
ตื่นเช้ามา หลายคนอาจจะรีบเช็ก ‘ดัชนีหุ้นจีนเช้า’ กันเป็นอย่างแรกๆ เหมือนเช็กสภาพอากาศก่อนออกจากบ้านใช่ไหมครับ? เพราะตลาดหุ้นจีนนี่ขึ้นชื่อเรื่องความ ‘เหวี่ยง’ พอสมควร บางวันพุ่งแรง บางวันก็ดิ่งเอาเรื่อง… เหมือนนั่งรถไฟเหาะเลยก็ว่าได้ การเข้าใจภาพรวมของ ดัชนีหุ้นจีนเช้า จึงสำคัญสำหรับนักลงทุน เพราะมันสะท้อนบรรยากาศการลงทุนของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกอย่างจีนนั่นเอง
เวลาพูดถึงตลาดหุ้นจีน เราไม่ได้มีแค่ตลาดเดียวนะครับ หลักๆ ที่คนไทยนิยมดูกันก็จะมี ๒ ตลาดใหญ่ คือ ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stock Exchange) กับ ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (Shenzhen Stock Exchange) ซึ่งแต่ละตลาดก็มี ‘ดัชนี’ เป็นเหมือนตัวแทนสะท้อนภาพรวมของหุ้นในตลาดนั้นๆ ตัวเด่นๆ ของเซี่ยงไฮ้ก็คือ ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Composite Index) ที่รวมเอาหุ้นทั้งหมดในตลาดเซี่ยงไฮ้มาคำนวณ น้ำหนักก็ขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัท หรือที่เรียกว่า มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market cap) เป็นดัชนีที่ใช้อ้างอิงกันเยอะมากครับ บอกพัฒนาการของตลาดทุนจีนได้ดี ส่วนตลาดเซินเจิ้น ดัชนีที่นิยมดูคือ ดัชนีส่วนประกอบตลาดหุ้นเซินเจิ้น (Shenzhen Component Index) อันนี้จะเน้นไปที่บริษัทขนาดใหญ่ ๕๐๐ แห่งในตลาดเซินเจิ้น เป็นดัชนีมาตรฐานอีกตัวที่บอกภาพรวมเศรษฐกิจจีนได้เหมือนกัน
มาดูภาพ ‘ดัชนีหุ้นจีนเช้า’ ณ เวลานั้นๆ ที่มีข้อมูลอัปเดตกันหน่อยนะครับ สำหรับ ดัชนีส่วนประกอบตลาดหุ้นเซินเจิ้น ข้อมูล ณ เวลานั้นอยู่ที่ประมาณ ๙๗๕๙ จุด มีการเปลี่ยนแปลงใน ๒๔ ชั่วโมงก่อนหน้าลดลงไป ๐.๘๕% แต่ถ้ามองภาพรายสัปดาห์กลับบวกขึ้นมาถึง ๕.๔๓% สวนทางกับรายเดือนที่ลดลงหนัก ๑๑.๒๒% ส่วนภาพรวมรายปีก็ยังบวกอยู่ราว ๖.๓๐% ครับ ดัชนีนี้เคยทำจุดต่ำสุดตลอดกาลที่ ๒๕๙๓ จุด เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ โน่นเลย หุ้นที่เป็นองค์ประกอบขนาดใหญ่สุดก็อย่างเช่น SZSE:๐๐๒๕๙๔, SZSE:๓๐๐๗๕๐, SZSE:๐๐๐๓๓๓ หรือตัวที่ราคาพุ่งแรงที่สุดในรอบ ๑ ปีอย่าง SZSE:๓๐๐๔๗๖ ที่บวกไปกว่า ๒๐๑.๖๕% ก็อยู่ในกลุ่มนี้ครับ

ทางฝั่ง ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ข้อมูล ณ เวลานั้นอยู่ที่ราว ๓๓๔๗ จุด มีการเปลี่ยนแปลงใน ๒๔ ชั่วโมงก่อนหน้าลดลงเล็กน้อย ๐.๔๗% ภาพรายสัปดาห์ก็ลดลง ๐.๘๗% แต่ภาพรายเดือนกลับเป็นบวก ๑.๙๓% และภาพรายปีก็ยังบวกถึง ๗.๘๕% ดัชนีเซี่ยงไฮ้เคยทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ ๖๑๒๔ จุด เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ ๙๕ จุด เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๓ เรียกว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะจริงๆ หุ้นยักษ์ใหญ่ในตลาดนี้ก็หนีไม่พ้นอย่าง SSE:๖๐๑๓๙๘, SSE:๖๐๐๕๑๙, SSE:๖๐๑๒๘๘ ขณะที่ตัวที่ให้ผลตอบแทนดีสุดในรอบ ๑ ปีคือ SSE:๖๘๘๖๒๒ ที่บวกถึง ๓๓๖.๐๑%! น่าสนใจว่า เครื่องมือทางเทคนิค (Indicators) อย่าง ออสซิลเลเตอร์ (Oscillators) และ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) ต่างให้สัญญาณที่ผสมผสานกัน ทั้งกลางๆ (Neutral), แรงขาย (Sell), และ แรงซื้อ (Buy) แสดงว่าตลาดอยู่ในช่วงที่กำลังตัดสินใจว่าจะไปทางไหนดี ไม่ได้มีทิศทางชัดเจนเป็นเอกฉันท์
แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้ ดัชนีหุ้นจีนเช้า หรือตลอดทั้งวันมันผันผวนขนาดนี้? ปัจจัยใหญ่ๆ ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามองก็คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ครับ ตามรายงานจากสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทยและบลูมเบิร์ก ทางธนาคารกลางจีน (PBOC) เองก็พยายามออกมาตรการใหญ่ๆ อยู่บ้าง แต่ดูเหมือนแรงบวกที่เคยมีมันเริ่มแผ่วลงไปแล้ว ส่วนมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายทางการคลังจากรัฐบาลก็ยังใช้เวลาในการวางแผนอยู่ ทำให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มสงสัยว่า ‘รัฐบาลเอาจริงแค่ไหน?’ หรือ ‘จะทุ่มสุดตัวเลยรึเปล่า?’ ความไม่ชัดเจนตรงนี้แหละ ที่ทำให้ตลาดมันสับสนและผันผวนง่าย
อีกเรื่องที่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะกับตลาดหุ้นจีน ก็คือ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่มีปัญหาอยู่ก่อนหน้านี้ นักลงทุนจับตาการแถลงของรัฐมนตรีกระทรวงการเคหะและการพัฒนาเมือง-ชนบท (Ni Hong) อย่างใกล้ชิด เพื่อดูรายละเอียดมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาฯ ตามรายงานเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๗ แม้ดัชนี CSI ๓๐๐ จะปิดภาคเช้าลดลง แต่หุ้นอสังหาริมทรัพย์กลับปรับตัวขึ้นก่อนการแถลงการณ์ แสดงถึงความหวังของนักลงทุน หากมาตรการที่ออกมา ‘โดนใจ’ หรือ ‘แรงพอ’ ตลาดอาจจะดีดขึ้นได้ แต่ถ้า ‘น่าผิดหวัง’ หรือ ‘เบาไป’ ก็มีโอกาสที่จะเห็นแรงเทขายตามมาได้เลยครับ
นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือ PMI ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของจีน ก็เป็นอีกตัวที่ต้องจับตา เพราะตัวเลขเหล่านี้บอก ‘สุขภาพ’ ของเศรษฐกิจจีนได้โดยตรง มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนมากๆ ครับ เช่นเดียวกับที่นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็จับตาตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทย หรือการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครับ แสดงให้เห็นว่า ปัจจัยเศรษฐกิจสำคัญๆ เหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในวงกว้าง

ตลาดหุ้นจีนก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ตลาดหุ้นทั่วโลกนะครับ วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๘ ตามรายงานของสำนักข่าวอินโฟเควสท์ ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้เปิดลบเล็กน้อย ส่วนฮ่องกงเปิดบวกตามนิวยอร์ก ขณะที่ตลาดอื่นๆ อย่างโตเกียวก็เปิดบวกรับข่าวดีเรื่องภาษีรถยนต์ ส่วนฝั่งตะวันตก เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๘ ตลาดหุ้นนิวยอร์กก็ปิดบวกแรงกว่า ๓๐๐ จุด จากความหวังเรื่องการเจรจาการค้า ลอนดอนและยุโรปก็บวกต่อเนื่องจากผลประกอบการบริษัทที่ดี ตลาดในเอเชียเองอย่างอินเดีย เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ต่างก็ปิดบวกเช่นกันในวันเดียวกัน นี่คือภาพที่สะท้อนว่า สภาวะตลาดโลกก็ส่งผลถึง ดัชนีหุ้นจีนเช้า และตลาดจีนโดยรวมด้วยครับ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ‘แล้วจะลงทุนใน ดัชนีหุ้นจีนเช้า โดยตรงได้ไหม?’ คำตอบคือ ดัชนีเป็นแค่ตัวเลขสะท้อนภาพรวมครับ เราไม่สามารถซื้อ ดัชนีหุ้นจีนเช้า ได้โดยตรง แต่เราสามารถลงทุนในสิ่งที่ ‘อิง’ กับ ดัชนีพวกนี้ได้ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) หรือ กองทุนรวม (Mutual Funds) ที่มีนโยบายลงทุนตามดัชนีครับ ยกตัวอย่างเช่น กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นจีน (K China Stock Index Fund) ที่มีข้อมูลจาก Morningstar ณ วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘ กองทุนนี้เน้นลงทุนในหุ้นจีนขนาดใหญ่ ๕๐ ตัว โดยอิงกับดัชนีหลัก วัตถุประสงค์ของกองทุนคือพยายามสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีที่อ้างอิง ผลตอบแทนที่ผ่านมา (ณ ๒๓ พ.ค. ๖๘) ตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -๐.๙๑% ส่วนผลตอบแทน ๓ ปี และ ๕ ปี ต่อปี ก็ยังติดลบเล็กน้อย (-๐.๓๔% และ -๐.๓๓% ตามลำดับ) ณ ๓๑ ธ.ค. ๖๗ กองทุนนี้ถือหุ้นอยู่ราว ๙๒.๐๖% นี่ก็เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งในการเข้าถึงตลาดหุ้นจีนผ่านกองทุน ซึ่งนักลงทุนก็ต้องศึกษาข้อมูลกองทุนแต่ละแห่งให้ดี ทั้งนโยบาย ค่าธรรมเนียม และผลการดำเนินงานในอดีตครับ
แต่ไม่ว่าจะเป็น ดัชนีหุ้นจีนเช้า ที่ขึ้นหรือลง หรือจะลงทุนผ่านช่องทางไหน สิ่งที่เราต้องจำไว้เสมอเลยคือ การลงทุนมีความเสี่ยง ครับ! เหมือนเวลาเราจะก้าวขาออกจากบ้านไปเจอรถติด หรือฝนตกหนัก การลงทุนก็มีโอกาสที่เราจะเสียเงินต้นบางส่วนหรือทั้งหมดได้เลยนะครับ ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นจีน แต่รวมถึงตราสารทางการเงินอื่นๆ หรือแม้แต่เงินดิจิทัล (Digital Currency) ด้วย
⚠️ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ตามกระแส ดัชนีหุ้นจีนเช้า นะครับ นักลงทุนทุกคนควร ทำความเข้าใจความเสี่ยงและต้นทุน ที่เกี่ยวข้องให้ดีมากๆ พิจารณาจากเป้าหมายการลงทุนของเราเอง ว่าเหมาะกับความเสี่ยงระดับไหน มีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน ยอมรับการขาดทุนได้แค่ไหน นี่สำคัญที่สุด ลองถามตัวเองดูว่า ถ้าตลาดลงแรงๆ แบบที่ ดัชนีส่วนประกอบตลาดหุ้นเซินเจิ้น เคยลดลง ๑๑.๒๒% ในเดือนเดียว หรือบางหุ้นอย่าง SSE:๖๐๐๒๐๐ ที่ติดลบ ๗๓.๔๑% ในรอบ ๑ ปี เราจะรับไหวไหม? ถ้าไม่แน่ใจ หรือยังสับสนอยู่ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน ที่ปรึกษาได้เลยครับ อย่าลงทุนในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ หรือฟังตามคนอื่นมาโดยไม่วิเคราะห์เอง การเกาะติดสถานการณ์ ‘ดัชนีหุ้นจีนเช้า’ หรือภาพรวมตลาดเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องทำด้วยความเข้าใจและความระมัดระวังนะครับ ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างรอบคอบครับ