เปิดโลก “รูปเทรดหุ้น”: อ่านเกมกราฟ จับจังหวะทำกำไร ไม่มั่ว!

ตลาดหุ้นวันนี้ดูจะเงียบเหงาไปสักหน่อยนะครับ หลังผ่านวันหยุดยาวมา หลายคนคงยังรู้สึกอ้อยอิ่งกับบรรยากาศพักผ่อน แต่ในโลกของการลงทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้นนั้น เรื่องราวไม่เคยหยุดนิ่งเลยแม้แต่วันเดียว ยิ่งเป็นช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงแบบนี้ การ “อ่านเกม” ให้ออกจึงสำคัญมาก เครื่องมือหนึ่งที่นักลงทุน นักเทรดหุ้น หรือที่ภาษาเราๆ เรียกว่า “รูปเทรดหุ้น” มักใช้กันก็คือ การวิเคราะห์กราฟ หรือที่เรียกเป็นทางการหน่อยว่า การวิเคราะห์ทางเทคนิค

คุณผู้อ่านหลายท่านอาจจะเคยมองกราฟราคาหุ้นแล้วรู้สึกว่า มันก็แค่เส้นๆ แท่งๆ จะไปบอกอะไรได้? แต่จริงๆ แล้ว เบื้องหลัง รูปเทรดหุ้น เหล่านี้ซ่อนเรื่องราวของมวลชนอยู่ครับ มันสะท้อนพฤติกรรมของนักลงทุนจำนวนมหาศาลที่กำลังแย่งกันซื้อ แย่งกันขาย ทำให้เกิดรูปแบบบางอย่างที่มักจะเกิดซ้ำๆ เหมือนพฤติกรรมมนุษย์ที่เดาได้นั่นแหละครับ การรู้และเข้าใจ รูปเทรดหุ้น พื้นฐานเหล่านี้ เหมือนมีแผนที่คร่าวๆ ในมือ ช่วยให้เราพอมองเห็นทิศทางที่เป็นไปได้ของราคา ว่ากำลังจะไปต่อในทางเดิม หรือกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง

ลองนึกภาพตามนะครับ สมมติว่าคุณกำลังขับรถไปตามถนน แล้วเห็นป้ายเตือนว่า “ทางโค้งอันตราย” หรือ “ทางลงเขาลาดชัน” ป้ายพวกนี้ก็เหมือน รูปเทรดหุ้น นั่นแหละครับ มันไม่ได้การันตีว่าคุณจะต้องเกิดอุบัติเหตุ แต่เป็นสัญญาณเตือนให้คุณระมัดระวัง ลดความเร็ว เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นข้างหน้า ในโลกของการเทรดหุ้น รูปเทรดหุ้น แบ่งง่ายๆ ได้ 3 แบบใหญ่ๆ ครับ แบบแรกคือ รูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Patterns) หมายถึง รูปแบบที่บอกว่า แนวโน้มเดิมที่กำลังเกิดขึ้น น่าจะดำเนินต่อไป เช่น ถ้าหุ้นกำลังเป็นขาขึ้น แล้วเจอปรูปแบบต่อเนื่อง ก็คาดได้ว่าน่าจะขึ้นต่อไปได้อีก แบบที่สองคือ รูปแบบกลับตัว (Reversal Patterns) อันนี้ตรงข้ามเลยครับ มันเป็นสัญญาณเตือนว่า แนวโน้มเดิมกำลังจะสิ้นสุดลง และมีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนทิศทาง เช่น ถ้าหุ้นขาขึ้นมานาน แล้วเจอปรูปแบบกลับตัว อาจจะหมายความว่าแรงซื้อเริ่มหมด แรงขายกำลังจะเข้ามาแทนที่ และแบบสุดท้ายคือ รูปแบบที่เป็นไปได้ทั้งสองทาง (Bilateral Patterns) แบบนี้ตลาดยังไม่ตัดสินใจชัดเจน อาจจะไปทางไหนก็ได้ ต้องรอดูการเคลื่อนไหวของราคาหลังจากเกิดรูปแบบนั้นๆ เป็นการยืนยันอีกที

