ปันผล คืออะไร? ไขข้อสงสัย สร้างกระแสเงินสดให้พอร์ตลงทุน!

เคยไหมครับ เวลาเห็นเพื่อนคุยเรื่องหุ้น แล้วมีคำว่า “ปันผล” โผล่มา? หรืออ่านข่าวเศรษฐกิจแล้วเจอคำว่า “บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผล” เอ๊ะ! แล้วเจ้า “ปันผล คือ” อะไรกันแน่? มันเหมือนโบนัสที่เราได้จากงานประจำ หรือว่ามีความหมายอื่นในโลกของการลงทุน?

ลองนึกภาพง่ายๆ แบบนี้ครับ สมมติว่าเรากับเพื่อนๆ ช่วยกันเปิดร้านขายของ แล้วร้านเราขายดี มีกำไรเป็นกอบเป็นกำ พอสิ้นปี เราก็มาดูกันว่าจากกำไรทั้งหมด จะแบ่งส่วนหนึ่งมาให้พวกเราที่เป็นเจ้าของร้านคนละนิดคนละหน่อยไหม ส่วนที่แบ่งออกมานี่แหละครับ ที่คล้ายๆ กับหลักการของ “เงินปันผล” ในโลกของบริษัทมหาชน

พูดให้เป็นทางการขึ้นอีกหน่อย ปันผล คือ ส่วนแบ่งกำไรที่บริษัทตัดสินใจจ่ายคืนให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นๆ ครับ เหมือนเป็นการตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นได้เอาเงินมาลงทุนกับบริษัท ไม่ใช่ว่าบริษัทมีกำไรปุ๊บ จะต้องจ่ายเงินปันผลให้เราทันทีนะครับ มันมีกฎเกณฑ์อยู่พอสมควรเลย เช่น บริษัทต้องมีกำไรสะสมอยู่ก่อน (ถ้าขาดทุนสะสม ต้องเคลียร์ให้หมดก่อน) ต้องมีการกันเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นทุนสำรองตามที่กฎหมายกำหนด ที่สำคัญที่สุดคือ การจ่ายเงินปันผลต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น หรือบางทีคณะกรรมการบริษัทอาจอนุมัติจ่ายระหว่างปีได้ ถ้ามีกำไรพอ แต่ก็ต้องแจ้งให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นรับทราบภายหลังอีกทีครับ การจ่ายปันผลนี้ต้องมาจากกำไรจริงๆ เท่านั้น ไม่ใช่เอาเงินจากแหล่งอื่นมาจ่ายแทน

แล้วทำไมบริษัทบางแห่งถึงเลือกจ่ายเงินปันผล ในขณะที่บางแห่งไม่จ่าย หรือจ่ายน้อยล่ะ? อันนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัทครับ บางบริษัทที่ยังอยู่ในช่วงเติบโต มีโอกาสลงทุนขยายกิจการอีกเยอะ ก็อาจเลือกเก็บกำไรไว้ (เรียกว่า กำไรสะสม) เพื่อเอาไปลงทุนต่อยอดให้ธุรกิจเติบโตเร็วขึ้น ผู้ถือหุ้นก็จะไปลุ้นผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่น่าจะปรับเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของบริษัทแทน แต่บางบริษัทที่ธุรกิจค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว หรือมีเงินสดเหลือเยอะ ก็อาจเลือกจ่ายเงินปันผลคืนผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่มากขึ้น เพื่อสร้างความพอใจและดึงดูดนักลงทุนที่ชอบรับรายได้สม่ำเสมอ

พอเข้าใจแล้วว่า “ปันผล คือ” อะไร และทำไมบริษัทถึงจ่ายหรือไม่จ่าย มาดูกันว่าทำไมบางคนถึงชอบลงทุนใน “หุ้นปันผล” เป็นพิเศษ? ก็เพราะเขามองหา “กระแสเงินสด” หรือที่เรียกว่า Passive Income นั่นเองครับ นอกจากการได้ลุ้นส่วนต่างราคาหุ้นที่อาจปรับขึ้น เรายังได้เงินสดเข้ากระเป๋าเป็นระยะๆ ตามนโยบายการจ่ายปันผลของบริษัท ถ้าเราเลือกบริษัทที่พื้นฐานดี มีกำไรสม่ำเสมอ แม้ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน ราคาหุ้นอาจขึ้นๆ ลงๆ แต่เราก็ยังมีโอกาสได้รับเงินปันผล ถ้าบริษัทนั้นยังทำกำไรและมีนโยบายจ่ายอยู่ ซึ่งรายได้ส่วนนี้ถ้ามองระยะยาว อาจช่วยเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ด้วยนะครับ (จากข้อมูลในอดีต ผลตอบแทนเฉลี่ยของการลงทุนในหุ้นไทยมักจะสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว) การลงทุนในหุ้นปันผลจึงเหมาะกับคนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ หรือต้องการลงทุนระยะยาวในบริษัทที่แข็งแกร่ง

