หุ้น กาแฟ อ เม ซอน: ลงทุนถูกตัว รวยยั่งยืน ไม่โดนหลอก!

เช้าๆ ตื่นมาใครไม่แวะ Cafe Amazon บ้างครับ? กลิ่นกาแฟหอมๆ ที่คุ้นเคย หาได้ง่ายตามปั๊ม ปตท. ทั่วประเทศ บางทีเราก็รู้สึกผูกพันกับแบรนด์นี้ จนอยากจะ “เป็นเจ้าของ” เป็นส่วนหนึ่งกับเขาบ้าง เลยมีคำถามผุดขึ้นมาในใจว่า เอ๊ะ เราจะลงทุนใน “หุ้น กาแฟ อ เม ซอน” ได้ยังไงนะ?

แต่พักหลังๆ ได้ยินข่าวแปลกๆ ว่ามีคนมาชวนลงทุนใน “หุ้น Amazon” ที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับ Cafe Amazon บ้าง อ้างผลตอบแทนสูงลิ่วบ้าง แถมบางทีก็ใช้โลโก้หรือชื่อ Cafe Amazon มาประกอบให้ดูน่าเชื่อถืออีกต่างหาก ตรงนี้ต้องขอย้ำชัดๆ เลยนะครับ! บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เจ้าของ Cafe Amazon ตัวจริง เสียงจริง ได้ออกมาชี้แจงอย่างเป็นทางการแล้วว่า “ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” กับการชวนลงทุนที่แอบอ้างชื่อ Cafe Amazon เหล่านี้เลยครับ และ OR ก็ไม่ได้มีนโยบายเปิดให้ใครมาซื้อขายหุ้น Cafe Amazon โดยตรงเป็นการเฉพาะด้วย การลงทุนใน OR ก็คือการซื้อ “หุ้น OR” ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนี่แหละครับ ไม่ใช่มีหุ้น Cafe Amazon แยกออกมาขายแบบพิเศษอะไรเลย

นี่แหละครับคือจุดที่หลายคนอาจจะสับสน เพราะพอพูดถึง “หุ้น Amazon” มันดันมีอีกบริษัทหนึ่งที่เป็นยักษ์ใหญ่ระดับโลกจริงๆ ชื่อ Amazon.com (NASDAQ: AMZN) ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับ Cafe Amazon โดยสิ้นเชิง วันนี้ผมในฐานะคนเขียนคอลัมน์การเงิน เลยอยากจะชวนคุย ชวนทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้กระจ่าง พร้อมพาไปดูทั้งสอง “Amazon” นี้ว่าเป็นยังไงกันบ้าง ทั้งในแง่ธุรกิจและผลประกอบการล่าสุด จะได้ไม่หลงไปกับการชวนลงทุนที่ดูน่าสงสัยนะครับ

พอพูดถึง OR หรือหุ้นของ ปตท. น้ำมันและการค้าปลีกฯ หลายคนจะนึกถึงปั๊ม ปตท. และแน่นอน “Cafe Amazon” ร้านกาแฟคู่ใจคนไทย ซึ่งเป็นหัวหอกสำคัญในกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ของ OR นอกเหนือจากธุรกิจหลักคือกลุ่มธุรกิจ Mobility หรือธุรกิจน้ำมัน ที่เราขับรถไปเติมกันเป็นประจำ ผลประกอบการปี 2567 ของ OR อาจจะดูแผ่วลงไปหน่อยเมื่อเทียบกับปี 2566 ตัวเลขกำไรสุทธิอยู่ที่ 7,650.31 ล้านบาท ลดลงประมาณ 31% สาเหตุหลักๆ ก็มาจากกลุ่มธุรกิจน้ำมันนี่แหละครับ ที่ปริมาณการขายลดลง และราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ปรับตัวลดลงด้วย ทำให้รายได้รวมลดลงไปประมาณเกือบ 6% เหมือนกัน