การพิจารณา รูปเทรดหุ้น ไม่ได้ใช้แค่กราฟเส้นนะครับ เรายังใช้กับกราฟแท่ง (Bar Chart) หรือที่นิยมมากๆ คือ กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) ซึ่งให้รายละเอียดมากกว่า และเมื่อเราเห็น รูปเทรดหุ้น ที่น่าสนใจ เราก็สามารถใช้มันช่วยในการตัดสินใจหา “จุดเข้า” (Entry Point) คือจุดที่เราจะเริ่มซื้อ หรือ “จุดออก” (Exit Point) คือจุดที่เราจะขายทำกำไรหรือตัดขาดทุน รวมถึงการกำหนดระดับราคาสำคัญๆ เช่น “แนวรับ” (Support) ซึ่งเปรียบเสมือนพื้น ที่ราคามักจะเด้งขึ้นเมื่อลงมาถึง และ “แนวต้าน” (Resistance) ซึ่งเปรียบเสมือนเพดาน ที่ราคามักจะชนแล้วย่อลงไป การใช้ รูปเทรดหุ้น ร่วมกับแนวรับแนวต้าน จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนการเทรดของเราได้ครับ

เอาล่ะครับ ไหนๆ ก็พูดถึง รูปเทรดหุ้น แล้ว เรามาดูตัวอย่างรูปแบบกลับตัวที่สำคัญๆ กันหน่อยดีกว่า รูปแบบแรกที่คลาสสิกมากๆ และหลายคนรู้จัก คือ รูปแบบหัวและไหล่ (Head and Shoulders) ครับ รูปแบบนี้มักจะปรากฏขึ้นหลังจากที่หุ้นขึ้นมาอย่างยาวนาน เป็นสัญญาณเตือนการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง หน้าตาจะเหมือนคนมีไหล่สองข้างและมีหัวอยู่ตรงกลาง (ราคาทำจุดสูงสุดสามจุด โดยจุดกลาง สูงสุดกว่าอีกสองจุด) สิ่งที่เราต้องจับตาคือเส้นที่ลากเชื่อมจุดต่ำสุดสองจุดที่เกิดขึ้นระหว่างไหล่กับหัว เส้นนี้เรียกว่า “Neckline” หรือเส้นคอเสื้อ ถ้าเมื่อไหร่ที่ราคาตกลงทะลุเส้น Neckline ลงมาได้ นั่นแหละครับ คือสัญญาณยืนยันการกลับตัวเป็นขาลงอย่างมีนัยสำคัญ แสดงว่าแรงขายเริ่มเข้ามามีอำนาจเหนือตลาดแล้ว

กลับกัน ถ้าเจอ รูปแบบหัวและไหล่กลับด้าน (Inverse Head and Shoulders) อันนี้เป็นพี่น้องฝาแฝดของรูปแบบแรก แต่กลับหัวลง มักเกิดหลังจากที่หุ้นลงมาอย่างยาวนาน เป็นสัญญาณกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น หน้าตาเหมือนหัวและไหล่คว่ำลง จุดสำคัญก็ยังคงเป็นเส้น Neckline เหมือนเดิม แต่คราวนี้ถ้าเมื่อไหร่ที่ราคาทะลุเส้น Neckline ขึ้นไปได้ นั่นคือสัญญาณยืนยันการกลับตัวเป็นขาขึ้น แสดงว่าแรงซื้อเริ่มกลับเข้ามาอย่างแข็งขันแล้ว

ต่อมาคือ รูปแบบ Double Top (ดับเบิ้ล ท็อป) และ Double Bottom (ดับเบิ้ล บอททอม) สองรูปแบบนี้ก็เป็น รูปเทรดหุ้น ที่นิยมใช้บอกสัญญาณกลับตัวเช่นกัน Double Top มักเกิดในแนวโน้มขาขึ้น เมื่อราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุด 2 ครั้งในระดับใกล้เคียงกัน แต่ไม่สามารถผ่านแนวต้านนั้นไปได้แล้วย่อลงมา การที่ราคาไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ 2 ครั้งติด เป็นการบอกว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนกำลัง และมีแรงขายกดดันลงมาเยอะ ถ้าเมื่อไหร่ที่ราคาตกลงมาทะลุจุดต่ำสุดที่อยู่ระหว่างยอดสองยอดลงไปได้ นั่นคือสัญญาณยืนยันการกลับตัวเป็นขาลง รูปแบบนี้จะยิ่งมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ถ้าเกิดร่วมกับสัญญาณ Bearish Divergence ในเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ ครับ