ทีนี้ คำถามคือ แล้วเราจะเลือก “หุ้นปันผล” ยังไงดีล่ะ? ไม่ใช่แค่เห็นชื่อบริษัทดังๆ แล้วจะซื้อเลยนะครับ ต้องทำการบ้านหน่อย เหมือนเลือกคู่ชีวิตนั่นแหละ ต้องดูพื้นฐานนิสัยใจคอของบริษัทด้วย

อันดับแรก ดูว่าบริษัทนั้นมีฐานะการเงินแข็งแกร่งไหม ธุรกิจที่ทำเป็นผู้นำตลาดหรือมีแบรนด์ที่ผู้บริโภคจดจำได้ดีหรือเปล่า ที่สำคัญ เราต้องเข้าใจธุรกิจของเขาด้วยนะครับ (ลงทุนในสิ่งที่เราเข้าใจ)

ต่อมา ดูประวัติการจ่ายเงินปันผลครับ เขาจ่ายสม่ำเสมอไหม มีแนวโน้มจ่ายเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ไม่ใช่เพิ่งมาจ่ายเยอะๆ ปีเดียว แล้วปีอื่นไม่จ่ายเลย

นอกจากดูประวัติแล้ว ก็ต้องดูสุขภาพการเงินของบริษัท หรือ “งบการเงิน” นั่นเองครับ ดูรายได้ กำไรสุทธิ สินทรัพย์ หนี้สิน กระแสเงินสดต่างๆ รวมถึงอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญๆ (ศัพท์เทคนิคอาจจะเยอะหน่อย เช่น PE, ROA, ROE, DE Ratio แต่หลักๆ คือดูว่าบริษัททำกำไรเก่งไหม มีหนี้เยอะเกินไปหรือเปล่า)

และสิ่งที่เราจะใช้ประเมิน “ความคุ้มค่า” ของหุ้นปันผลโดยตรงเลยก็คือ “อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล” (ศัพท์อังกฤษคือ Dividend Yield) ครับ ตัวนี้คำนวณง่ายๆ จาก (เงินปันผลต่อหุ้น หารด้วย ราคาหุ้น) แล้วคูณด้วย 100 จะออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ครับ เช่น ถ้าหุ้นราคา 10 บาท จ่ายปันผลปีละ 0.50 บาทต่อหุ้น Dividend Yield ก็เท่ากับ (0.50 / 10) * 100 = 5% ตัวเลขนี้เอาไว้เปรียบเทียบความน่าสนใจระหว่างหุ้นแต่ละตัว หรือเทียบกับการลงทุนอื่นๆ เช่น ดอกเบี้ยเงินฝาก

แต่ระวังนะครับ! หุ้นที่ให้ Dividend Yield สูงปรี๊ด อาจไม่ใช่หุ้นที่ดีเสมอไป บางทีที่ Yield สูงมากๆ เพราะราคาหุ้นตกลงมาเยอะ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าธุรกิจกำลังมีปัญหา หรือบางทีมาจากกำไรพิเศษแค่ครั้งเดียว ต้องดูปัจจัยอื่นประกอบด้วยครับ

อีกตัวชี้วัดที่น่าสนใจคือ “อัตราส่วนเงินปันผลต่อกำไร” (Dividend Payout Ratio) ครับ ตัวนี้บอกเราว่า บริษัทเอา “กำไร” ที่ทำได้ในแต่ละงวด มาจ่ายเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่บริษัทมักจะมีนโยบายจ่าย Payout Ratio ที่ค่อนข้างคงที่ เช่น ไม่น้อยกว่า 50% ถ้า Payout Ratio ต่ำ อาจจะเพราะกำไรไม่ดี หรือบริษัทต้องการเก็บเงินไว้ลงทุนมากๆ แต่ถ้า Payout Ratio สูงมากเกินไป (เช่น จ่ายเกือบหมด 100% ของกำไร) อาจบ่งชี้ว่าธุรกิจค่อนข้างอิ่มตัว ไม่ค่อยมีโอกาสลงทุนขยายตัวเท่าไหร่แล้ว