แต่ในส่วนของธุรกิจไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะ Cafe Amazon นี่คือ “พระเอก” ครับ! แม้ภาพรวม OR จะมีรายได้ลดลง แต่รายได้จากกลุ่มไลฟ์สไตล์กลับ “เพิ่มขึ้น” กว่า 8% เลยทีเดียว ซึ่งมาจากการขยายสาขาร้านค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มนี่แหละครับ ปีที่แล้ว OR ขยายสาขา Cafe Amazon ไปถึง 4,462 สาขาในประเทศไทย (เพิ่มขึ้น 281 สาขาจากปีก่อน) และที่น่าทึ่งคือ ขายกาแฟไปได้ “กว่า 400 ล้านแก้ว” คิดดูสิครับว่าเยอะขนาดไหน! ยิ่งไปกว่านั้น ผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2567 ที่เป็นช่วงปลายปีก็ดูดีขึ้นอย่างชัดเจนในทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งรายได้และกำไรฟื้นตัวขึ้นมาได้ดีมาก แสดงให้เห็นถึงสัญญาณเชิงบวกในช่วงท้ายปี และทางผู้บริหาร OR เองก็มองว่าปี 2568 แนวโน้มโดยรวมน่าจะดีขึ้นกว่าเดิม ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการบริโภคในประเทศ แถมยังมีการปรับกลยุทธ์ ทบทวนธุรกิจที่ไม่ทำกำไร และเน้นตัวที่แข็งแกร่งอย่าง Cafe Amazon มากขึ้นด้วยครับ นี่ยังไม่รวมเรื่องความยั่งยืนที่ OR ได้รับรางวัลระดับสูงสุด SET ESG Ratings “AAA” ต่อเนื่องสองปีซ้อน และติดอันดับ 1 ดัชนีความยั่งยืน DJSI ในกลุ่มค้าปลีกเป็นปีที่สองอีก แสดงถึงการบริหารจัดการที่ดีในระยะยาว

ทีนี้มาดู “หุ้น Amazon” อีกตัว ที่ไม่ใช่กาแฟ แต่เป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกชื่อ Amazon.com สัญลักษณ์หุ้นคือ AMZN ซื้อขายกันที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) เจ้านี้เขาทำธุรกิจหลากหลายมากครับ เริ่มแรกเป็นร้านขายหนังสือออนไลน์เล็กๆ ของคุณ Jeff Bezos (เจฟฟ์ เบโซส) เมื่อปี 1994 แต่ตอนนี้ขยายอาณาจักรไปไกลลิบ เป็นผู้นำร้านค้าปลีกออนไลน์อันดับ 1 ของโลก มีสินค้าแทบทุกอย่างที่คุณนึกออก นอกจากนี้ยังมีบริการสมาชิก Prime ที่มีคนใช้ทั่วโลกกว่า 200 ล้านคน ให้สิทธิประโยชน์มากมาย ทั้งส่งของเร็ว ฟรี และเข้าถึงคอนเทนต์บันเทิงต่างๆ

แต่ “ขุมทรัพย์” จริงๆ ของ Amazon คือ Amazon Web Services หรือ AWS บริการ “คลาวด์คอมพิวติ้ง” ที่อธิบายง่ายๆ คือ การให้เช่าโครงสร้างพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เก็บข้อมูล พลังประมวลผล หรือฐานข้อมูลต่างๆ เหมือนเราไปเช่าพื้นที่บนอินเทอร์เน็ต เช่าคอมพิวเตอร์พลังสูงๆ ของเขามาใช้ ไม่ต้องลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลเอง ซึ่งธุรกิจนี้ “ทำกำไรสูงมาก” ครับ! ถึงแม้รายได้จาก AWS จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 13% ของรายได้รวมทั้งหมด แต่ “กำไร” กว่าครึ่งบริษัทมาจากตรงนี้เลยครับ และเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังมาแรง เพราะการประมวลผล AI ต้องใช้พลังงานและโครงสร้างพื้นฐานมหาศาล ซึ่ง AWS นี่แหละคือผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุดในตลาด มีส่วนแบ่งตลาดสูงกว่าคู่แข่งอย่าง Microsoft Azure ด้วยซ้ำไป

มาดูผลประกอบการของ Amazon (AMZN) ในปี 2567 (หรือปี 2024 ตามข้อมูล) ที่ผ่านมาก็เรียกว่า “แข็งแกร่ง” ครับ รายได้สุทธิรวมทั่วโลกอยู่ที่ 638 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตขึ้น 11% จากปีก่อน และที่น่าสนใจคือ “กำไรสุทธิ” พุ่งกระฉูดไป 59.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ทำได้ 30.4 พันล้านดอลลาร์ฯ ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 (Q4/2024) ก็ทำผลงานได้ดีเกินคาด รายได้อยู่ที่ 187.8 พันล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้น 10% ส่วนกำไรจากการดำเนินงานก็สูงถึง 21.2 พันล้านดอลลาร์ฯ เรียกได้ว่าฟื้นตัวจากปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนผลประกอบการคือการเติบโตของ AWS นั่นเอง ที่รายได้พุ่งขึ้น 19% ใน Q4/2024 สะท้อนถึงความต้องการใช้บริการคลาวด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกระแส AI นอกจากนี้ ธุรกิจร้านค้าปลีกออนไลน์ในอเมริกาเหนือก็ยังทำได้ดี การขยายบริการ Prime ที่ทำให้ส่งของได้เร็วขึ้นก็มีส่วนช่วย ส่วนธุรกิจในต่างประเทศก็เติบโตได้ดีเช่นกัน แม้จะมีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนบ้าง