ส่วน Double Bottom ก็ตรงข้ามกับ Double Top ครับ เกิดในแนวโน้มขาลง เมื่อราคาลงไปทำจุดต่ำสุด 2 ครั้งในระดับใกล้เคียงกัน แต่ไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้แล้วเด้งขึ้นมา การที่ราคาไม่สามารถลงต่ำกว่าเดิมได้ 2 ครั้งติด บอกว่าแรงขายเริ่มหมด และมีแรงซื้อเข้ามาดันราคาขึ้น ถ้าเมื่อไหร่ที่ราคาทะลุจุดสูงสุดที่อยู่ระหว่างฐานสองฐานขึ้นไปได้ นั่นคือสัญญาณยืนยันการกลับตัวเป็นขาขึ้น รูปแบบนี้ก็จะยิ่งน่าเชื่อถือถ้าเกิดร่วมกับสัญญาณ Bullish Divergence ครับ

อีก รูปเทรดหุ้น ที่น่าสนใจคือ รูปแบบก้นถ้วย (Cup/ Rounding Bottom) รูปแบบนี้บอกการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้นเช่นกัน แต่จะแตกต่างจาก Double Bottom ตรงที่การฟอร์มตัวของราคาจะเป็นลักษณะโค้งมน ค่อยๆ ลง ไม่ได้มีจุดต่ำสุดแหลมๆ ชัดเจน 2 จุด ซึ่ง รูปเทรดหุ้น แบบนี้มักจะใช้เวลาก่อตัวนานกว่า สะท้อนถึงการสะสมกำลังซื้ออย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อนที่จะเริ่มขยับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญครับ

การเรียนรู้ รูปเทรดหุ้น เหล่านี้ เหมือนกับการเรียนรู้ตัวอักษร เพื่อที่จะนำไปประกอบเป็นคำ เป็นประโยค การใช้ รูปเทรดหุ้น เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ เราควรใช้มันร่วมกับเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น อินดิเคเตอร์ (Indicators) ต่างๆ หรือการดูปริมาณการซื้อขาย (Volume) เพื่อให้ได้สัญญาณที่แข็งแกร่งมากขึ้นครับ

วกกลับมาดูสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2567 กันหน่อยดีกว่าครับ หลังจากที่ตลาดแกว่งตัวมาพักใหญ่ รูปเทรดหุ้น หลายตัวที่นักวิเคราะห์จับตาก็อาจจะเริ่มฟอร์มตัวให้เห็นสัญญาณบางอย่าง วันนั้นดัชนีหลักทรัพย์ไทย (SET) ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง โดย SET ปิดที่ 1,146.86 จุด ลดลง 6.91 จุด คิดเป็น -0.60% มูลค่าการซื้อขายรวมใน SET อยู่ที่ประมาณ 40,628.92 ล้านบาท ส่วนตลาดหุ้น mai ก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน ปิดที่ 259.71 จุด ลดลง 5.07 จุด คิดเป็น -1.91% มูลค่าการซื้อขายประมาณ 537.17 ล้านบาท

ถ้าดูจำนวนหุ้นรายตัวใน SET วันที่ 17 มิ.ย. 2567 หุ้นที่ราคาเพิ่มขึ้นมี 248 หลักทรัพย์ ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 200 หลักทรัพย์ และราคาลดลง 211 หลักทรัพย์ ส่วนใน mai หุ้นขึ้น 74 ตัว ไม่เปลี่ยน 69 ตัว และลง 74 ตัว ตัวเลขพวกนี้บอกให้เห็นภาพรวมคร่าวๆ ว่าวันนั้นแรงขายดูจะมากกว่าแรงซื้อในภาพใหญ่ แต่ก็ยังมีหุ้นรายตัวที่สามารถยืนบวกหรือรักษาระดับราคาไว้ได้ ซึ่ง รูปเทรดหุ้น ของหุ้นแต่ละตัวก็อาจจะแตกต่างกันไปครับ

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เมื่อดูภาพรวมมูลค่าการซื้อขายแยกตามประเภทนักลงทุนในวันนั้น (17 มิ.ย. 2567) เราพบว่านักลงทุนต่างประเทศมียอดขายสุทธิค่อนข้างมาก คือขายมากกว่าซื้อเป็นมูลค่าถึง 2,706.28 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนในประเทศกลับเป็นฝั่งซื้อสุทธิที่ 2,233.49 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์มียอดซื้อขายสุทธิไม่มากนัก การที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่กดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา และส่งผลต่อ รูปเทรดหุ้น ของหุ้นหลายๆ ตัวให้เป็นไปในทิศทางขาลง