นอกจากตัวเลขพวกนี้ นักลงทุนหุ้นปันผลควรรู้จักเครื่องหมาย “XD” ด้วยนะครับ (ย่อมาจาก Exclude Dividend) เครื่องหมายนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นไว้หลังชื่อหุ้น เพื่อแจ้งให้รู้ว่า ถ้าคุณซื้อหุ้นในวันขึ้นเครื่องหมาย XD หรือหลังจากนั้น คุณจะไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผลสำหรับงวดที่ประกาศจ่ายนั้นแล้วครับ ใครที่อยากได้ปันผล ต้องซื้อหุ้นอย่างน้อย 1 วันทำการ *ก่อน* วันขึ้นเครื่องหมาย XD ครับ ปกติแล้ว วันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD ราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวลดลงประมาณเท่าๆ กับจำนวนเงินปันผลที่ประกาศจ่ายด้วยครับ

อีกเรื่องที่ต้องคำนึงถึงคือ “ภาษี” ครับ เงินปันผลที่เป็นเงินสดที่เราได้รับ จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ครับ แต่ข่าวดีคือ เราสามารถนำยอดภาษีที่ถูกหักนี้ไปขอเครดิตภาษีคืนได้ตอนยื่นภาษีประจำปีครับ (มีวิธีการคำนวณตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ลองศึกษาเพิ่มเติมดูนะครับ)

การลงทุนในหุ้นปันผลมีข้อดีหลายอย่างครับ เช่น ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้น เพราะเรามีรายได้จากเงินปันผลมาช่วยประคอง แม้ราคาหุ้นไม่ขึ้น เราก็ยังมีผลตอบแทน แถมบางทีเราสามารถนำเงินปันผลที่ได้ไปลงทุนต่อยอด ซื้อหุ้นเพิ่ม หรือลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ได้อีกด้วยครับ

แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกัน นอกเหนือจากความเสี่ยงทั่วไปของการลงทุนในหุ้น (ที่ต้องศึกษา ติดตามข่าวสาร และบริหารความเสี่ยงอยู่เสมอ) เงินปันผลก็มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้ตามคาดได้เหมือนกันครับ เช่น ถ้าผลประกอบการบริษัทแย่ลง หรือบริษัทอาจเปลี่ยนนโยบายไปเก็บกำไรไว้ลงทุนแทน นอกจากนี้ การจ่ายปันผลอาจไม่ใช่เงินสดเสมอไป บางทีบริษัทอาจจ่ายเป็นหุ้นปันผลแทนก็ได้ ซึ่งแบบนี้เราจะไม่ได้เงินสด แต่จะได้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นแทน

โดยสรุปแล้ว ปันผล คือ รูปแบบหนึ่งของผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น ที่มาจากการแบ่งกำไรของบริษัท การลงทุนในหุ้นปันผลเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอและลงทุนระยะยาวในธุรกิจที่แข็งแกร่ง

ก่อนตัดสินใจลงทุนหุ้นปันผลตัวไหน ลองดูให้ดีว่าบริษัทนั้นมีพื้นฐานธุรกิจที่ดีจริงไหม มีกำไรสม่ำเสมอและมีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่น่าพอใจหรือเปล่า ใช้เครื่องมืออย่าง Dividend Yield และ Payout Ratio มาประกอบการพิจารณา และอย่าลืมดูภาพรวมของอุตสาหกรรมและภาวะเศรษฐกิจด้วยนะครับ เช่น นโยบายเศรษฐกิจของประเทศ หรือแม้แต่เรื่องอย่างอัตราดอกเบี้ย ก็มีผลต่อความน่าสนใจของการลงทุนแต่ละประเภทครับ

⚠️ จำไว้ว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นตัวไหน หรือกลยุทธ์การลงทุนแบบใด การศึกษาหาข้อมูลให้รอบคอบคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการลงทุนครับ