เจาะลึก amzn หุ้น: โอกาสทอง หรือแค่ภาพลวงตา?

สวัสดีครับทุกคนที่ติดตามคอลัมน์การเงินแบบสบายๆ สไตล์เข้าใจง่าย วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องหุ้นตัวหนึ่งที่เชื่อว่าหลายคนคุ้นเคยกับแบรนด์เขาเป็นอย่างดี ใช่แล้วครับ เรากำลังพูดถึง Amazon.com, Inc. หรือที่ในวงการหุ้นเรียกกันสั้นๆ ว่า AMZN นั่นเอง

ลองนึกภาพตามนะครับ เวลาที่เราอยากได้ของอะไรสักอย่าง แค่กดๆ จิ้มๆ ไม่กี่ที ของก็มาถึงหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว หรือบางทีเราเก็บรูป เก็บไฟล์ไว้บน “คลาวด์” (cloud) ซึ่งก็คือบริการเก็บข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตนี่แหละ รู้ไหมครับว่าเบื้องหลังความสะดวกสบายพวกนี้ ส่วนใหญ่มีเบอร์หนึ่งของโลกอย่าง Amazon เป็นผู้ให้บริการอยู่!

ใช่แล้วครับ Amazon ไม่ได้มีแค่ธุรกิจร้านค้าออนไลน์ยักษ์ใหญ่ที่เราใช้ซื้อของกันอย่างเดียว แต่เขายังเป็นผู้นำในธุรกิจบริการคลาวด์คอมพิวติ้งด้วย ซึ่งส่วนนี้แหละที่ทำกำไรมหาศาลให้บริษัท

ดังนั้น เมื่อเราพูดถึง amzn หุ้น หรือหุ้นของบริษัท Amazon เราไม่ได้กำลังมองแค่บริษัทขายของออนไลน์ธรรมดาๆ นะครับ แต่กำลังมองไปถึงอาณาจักรเทคโนโลยีและโลจิสติกส์ที่มีการดำเนินงานหลากหลายมากๆ ทั่วโลก บริษัทนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) โดย เจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos) ซึ่งตอนนี้ท่านก็ยังเกี่ยวข้องกับบริษัทอยู่ ส่วน CEO คนปัจจุบันคือ แอนดรูว์ อาร์ เจสซี (Andrew R. Jassy) สำนักงานใหญ่อยู่ที่ซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เป็นบริษัทที่ใหญ่โตมากๆ ครับ มีพนักงานทั่วโลกประมาณ 1.5 ล้านคน และเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีสำคัญๆ ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง S&P 500, Dow Jones และกลุ่มที่เคยฮิตสุดๆ อย่าง FAANG (ตอนนี้เรียกกันหลายแบบแล้วแต่จะเน้นหุ้นตัวไหน)

แล้ว Amazon มีรายได้มาจากไหนบ้างล่ะ? หลายคนอาจจะคิดว่าก็มาจากการขายของออนไลน์สิ! ใช่ครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด จากข้อมูลในช่วง 9 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2567 (Q1-Q3 2024) รายได้ของ Amazon แบ่งเป็นส่วนๆ ได้น่าสนใจมากครับ

* ร้านค้าออนไลน์ (Online Stores): ประมาณ 38%
* บริการสำหรับผู้ค้าบุคคลที่สาม (Third-Party Seller Services) หรือบริการที่ให้ร้านค้าอื่นๆ มาฝากขายบนแพลตฟอร์ม Amazon: อันนี้รวมอยู่ในส่วนอีคอมเมิร์ซด้วยครับ สัดส่วนเฉพาะบริการนี้สูงพอสมควรเลย
* **Amazon Web Services (AWS)**: นี่คือพระเอกครับ สัดส่วนรายได้ประมาณ 24% แต่ส่วนนี้มีกำไรสูงมาก
* บริการโฆษณา (Advertising Services): อันนี้มาแรงมากครับ สัดส่วนประมาณ 8.65% ลองคิดดูสิครับ Amazon รู้ว่าเราสนใจอะไรจากประวัติการซื้อหรือการดูสินค้า เขาก็เอาข้อมูลนี้ไปยิงโฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมายได้ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตดีและทำกำไรได้อีกทาง
* บริการสมัครสมาชิก (Subscription Services) เช่น Amazon Prime: สัดส่วนประมาณ 7.3% อันนี้สร้างความผูกพันกับลูกค้า ให้สิทธิพิเศษต่างๆ
* ร้านค้าจริง (Physical Stores): ใช่ครับ เขาก็มีร้านจริงด้วย สัดส่วนประมาณ 17.5%
* อื่นๆ ก็มีอีกเล็กน้อย

จะเห็นได้ว่าโครงสร้างรายได้ของ Amazon มีความหลากหลายมากๆ ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี ไม่ได้พึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากเกินไป แต่หัวใจหลักที่ทำกำไรและขับเคลื่อนการเติบโตในยุคนี้คือ AWS นั่นเองครับ AWS เป็นผู้นำตลาดคลาวด์ ครองส่วนแบ่งตลาดเยอะที่สุด และเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง AI (ปัญญาประดิษฐ์) และ Machine Learning (การเรียนรู้ของเครื่อง)