นอกเหนือจากการดู รูปเทรดหุ้น และตัวเลขตลาดแล้ว สิ่งที่นักเทรดหุ้นต้องคอยติดตามอยู่เสมอคือข่าวสารและประกาศต่างๆ จากตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะบางครั้งมีประเด็นเฉพาะตัวที่ส่งผลกระทบกับหุ้นบางตัวได้โดยตรง อย่างเช่นในวันเดียวกันนั้น (17 มิ.ย. 2567) ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็มี Market Alert แจ้งเตือนให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์ KCCAMC เนื่องจากกำลังจะมีการนำหุ้นของ บมจ.ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง (KCC) เข้ามาจดทะเบียนแทน ซึ่งหมายความว่าหลักทรัพย์ KCCAMC เดิมจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่อง รูปเทรดหุ้น ครับ แต่เป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องรู้ เพราะมีผลโดยตรงกับการลงทุนในหุ้นตัวนั้นๆ เลย

คุณอาจจะถามว่า แล้วถ้าเราเห็น รูปเทรดหุ้น สวยๆ ที่บ่งชี้ว่าราคาจะขึ้น เราควรจะเข้าซื้อเลยไหม? คำตอบคือ “ยังก่อนครับ” รูปเทรดหุ้น เป็นแค่เครื่องมือหนึ่ง มันไม่ใช่ยาวิเศษที่จะทำให้เรารวยได้ข้ามคืน การใช้ รูปเทรดหุ้น ให้ได้ผล ต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย ทั้งการบริหารจัดการเงินทุน (Money Management) การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) การดูข่าวสารปัจจัยพื้นฐานของบริษัท รวมถึงการทำความเข้าใจภาวะตลาดโดยรวม และที่สำคัญที่สุดคือ “จิตวิทยาการลงทุน” ของตัวเราเอง

ลองนึกย้อนไปช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 หรือวิกฤตการเงินโลกปี 2551 (ปี 2008) ช่วงนั้นตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งเหว หุ้นหลายตัวทำ รูปเทรดหุ้น ที่เป็นขาลงอย่างชัดเจน ซึ่งหากนักลงทุนที่ศึกษา รูปเทรดหุ้น มา ก็อาจจะพอเห็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าและสามารถปรับพอร์ต หรือชะลอการลงทุนออกไปได้ แต่ถึงเห็นสัญญาณแล้ว การตัดสินใจซื้อขายภายใต้ความกลัวและความตื่นตระหนกของตลาด ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ

ดังนั้น การศึกษา รูปเทรดหุ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีครับ ช่วยให้เรามีเครื่องมือในการมองตลาด มองราคา แต่จำไว้เสมอว่า ไม่มี รูปเทรดหุ้น ไหนแม่นยำ 100% ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ

สรุปส่งท้าย สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มสนใจ รูปเทรดหุ้น หรือกำลังจะก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้น การเรียนรู้รูปแบบกราฟพื้นฐานต่างๆ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากครับ ช่วยให้เราเข้าใจกลไกราคาที่เกิดจากพฤติกรรมมวลชนได้ดีขึ้น แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือการนำความรู้เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ และที่สำคัญที่สุดคือ การบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด ไม่ใช้เงินทั้งหมดที่มีไปกับหุ้นเพียงตัวเดียว หรือเชื่อสัญญาณจาก รูปเทรดหุ้น เพียงอย่างเดียวโดยไม่มองปัจจัยอื่นประกอบ

⚠️ หากคุณผู้อ่านมีเงินทุนจำกัด หรือเป็นเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น การลงทุนในหุ้นโดยอิง รูปเทรดหุ้น หรือการวิเคราะห์ทางเทคนิค อาจจะยังมีความเสี่ยงสูงเกินไปครับ ควรศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ทดลองดูกราฟ ฝึกอ่าน รูปเทรดหุ้น ในตลาดจำลอง หรือใช้เงินจำนวนน้อยมากๆ ที่ยอมรับความเสี่ยงได้ในการเริ่มต้นก่อนเสมอ จำไว้ว่า “รู้แล้วต้องเข้าใจ และนำไปปรับใช้ด้วยความระมัดระวัง” ครับ โชคดีกับการเทรดหุ้นทุกคนนะครับ!