
เพื่อนนักลงทุนครับ เวลาเราพูดถึงคอมพิวเตอร์ที่เราใช้ทำงาน ดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้แต่เล่นเกมส์ในชีวิตประจำวันเนี่ย เคยนึกถึงไหมครับว่าอะไรคือ “สมอง” ที่ทำให้มันทำงานได้? ใช่แล้วครับ ส่วนสำคัญมากๆ อันหนึ่งก็คือชิปประมวลผล หรือที่เรียกกันติดปากว่า CPU นั่นแหละครับ และถ้าพูดถึง CPU ระดับโลก ชื่อที่แว่วเข้ามาในหูเราตลอดก็คือ “อินเทล” (Intel Corporation) ผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา ที่อยู่คู่กับวงการไอทีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 นู่นเลย เขาไม่ได้ทำแค่ CPU นะครับ ยังมีชิปกราฟิก (GPU), หน่วยความจำ, และโซลูชันอื่นๆ อีกมากมาย ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ทั่วไป ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ไปจนถึงอุปกรณ์ในโลก IoT ที่เชื่อมต่อกันเต็มไปหมด
อินเทลเนี่ย ถือเป็นผู้เล่นตัวพ่อในวงการเซมิคอนดักเตอร์มานานมากๆ ครับ แต่ช่วงหลังๆ มานี้ สถานการณ์ของ intel หุ้น ดูจะไม่ค่อยสดใสเหมือนเก่าเท่าไหร่ เพื่อนนักลงทุนหลายคนก็มาถามผมด้วยความเป็นห่วงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงิน เลยอยากชวนมาดูกันแบบบ้านๆ ว่า อินเทล กำลังเจออะไรอยู่ และมันส่งผลกับ intel หุ้น ยังไงบ้างครับ
ลองนึกภาพตามนะครับว่า อินเทล ก็เหมือนธุรกิจใหญ่ๆ ทั่วไป ที่ต้องมีรายได้ มีค่าใช้จ่าย และก็มีกำไรหรือขาดทุน ช่วงที่ผ่านมาเนี่ย ตัวเลขผลประกอบการของ อินเทล ออกมาค่อนข้างน่าเป็นห่วงครับ ในไตรมาสล่าสุด บริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิถึง 821 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณเกือบ 3 หมื่นล้านบาทไทย ซึ่งหนักกว่าไตรมาสก่อนหน้าด้วยซ้ำ แปลว่าขายของไปแล้ว หักลบนั่นนี่แล้ว ยังติดลบอยู่เลยครับ แม้ว่ารายได้ในไตรมาสล่าสุดจะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์เค้าประมาณการไว้เล็กน้อย แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือการคาดการณ์รายได้ในไตรมาสถัดไปที่ อินเทล บอกว่าจะลดลงอีก
ทีนี้ พอธุรกิจขาดทุนมากๆ เงินสดในมือก็เริ่มตึงมือใช่ไหมครับ อินเทล เลยตัดสินใจเรื่องใหญ่มากๆ อย่างหนึ่ง นั่นคือการ “ลดเงินปันผล” ครับ จากเดิมที่จ่ายให้นักลงทุนทุกไตรมาส เขาลดลงไปถึง 66% เหลือแค่หุ้นละ 0.13 เหรียญสหรัฐฯ ต่อไตรมาส การลดปันผลครั้งนี้ถือเป็นการจ่ายที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 เลยนะครับ! หลายคนอาจจะตกใจว่าทำไมถึงทำแบบนี้? เหตุผลหลักๆ ที่ อินเทล ให้มาก็คือ ความต้องการชิปสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) และชิปสำหรับศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่เป็นลูกค้าหลักของ อินเทล เนี่ย มันชะลอตัวลงค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา เหมือนคนยังไม่ค่อยซื้อคอมใหม่ ไม่ค่อยสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ ทำให้ขายของได้น้อยลง พอรายได้ลด กำไรหด (จนถึงขั้นขาดทุน) บริษัทก็ต้องประหยัดเงินสดไว้ให้มากที่สุด เพื่อเอาตัวรอดในภาวะยากลำบากนี้ และที่สำคัญคือ เงินสดที่ประหยัดได้เนี่ย เขาจะเอาไป “ลงทุน” ในเทคโนโลยีการผลิตชิปที่ล้ำสมัยกว่าเดิมครับ

การลงทุนนี่แหละคือหัวใจสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพราะโลกเทคโนโลยีมันไปเร็วมาก คู่แข่งก็เก่งๆ ทั้งนั้น โดยเฉพาะคู่แข่งอย่าง เอเอ็มดี (AMD) ที่ช่วงหลังทำชิปออกมาได้ดีมากๆ และแย่งส่วนแบ่งตลาดไปได้พอสมควร แม้ว่า อินเทล จะยังครองแชมป์ส่วนแบ่งตลาด CPU อยู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าถูกท้าทายอย่างหนัก การแข่งขันมันดุเดือดมากๆ ครับ อินเทล เลยต้องพยายามเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองให้ทันคู่แข่ง เพื่อไม่ให้ถูกทิ้งห่าง นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยอมลดเงินปันผล ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนหลายคนคาดหวัง เพื่อนำเงินไปลงกับการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ๆ ที่ต้องใช้เงินมหาศาลหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียวครับ (แม้จะมีการชะลอการลงทุนบางส่วนลงไปบ้างเพื่อประหยัดเงินสด แต่แผนใหญ่ระยะยาวยังต้องเดินหน้า)
พอสถานการณ์ของบริษัทเป็นแบบนี้ ตัว ราคา intel หุ้น ในตลาดก็สะท้อนภาพออกมาอย่างชัดเจนครับ ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นอินเทลปรับตัวลดลงไปอย่างมีนัยสำคัญ เกือบ 33% เลยทีเดียว มูลค่าตลาดของบริษัทตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 8.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งก็น้อยกว่าช่วงที่รุ่งเรืองมากๆ ในอดีตเยอะเลยครับ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่ติดตาม intel หุ้น ก็มีมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวัง ส่วนใหญ่ให้คำแนะนำเป็น “เป็นกลาง” หรือบางส่วนก็ให้ “มีแรงขาย” ออกมาด้วยซ้ำครับ ถ้าเราดูตัวเลขทางการเงินบางอย่าง เช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ที่ปกติบอกว่าหุ้นแพงหรือถูกเนี่ย ของ อินเทล มันติดลบครับ (-5.14) เพราะเขายังขาดทุนอยู่ไงครับ ดูแล้วตีความยากว่าถูกหรือแพงจากมุมนี้ แต่ถ้าดูอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/B Ratio) อยู่ที่ 0.86 ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม อันนี้อาจจะมองได้ว่ามูลค่าตามบัญชีของบริษัทดูเหมือนจะถูกนะ แต่ก็ต้องไม่ลืมปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ก็ติดลบ (-19.24) เช่นกัน สะท้อนว่าบริษัทตอนนี้ยังสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้ไม่ดีครับ