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็มองเชิงบวกต่อหุ้น Amazon (AMZN) ครับ หลายคนเชื่อว่าการเติบโตของเทคโนโลยี AI และบริการ Cloud Computing จะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กับผลประกอบการและราคาหุ้นในอนาคต แม้ราคาหุ้น AMZN จะขึ้นชื่อเรื่อง “ความผันผวน” สูง และมูลค่าตลาดก็ใหญ่มากติดอันดับโลก แต่ธุรกิจ Cloud ที่แข็งแกร่ง และการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI หรือโครงการอินเทอร์เน็ตดาวเทียม Project Kuiper ก็เป็นปัจจัยที่นักลงทุนจับตามอง สำหรับคนไทยที่สนใจลงทุนในหุ้นต่างประเทศอย่าง AMZN อาจจะมีช่องทางลงทุนผ่าน Depositary Receipt หรือ DR ที่มีผู้ออกในประเทศไทย ทำให้เราสามารถซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้สะดวกขึ้นในรูปสกุลเงินบาท ซึ่งปัจจุบันก็มี DR ของ AMZN ที่ออกโดย KTB ให้ซื้อขายกันอยู่ในตลาดครับ

สรุปง่ายๆ นะครับ “หุ้น กาแฟ อ เม ซอน” คือ OR ที่มีธุรกิจหลากหลาย รวมถึงร้านกาแฟดัง Cafe Amazon ซึ่งเป็นส่วนสำคัญและกำลังเติบโตในธุรกิจไลฟ์สไตล์ ขณะที่ “หุ้น Amazon” (AMZN) คือบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกจากอเมริกา ทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ คลาวด์ (AWS) โฆษณา และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งสองบริษัทนี้เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง

ดังนั้น ถ้ามีใครมาชวนลงทุนใน “หุ้น Amazon” โดยอ้างถึง Cafe Amazon หรือบอกว่าจะให้ผลตอบแทนสูงผิดปกติ ขอให้สงสัยไว้ก่อนเลยครับว่าเป็น “การหลอกลวง” เพราะ OR ยืนยันแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับการชวนลงทุนลักษณะนี้ และ Cafe Amazon ก็ไม่ได้มีหุ้นแยกขายเป็นการเฉพาะ การลงทุนใน OR ทำได้โดยซื้อ “หุ้น OR” ผ่านโบรกเกอร์ตามปกติ ส่วนการลงทุนในหุ้น Amazon (AMZN) ของอเมริกา ก็ต้องซื้อผ่านช่องทางสำหรับหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศ หรือลงทุนผ่าน DR ในไทย

ก่อนลงทุน ไม่ว่าจะหุ้นตัวไหน บริษัทอะไร ทั้ง OR หรือ AMZN หรือตัวอื่นๆ สำคัญที่สุดคือ “ศึกษาข้อมูลด้วยตัวเอง” (DIY – Do It Yourself หรือในที่นี้คือ DYOR – Do Your Own Research) ให้เข้าใจถ่องแท้ครับ ศึกษาว่าบริษัทเขาทำธุรกิจอะไร มีรายได้มาจากไหน กำไรเป็นอย่างไร มีจุดแข็งจุดอ่อนตรงไหน แนวโน้มในอนาคตเป็นอย่างไร และที่สำคัญ ต้องเข้าใจ “ความเสี่ยง” ที่เกี่ยวข้องด้วย การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ โดยเฉพาะหุ้นที่มีความผันผวนสูงอย่าง AMZN หรือหุ้นที่ธุรกิจหลักได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกอย่าง OR ในกลุ่ม Mobility หากเงินทุนไม่คล่องตัวนัก หรือเพิ่งเริ่มต้นลงทุน อาจต้องพิจารณาให้รอบคอบเป็นพิเศษนะครับ ศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัท หรือรายงานบทวิเคราะห์จากสถาบันการเงินที่มีความน่าเชื่อถือ จะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีเหตุผลและปลอดภัยมากขึ้นครับ