท (เมื่อ 23 มกราคม 2561) ซึ่งการที่ราคาปัจจุบันอยู่ห่างจากจุดสูงสุดในอดีตมากๆ ก็เป็นอีกมุมที่นักลงทุนเอาไปพิจารณาได้ครับ ส่วนมุมมองของนักวิเคราะห์ ก็ให้ประมาณการราคาในอนาคตของ ราคาหุ้น m ไว้ค่อนข้างหลากหลายครับ อยู่ในช่วงระหว่าง 15.60 บาท ถึง 24.00 บาท ซึ่งสะท้อนว่าผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนก็มีมุมมองและสมมติฐานที่แตกต่างกันไป
นอกจากเรื่องหุ้นรายตัวแล้ว ภาพรวมเศรษฐกิจและปัจจัยภายนอกก็สำคัญมากๆ นะครับ อย่างผู้เชี่ยวชาญจากหลักทรัพย์ เคจีไอ (KGI) ที่ไปร่วมงาน SET in the City 2025 ก็ได้นำเสนอประเด็นเรื่อง “Global Glow Up: พอร์ตโตตามเทรนด์โลก” ซึ่งเน้นย้ำว่านักลงทุนยุคนี้ต้องมองออกไปนอกประเทศด้วย ต้องอัปเดตเทรนด์เศรษฐกิจโลก แนวโน้มดอกเบี้ย และสงครามการค้า ซึ่งเป็นปัจจัยใหญ่ที่ส่งผลต่อการจัดพอร์ตลงทุน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า KGI ก็มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยี Smart Platform และเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลและตัดสินใจลงทุนได้ง่ายขึ้น

เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่หน่วยงานในตลาดทุนไทยกำลังให้ความสำคัญคือการต่อต้านการหลอกลวงการลงทุนนะครับ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับพันธมิตรภาคตลาดทุน องค์กรธุรกิจ และหน่วยงานรัฐ ได้ประกาศเจตนารมณ์ “ร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน” เพื่อปกป้องนักลงทุนจากมิจฉาชีพ ถือเป็นความร่วมมือที่ดีที่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตลาดทุนไทยครับ
สรุปแล้ว ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้อาจจะดูนิ่งๆ แต่ก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจซ่อนอยู่ ทั้งเรื่องบริษัทต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงและวางแผนเติบโต (อย่าง AURA ที่เข้า SET100 และมีแผนขยายธุรกิจทองคำ/สินเชื่อทองคำ) เรื่องหุ้นที่เราคุ้นเคยอย่าง M ที่มีข้อมูล ราคาหุ้น m และอัตราปันผลที่น่าสนใจในระดับราคาปัจจุบัน ไปจนถึงปัจจัยภายนอกอย่างราคาทองคำและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนโดยรวม
สำหรับนักลงทุนในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่ควรทำคือ:
1. **ศึกษาข้อมูลบริษัทให้ลึกซึ้ง:** ดูแค่ ราคาหุ้น m อย่างเดียวไม่พอครับ ต้องเข้าใจธุรกิจ แผนการเติบโต ผลประกอบการ และความเสี่ยงของบริษัทที่เราสนใจด้วย
2. **ติดตามปัจจัยภายนอก:** แนวโน้มดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลก สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ ล้วนมีผลต่อตลาดหุ้นและราคาสินทรัพย์ต่างๆ ครับ
3. **พิจารณาจัดพอร์ตให้เหมาะสม:** การกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ประเภทต่างๆ หรือมองหาโอกาสลงทุนในต่างประเทศผ่านเครื่องมือที่เข้าถึงได้ (เช่น กองทุนรวม หรือ DR) ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจครับ แพลตฟอร์มการลงทุนบางแห่ง เช่น Moneta Markets ก็มีผลิตภัณฑ์หลากหลายให้เลือกนะครับ แต่สำคัญคือต้องเลือกที่น่าเชื่อถือและตรงกับความต้องการของเรา
4. **ระวังการหลอกลวง:** อย่าหลงเชื่อการชักชวนลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง หรือการให้ข้อมูลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือนะครับ
การลงทุนไม่ใช่เรื่องซับซ้อนเกินไป แต่ต้องอาศัยการศึกษาและความเข้าใจครับ ในช่วงที่ตลาดยังไม่ชัดเจนแบบนี้ การใช้เวลาหาข้อมูล ทำความเข้าใจ ราคาหุ้น m หรือหุ้นตัวอื่นๆ ที่เราสนใจ รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจ จะช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจมากขึ้นครับ
⚠️ **ข้อควรจำ:** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ และไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งโดยไม่กระจายความเสี่ยงนะครับ