นอกจากปัจจัยภายในของ อินเทล เองแล้ว ปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาคก็ส่งผลกระทบกับ intel หุ้น ไม่น้อยเลยครับ ช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ อินเทล จดทะเบียนอยู่ (ในตลาดแนสแด็ก) เผชิญแรงกดดันจากเรื่องของอัตราดอกเบี้ยครับ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “เฟด” ยังคงส่งสัญญาณว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง การขึ้นดอกเบี้ยเนี่ย ทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น การกู้ยืมยากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ รวมถึงการลงทุนต่างๆ ด้วย
ลองนึกภาพตามนะครับว่าพอ เฟด ขึ้นดอกเบี้ยเรื่อยๆ ความกังวลเรื่องที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะชะลอตัวลง หรือบางคนถึงขั้นมองว่าอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง (Hard Landing) ก็เพิ่มขึ้นตามมา ซึ่งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวก็กระทบกับความต้องการสินค้าไฮเทคอย่างคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูลโดยตรง ก็วนกลับมาเข้าเรื่องของ อินเทล อีกทีครับ นอกจากนี้ความผันผวนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนกังวลและส่งผลต่อความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นด้วยครับ

จริงๆ ช่วงนี้มีกระแสเรื่องปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาแรงมากๆ หุ้นบางตัวในกลุ่มเทคโนโลยี อย่าง เอ็นวิเดีย (Nvidia) ซึ่งทำชิปกราฟิกประสิทธิภาพสูงที่เหมาะกับการประมวลผล AI ก็ราคาพุ่งกระฉูดเลยครับ แต่ก็มีมุมมองที่มองว่ากระแส AI นี้อาจจะนำไปสู่ฟองสบู่ครั้งใหญ่ได้เหมือนกัน ในส่วนของ อินเทล เองก็พยายามพัฒนาโซลูชัน AI ของตัวเองอยู่ แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้รับความสนใจเท่าคู่แข่งบางรายในมุมของนักลงทุนนะครับ
อีกเรื่องที่น่าจับตาคือสถานการณ์การใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ครับ แม้ยอดค้าปลีกล่าสุดจะยังดูแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ “หนี้บัตรเครดิต” ของภาคครัวเรือนในสหรัฐฯ เนี่ย พุ่งขึ้นไปสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้วครับ แถมอัตราการผิดนัดชำระหนี้ก็เริ่มเร่งตัวขึ้นด้วย อันนี้เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะถ้าคนเริ่มมีปัญหาหนี้สินเยอะ ก็อาจจะลดการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยหรือไม่จำเป็นลง ซึ่งก็อาจจะรวมถึงคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ไอทีอื่นๆ ด้วยครับ
โดยสรุปแล้ว สถานการณ์ของ intel หุ้น ตอนนี้ ถือว่าอยู่ในช่วงที่ท้าทายมากๆ ครับ บริษัทผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาหลายด้านพร้อมๆ กัน ทั้งผลประกอบการที่ขาดทุน ความต้องการชิปที่ชะลอตัว การแข่งขันที่ดุเดือด และปัจจัยลบจากเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก อินเทล กำลังพยายามปรับตัวครั้งใหญ่ โดยการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น การลดเงินปันผล และนำเงินไปลงทุนเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อต่อสู้ในอนาคต นี่คือการเดิมพันครั้งสำคัญของ อินเทล เลยก็ว่าได้ครับ
สำหรับนักลงทุนที่สนใจ intel หุ้น หรือกำลังถือหุ้นนี้อยู่ ต้องทำความเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ง่ายครับ ราคาหุ้นที่ตกลงมาอาจจะดูน่าสนใจสำหรับบางคน แต่ก็ต้องพิจารณาความเสี่ยงต่างๆ ด้วย ทั้งความสามารถของ อินเทล ในการพลิกฟื้นผลประกอบการได้สำเร็จหรือไม่ การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ยังคงรุนแรง และภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังไม่แน่นอน การตัดสินใจลงทุนในหุ้นลักษณะนี้ต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบมากๆ และทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งหมดครับ
⚠️ ข้อควรระวัง: การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน และควรพิจารณาความเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การลดเงินปันผลหรือผลประกอบการที่ขาดทุนเป็นสัญญาณที่นักลงทุนควรให้ความสนใจอย่างยิ่งครับ สถานการณ์ของ intel หุ้น เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าแม้แต่บริษัทใหญ่ระดับโลกก็ต้องเผชิญกับความท้าทายได้เสมอครับ