มาดูผลประกอบการล่าสุดกันบ้างครับ รายงานประจำไตรมาสล่าสุด (ไตรมาส 1 ปี พ.ศ. 2568 หรือ Q1 2025) แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะเรื่องกำไรครับ

* กำไรต่อหุ้น หรือ EPS (Earnings Per Share – กำไรที่บริษัททำได้ต่อหุ้นหนึ่งหน่วย): ทำได้ถึง 1.86 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.49 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 25% เลยทีเดียว! นี่ถือว่าเป็นข่าวดีที่ทำให้ตลาดหุ้นคึกคักครับ
* รายได้รวม: อยู่ที่ 187.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ก็สูงกว่าที่คาดเล็กน้อย
* รายได้สุทธิ (กำไรหลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว): ทำได้ถึง 20 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 30.5%

ทีนี้เจาะลึกรายกลุ่มธุรกิจที่เล่าไปเมื่อกี้

* ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (รวมร้านค้าออนไลน์และบริการผู้ค้าบุคคลที่สาม): เติบโตประมาณ 5% ส่วนหนึ่งมาจากการบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์ (การขนส่งและคลังสินค้า) ที่ดีขึ้น และกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่าง Prime Day ที่ได้รับความนิยม
* ธุรกิจโฆษณา: เติบโตโดดเด่นถึง 17.7% แสดงว่าธุรกิจนี้ยังไปได้สวย
* **AWS**: รายได้เติบโต 17% ซึ่งฟังดูดีใช่ไหมครับ? แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งหลักในตลาดคลาวด์อย่าง Microsoft Azure ที่เติบโต 31% หรือ Google Cloud ที่เติบโต 30% จะเห็นว่า AWS เติบโตช้ากว่าอยู่บ้าง แต่! จุดที่ AWS น่าสนใจมากๆ และเป็นพระเอกของไตรมาสนี้คือ “อัตรากำไร” ครับ! อัตรากำไรของ AWS อยู่ที่ 39.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ด้วย

เบื้องหลังอัตรากำไรที่สูงของ AWS ส่วนหนึ่งมาจากการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น และการลงทุนในการพัฒนาชิปประมวลผลที่ออกแบบเอง เช่น ชิป Trainium 2 สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ หรือชิป Graviton สำหรับงานประมวลผลทั่วไป การทำชิปเองช่วยให้ Amazon ควบคุมทั้งประสิทธิภาพและต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น ทำให้แม้รายได้จะเติบโตช้ากว่าคู่แข่ง แต่ความสามารถในการทำกำไรกลับโดดเด่น

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มสำหรับไตรมาสหน้า (Q2 2025) ที่บริษัทให้ “แนวทาง” (Guidance – คือประมาณการคร่าวๆ ที่บริษัทคาดว่าจะทำได้) มานั้น ค่อนข้างกว้างครับ ประมาณการกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 13 ถึง 17.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งค่ากลาง (midpoint) ของช่วงนี้ยังต่ำกว่าที่ตลาดเคยมองไว้ และบริษัทเองก็พูดถึง “นโยบายภาษี” เป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณาด้วย นี่อาจจะเป็นจุดที่ต้องจับตาดูต่อไปครับ

มาถึงเรื่องของ amzn หุ้น กันบ้างครับ ในมุมของราคาหุ้น Amazon มีประวัติการเติบโตที่น่าทึ่งมากๆ ตั้งแต่เข้าตลาดหุ้น ราคาปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 162,000% ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา! เคยมีการแตกหุ้นมา 3 ครั้ง ครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) การแตกหุ้นคือการแบ่งหุ้นหนึ่งหน่วยออกเป็นหลายหน่วย ทำให้ราคาต่อหุ้นถูกลง ช่วยให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงได้ง่ายขึ้นในอดีต

ในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้น AMZN ก็ปรับตัวขึ้นได้ดีเช่นกันครับ จากข้อมูลล่าสุด (ณ วันที่ข้อมูลถูกรวบรวม) ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นขึ้นมามากกว่า 51% และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ก็ขึ้นมาประมาณ 30% แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัท

ความผันผวนของราคาหุ้น AMZN อยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางสูงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม ดูจากค่า Beta (ตัวเลขที่บอกว่าหุ้นตัวนี้มีแนวโน้มที่จะผันผวนมากกว่าหรือน้อยกว่าตลาดแค่ไหน) ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.14 – 1.39 (ค่า Beta มากกว่า 1 แปลว่ามีแนวโน้มผันผวนมากกว่าตลาด) มูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap – มูลค่ารวมของบริษัทในตลาดหุ้น) ตอนนี้ก็ใหญ่มหึมาถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ส่วนเรื่องอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ PE Ratio (Price-to-Earnings Ratio – อัตราส่วนที่บอกว่าราคาหุ้นแพงเป็นกี่เท่าของกำไรต่อหุ้น) ของ AMZN อยู่ที่ประมาณ 55 เท่า ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงครับ PE สูงมักจะสะท้อนความคาดหวังของนักลงทุนที่เชื่อว่าบริษัทจะเติบโตได้สูงในอนาคต

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มอง amzn หุ้น ในเชิงบวกสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยใน 1 ปีข้างหน้าที่ประมาณ 209.75 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ช่วงราคาเป้าหมายก็กว้างทีเดียวครับ มีตั้งแต่ต่ำสุด 195 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปจนถึงสูงสุด 290 ดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว ความกว้างของช่วงนี้บอกเราได้ว่านักวิเคราะห์เองก็มีความเห็นที่หลากหลายและมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา

แน่นอนว่า Amazon ไม่ได้ดำเนินธุรกิจอยู่คนเดียว เขามีคู่แข่งที่น่ากลัวในทุกสนามครับ

* ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ คู่แข่งหลักในสหรัฐฯ ก็หนีไม่พ้น Walmart ส่วนในระดับโลกก็มี Alibaba จากจีนที่เป็นคู่แข่งคนสำคัญ
* แต่สมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดน่าจะเป็นธุรกิจคลาวด์ (AWS) คู่แข่งสำคัญคือ Microsoft Azure และ Google Cloud ซึ่งอย่างที่เห็นจากผลประกอบการล่าสุด คู่แข่งทั้งสองรายนี้มีการเติบโตของรายได้ในธุรกิจคลาวด์ที่เร่งตัวขึ้นกว่า AWS ในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของ Amazon ในการแข่งขันยุคนี้คือการไม่หยุดนิ่งด้านนวัตกรรม โดยเฉพาะการลงทุนด้าน AI และการพัฒนาชิปประมวลผลของตัวเอง ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถนำเสนอบริการที่มีประสิทธิภาพสูงและควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า

สำหรับนักลงทุนในประเทศไทยที่สนใจ amzn หุ้น เราสามารถลงทุนในหุ้น Amazon ได้เช่นกันครับ ผ่านสิ่งที่เรียกว่า DR หรือ ใบสำคัญแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง (Depository Receipt) บนหุ้น AMZN ซึ่งออกโดยสถาบันการเงินในไทย อย่าง DR บนหุ้น AMZN นี้ออกโดยธนาคารกรุงไทย (KTB) DR เปรียบเสมือนใบรับรองที่เราเป็นเจ้าของสิทธิในหุ้นต่างประเทศตัวนั้น โดยไม่ต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในต่างประเทศเอง ทำให้สะดวกและเข้าถึงง่ายขึ้นสำหรับนักลงทุนไทยครับ

สรุปภาพรวมแล้ว จากข้อมูลและมุมมองของนักวิเคราะห์หลายท่าน มองว่า Amazon ยังคงเป็นบริษัทที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว ด้วยโมเดลธุรกิจที่หลากหลาย มี AWS เป็นเครื่องจักรทำกำไรที่แข็งแกร่ง และยังขยายตัวในธุรกิจโฆษณาและบริการสมัครสมาชิกได้ดี แม้จะต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงก็ตาม

**⚠️ ข้อแนะนำและข้อควรระวัง ⚠️**

ก่อนตัดสินใจลงทุนใน amzn หุ้น หรือหุ้นตัวไหนก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำการบ้านด้วยตัวเองครับ ข้อมูลที่ผมนำเสนอเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

1. **ทำความเข้าใจธุรกิจ:** ศึกษาให้ลึกกว่านี้ว่า Amazon ทำอะไรบ้าง แต่ละส่วนมีอนาคตอย่างไร
2. **ดูผลประกอบการย้อนหลัง:** ดูแนวโน้มรายได้ กำไร ความสามารถในการทำกำไร
3. **พิจารณาปัจจัยเสี่ยง:** เช่น การแข่งขันที่สูงมากในธุรกิจคลาวด์, การเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆ (อย่างที่บริษัทเองก็พูดถึง “นโยบายภาษี”), ความผันผวนของตลาดหุ้นเทคโนโลยี, ปัญหาด้านแรงงานจำนวนมหาศาล, หรือแม้แต่ประเด็นเรื่องการผูกขาด
4. **ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง:** การลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีที่มี PE สูง มีความผันผวนได้ง่าย และมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนเงินต้นได้ หากคุณเป็นคนที่รับความเสี่ยงได้น้อย หรือเงินทุนก้อนนี้เป็นเงินที่ต้องใช้ในระยะสั้น อาจจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบมากๆ ครับ
5. **ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:** หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินที่ได้รับอนุญาต

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ และผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นเครื่องยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคตได้ครับ

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านเข้าใจภาพรวมของ AMZN หุ้น ได้มากขึ้นนะครับ แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์หน้าครับ!